บทที่ 82 หักห้ามใจไม่ให้แย่งชิง
“พวกเจ้าเคยติดต่อท่านเซียนโดยตรง?”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะคาดเดามาสักพักแล้วว่า เวิงอู๋โยวกับพวกพ้องอาจจะเคยติดต่อท่านเซียนผู้นั้น แต่เขากลับไร้หลักฐานมายืนยันเรื่องนี้…
“ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนล้อกันเล่นแล้ว…”
เวิงอู๋โยวยิ้มอย่างขมขื่นกล่าว “คนเป็นเซียนสูงส่งเพียงใด พวกเราเป็นปุถุชนไหนเลยจะสามารถพบเจอท่านเซียนได้?”
ผู้อาวุโสแสร้งทำเป็นชาวบ้านธรรมดาสัญจรทั่วปฐพี เขาจะถือดีไปเปิดโปงสถานการณ์ของผู้อาวุโสได้อย่างไร?
ต่อให้ท่านประมุขตรงหน้านี้จะฆ่าเขา อย่างไรก็ไม่กล้าเอ่ย!
นอกจากนี้ ผู้อาวุโสยังมีเมตตากรุณาต่อเขามาก เขาย่อมไม่มีทางเปิดโปงสถานการณ์ของท่านอาวุโสเด็ดขาด
“แล้วเมื่อครู่นี้พูดว่าอันใดนะ ‘อย่างที่คิด’ ‘ประมาทเกินไปแล้ว’ หรืออะไรทำนองนั้น”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว
“ถ้อยวาจานี้หาได้เกี่ยวกับท่านเซียนไม่”
เวิงอู๋โยวอธิบาย “บูรพาจารย์ของสำนักไท่หัวข้าเคยได้รับภาพวาดมา จากนั้นจึงเข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋าด้วยภาพวาดนี้และก่อตั้งสำนักไท่หัวขึ้นมา ทว่าช่างน่าเสียดายยิ่ง เหล่าศิษยานุศิษย์ในสำนักโง่เขลาเบาปัญญาเกินกว่าจะเข้าใจภาพวาดได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถบรรลุขอบเขตขึ้นไปสูงกว่านี้ได้”
เขากล่าวต่อไป “กระนั้นแล้ว ข้าเองก็มีโชคดีเหมือนกัน ในช่วงใกล้ถึงฆาต ข้ารู้แจ้งเข้าใจมรรคาจากภาพวาดได้ทัน จึงหลุดพ้นจากความตายถึงแล้วกลายเป็นบรรลุขอบเขตแทน…”
ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “ท่านประมุขน่าจะเข้าใจ การที่จู่ ๆ ก็ทะลวงขั้นได้อย่างรวดเร็วย่อมตกเป็นที่หวาดระแวงและเป็นที่หมายตาของคนโลภ ดังนั้นเมื่อข้าได้ยินท่านประมุขเอ่ยถามสาเหตุ จึงพอจะเข้าใจถึงได้เอ่ยว่า‘อย่างที่คิด’ ‘ประมาทเกินไปแล้ว’ …”
แล้วเวิงอู๋โยวก็ชี้ไปที่โจวตงพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ข้ากับเขาถือว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกัน อีกทั้งพวกเราใกล้สิ้นอายุขัยเช่นเดียวกัน และข้าก็ทนเห็นเขาตายไม่ได้ จึงใช้ภาพวาดช่วยเขาฝ่าด่าน นั่นถึงเป็นสาเหตุที่เขาสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว”
“จริงหรือ?”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนขมวดคิ้ว หรือว่าเขาคิดผิด?
ในอีกด้านหนึ่ง โจวตงระเบิดเสียงหัวเราะในใจ เขากล่าวยกย่องเวิงอู๋โยวช่างมีพรสวรรค์ แต่ชายชราไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย!
ตาเฒ่าผู้นี้ช่างเล่ห์เหลี่ยมเยอะนัก เดิมทีเขาคิดว่าด้วยสถานการณ์นี้อาจจะเผลอเปิดเผยตัวตนของผู้อาวุโสเข้าแล้ว ทว่าเวิงอู๋โยวกลับครุ่นคิดกลับลำคำพูดได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถสบหาข้ออ้างได้ด้วย!
“ข้าน้อยไหนเลยจะกล้าโกหกท่านประมุข”
เวิงอู๋โยวถอนหายใจและพูดว่า “หลังจากที่ข้าเผยพลังออกมาก็คิดแล้วว่าน่าจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นอยู่บ้าง แต่ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าจะดึงดูดความสนใจของท่านประมุขด้วย…”
“ภาพวาดอยู่ที่ใด ขอข้าชมดูได้หรือไม่?”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเอ่ยถาม
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “เช่นนั้น ท่านประมุขโปรดรอข้าอยู่ที่นี่”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมาด้วยตนเอง นี่เป็นข้ออ้างดีที่สุดที่เขาคิดออก
ข้ออ้างอย่างอื่นเกรงว่าจะไม่สามารถโกหกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนได้…
ถึงแม้ข้ออ้างนี้อาจทำให้เขาสูญเสียภาพวาด แต่เขาไร้ซึ่งหนทางอื่นให้เดินแล้ว
เทียบกับการสูญเสียภาพวาด สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องละเมิดข้อห้ามของผู้อาวุโส!
ช่างมันเถอะ ใครใช้ให้พวกเขาเผลอประมาทกันเล่า นี่ถือเป็นบทเรียนเถิด!
ชายชราครุ่นคิดในใจและออกจากห้องโถงไปยังสถานที่เก็บภาพวาด
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับไปห้องโถงพร้อมกับภาพวาดในมือ
ภาพวาดถูกม้วนเข้าด้วยกัน ไม่ได้คลี่ออกมา แต่เพียงเท่านั้นประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนก็รับรู้ถึงสัมผัสแห่งเต๋าสูงสุดที่ไหลเวียนวนอยู่บนภาพวาดแล้ว
เมื่อเวิงอู๋โยวคลี่ภาพวาดออก ภาพวาดภูเขาไท่หัวก็ปรากฏแก่สายตาของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน แน่นอนว่าภาพนี้เป็นภาพที่หลี่จิ่วเต้าวาดนั่นเอง
ตู้ม!
ทันทีที่ สัมผัสแห่งเต๋าอันไร้ซึ่งขอบเขตออกมาจากภาพวาด ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนพลันรู้สึกตกใจยิ่ง ประดุจดังหัวใจถูกคลื่นนับพันซัดกระหน่ำ!
สัมผัสแห่งเต๋าเช่นนี้ แม้แต่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เขาฝึกฝนก็มิอาจเทียบเท่า ความแตกต่างนั้นนับว่าห่างไกลยิ่ง ราวกับหิ่งห้อยที่ท้าทายอำนาจของดวงสุริยันอันเจิดจ้า!
ท่านประมุขใจเต้นไม่เป็นส่ำ ต้องเป็นบุคคลเช่นไรถึงสามารถวาดภาพเหนือจิตนาการได้ปานนี้!
ต่อหน้าสัมผัสแห่งเต๋าภาพนี้ ทุกสรรพสิ่งล้วนเล็กจ้อย!
เซียน!
ท่านเซียนต้องเป็นผู้วาดมันแน่ ๆ!
เขาจำได้ว่า หูช่วงเคยกล่าวถึงท่านเซียนถือขวานเบิกสวรรค์ตัดต้นไม้!
ในทางกลับกัน หัวใจที่กระวนกระวายของเวิงอู๋โยวแทบจะกระเด้งออกมา
เขารู้ภาพวาดนี้น่าทึ่งเพียงใด และเขากลัวประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนจะชิงมันไป!
หากประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนลงมือ เขาย่อมไม่มีพลังหยุดประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไว้
อย่างไรก็ตาม ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไม่ได้ชิงภาพวาดไป
“รักษามันไว้ให้ดี นี่คือสมบัติล้ำค่า!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความคิดที่จะแย่งชิงภาพวาดนี้ ตรงกันข้ามเขาอยากแย่งภาพวาดมาก!
เพียงแต่เขาไม่กล้า!
สัมผัสแห่งเต๋าที่สุดยอดเช่นนี้ย่อมต้องมาจากท่านเซียนผู้นั้น และไม่ว่าสิ่งที่เวิงอู๋โยวพูดจะจริงหรือไม่ สำนักไท่หัวก็นับว่าเกี่ยวข้องกับท่านเซียนผู้นั้นแล้ว!
อีกทั้งท่านเซียนอาจจะอยู่ในแถวนี้!
แม้ภาพวาดจะล้ำค่า แต่ชีวิตนั้นสำคัญยิ่งกว่า!
หากขโมยภาพวาดนี้ไปแล้วท่านเซียนโมโห ต่อให้มีร้อยชีวิตก็เกรงว่าไม่พอตาย!
ได้ยินประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวเช่นนั้น เวิงอู๋โยวพลันรู้สึกโล่งใจและรีบเก็บม้วนภาพวาด
“สำนักไท่หัวโชคดีจริง ๆ! มีภาพวาดนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าสำนักไท่หัวจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวด้วยความจริงใจ
“หาเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่”
เวิงอู๋โยวตอบกลับ
“ก่อนหน้านี้เป็นข้าหยาบคาย โปรดอภัยให้ข้าด้วย ตอนนี้ข้าขอกล่าวอำลา รอเริ่มโจมตีซากปรักหักพังโบราณเริ่ม ข้าจะส่งคนมาช่วยพวกท่าน”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนอำลาเวิงอู๋โยวกับผู้อื่น ไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ความเย้ายวนใจของภาพวาดนั้นมีมากเกินไป เขากลัวจริง ๆ ว่าตนเองจะอดแย่งชิงภาพวาดไม่ได้ แล้วกลายเป็นทำผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้นมา!
อีกอย่างเขาเข้าใจดีว่าถึงแม้จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เวิงอู๋โยวกับคนอื่น ๆ ไม่มีทางบอกเขาเกี่ยวกับท่านเซียนอย่างแน่นอน
นอกจากนี้แล้ว การเดินทางของเขาหาได้ไร้ประโยชน์ แต่ถือว่าประสบความสำเร็จครั้งใหญ่!
ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดที่บูรพาจารย์ของสำนักไท่หัวได้รับมา หรือภาพวาดเวิงอู๋โยวแสดงให้ชม เห็นได้ว่าชัดสำนักไท่หัวกับท่านเซียนเกี่ยวข้องกัน
ต่อไปในอนาคต เขาต้องใส่ใจสนิทสนมสำนักไท่หัวให้มากหน่อยแล้ว!
หลังจากเวิงอู๋โยว โจวตงและลวี่เหลียงส่งประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนออกไปแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ตาเฒ่านี่เป็นบทเรียนสำคัญ จำไว่ต่อไปในอนาคตอย่าทำพลาดอีก!”
เวิงอู๋โยวกล่าวอย่างเคร่งขรึมกับโจวตง
“ยังต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ!”
โจวตงตอบกลับ
ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องไม่ละเมิดข้อห้ามของผู้อาวุโส เปิดโปงสถานการณ์ของผู้อาวุโส และสร้างปัญหาให้กับผู้อาวุโส!
พวกเขาได้รับพรจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่สามารถล่วงเกินผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ได้!
ทั้งสามสนทนากันเป็นเวลานานอีกครั้ง เตือนกันและกันว่าต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำในอนาคต และห้ามลืมว่าอย่าทำผิดเช่นนี้อีก!
“ผู้อาวุโสขอรับ มีคนอยู่ที่เชิงมาขอเข้าพบท่าน โดยบอกว่ามาหาศิษย์พี่เซี่ยเหยียน”
ทันใดนั้นก็มีลูกศิษย์เข้ามารายงาน
“ผู้ใดมาตามหาเซี่ยเหยียน?”
เวิงอู๋โยวถาม
“เขาบอกว่าชื่อหลี่จิ่วเต้า…”
“ว่าอันใดนะ! รีบ ๆ เชิญเข้ามาเร็ว! หยุด! ประเดี๋ยวข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเอง!”
เวิงอู๋โยวพุ่งพรวดไปที่ประตูทางเข้าสำนักอย่างรวดเร็ว
ส่วนโจวตงและลวี่เหลียงก็ไม่กล้าชักช้า รีบตามไปทันที
ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว!