บทที่ 105 ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน (ต้น)
ฉีเทียนต้าเซิ่ง*[1]
เป็นตัวละครตามตำนานของดาวเคราะห์สีฟ้าที่หลี่จิ่วเต้าชอบมากที่สุด
ไม่ใช่แค่เขาที่ชอบเท่านั้น แต่แทบทุกคนในดาวเคราะห์สีฟ้าต่างชอบฉีเทียนต้าเซิ่ง เรียกได้ว่าฉีเทียนต้าเซิ่งเป็นที่รู้จักของทุกผู้คนในดาวเคราะห์สีฟ้า
เมื่อเสียงกู่ฉินดังขึ้น บทลำนำก็ค่อย ๆ ถูกขับขานออกมา ครานี้หลี่จิ่วเต้าถึงกับเข้าสมาธิตั้งใจดีดกู่ฉินอย่างที่สุด
ท่ามกลางฟ้าดินพลันปรากฏภาพหนึ่งออกมาตรงหน้าหลิงอิน เซี่ยเหยียน ผู้เฒ่าเมิ่งจี และลั่วสุ่ย
ณ แดนเทวดาอันไกลโพ้น บนยอดเขานั้นมีหินเซียนก้อนหนึ่งตั้งตระหง่าน สูงสามจั้งหกฉื่อห้าชุ่น กว้างสองจั้งสี่ชุ่น เอกลักษณ์หินเซียนมีแปดรู รอบด้านปราศจากสิ่งบดบัง และมีเพียงต้นหญ้าสองฝั่งขึ้นอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น
ดาวเคลื่อนดาราคล้อย กาลเวลาผันเปลี่ยน หินเซียนดูดกลืนพลังจากตะวันจันทราและหล่อเลี้ยงเป็นญาณ จนวันหนึ่งมันก็ทะลุหินออกมาในที่สุด กลายรูปเป็นวานรเมื่อต้องลม มีครบทั้งหูตาจมูกปาก รวมถึงแขนขาครบครัน!
วานรหินลืมตาครั้งแรกก็บังเกิดลำแสงสีทองสองลำทะยานขึ้นฟ้า ทะลวงผืนนภา สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนตกตะลึง!
“นี่มัน…!”
หลิงอินตะลึงเป็นอย่างมาก นางเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล นับว่าเคยประสบพบเจออะไรมามาก ทว่าภาพการถือกำเนิดของวานรหินกลับทำให้นางตื่นกลัว!
ทันทีที่วานรหินกำเนิดลืมตา ลำแสงสีทองก็ทะลุขึ้นไปบนนภา ทำให้ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น!
นี่ต้องเป็นวานรหินระดับใดกัน!
เสียงกู่ฉินยังคงบรรเลงต่อไป และบรรเลงดังขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพวาดเคลื่อนไหวอีกครั้ง
วานรหินเข้าไปในถ้ำม่านน้ำตก ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘พญาวานรโสภา’ ข้ามน้ำข้ามทะเลก้าวสู่การฝึกเซียน บำเพ็ญวิชาเต๋า และมีความสามารถเกรียงไกร
ควบคุมกำหนดการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินได้ทั้งหมด แปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองร่าง ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ เมฆใต้เท้าเรียกว่าจินโต่ว ตีลังกาครั้งเดียวได้ไกลถึงหนี่งแสนแปดพันลี้!
“นั่นคือบูรพาเซียนหรือ!?”
ดวงตาของผู้เฒ่าเมิ่งจีเบิกกว้าง การแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง มิใช่วิชาแปลงกายธรรมดาดาด ๆ และมิได้หมายถึงการที่แปลงได้เจ็ดสิบสองร่าง!
เจ็ดสิบสองร่างเป็นเพียงตัวเลขจำลอง และเจือไปด้วยปรมัตถ์แห่งสรรพวิถี!
ไม่ว่าการแปลงกายใดล้วนพัฒนาเป็นการแปลงกายใหม่ได้ทุกเมื่อ!
สื่อวิญญาณ บัญชาเทพ เคลื่อนภูผา หยุดวารี ขอวาโย คลี่หมอก เรียกตะวัน เรียกฝน เสกอัคนี…
สวรรค์!
ช่างเป็นวิชาเซียนที่สูงส่งอะไรเยี่ยงนี้!
อาจารย์ของวานรหินคือบูรพาเซียนหรืออย่างไร
และแล้วเสียงกู่ฉินก็เปลี่ยนผัน จังหวะเร่งเร้าขึ้น ให้ความรู้สึกเลือดพลุ่งพล่านยิ่งนัก!
ภาพวาดเปลี่ยนไปอีกครา
วานรหินสำเร็จวิชากลับมา แล้วบุกไปยังวังมังกร ชิง ‘กระบองทองสารพัดนึก’ มา!
กระบองทองสารพัดนึก หนักหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง ลวดลายสีทองกระจัดกระจายอยู่เต็มทั้งสองด้าน เหล็กท่อนกลางสร้างจากดวงดารา สลักคำว่า ‘กระบองทองสารพัดนึก หนักหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง’ ไว้!
สามารถปรับขนาดให้เล็กหรือใหญ่ก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิเศษ ซ้ำยังเปลี่ยนรูปร่างได้ตามที่วานรหินนึก ถึงได้เรียกว่า ‘สารพัดนึก’!
เมื่อขยายร่างก็สามารถทะลวงนภา เมื่อหดเล็กลงก็สามารถกลายเป็นเข็มยัดเข้าไปในหู น่ามหัศจรรย์ยิ่ง!
“อาวุธเซียนที่เหนือกว่าอาวุธเซียนอีกหรือ!?”
หลิงอิน เซี่ยเหยียน ผู้เฒ่าเมิ่งจี และลั่วสุ่ยต่างนิ่งอึ้งกันไปหมด ภายในใจราวกับมีเกลียวคลื่นสูงหมื่นจั้งซัดสาดอยู่
ใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังวิเศษ ทะลวงนภาได้ในความคิดเดียว พลังไร้ขอบเขตจำกัด น่ากลัวเกินไปหรือเปล่า!?
ต้องเป็นศัสตราประเภทไหนกันที่แสดงแสนยานุภาพโดยไม่พึ่งพลังวิเศษ…?
ซ้ำยังน่าสยดสยองปานนี้!?
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด!
ทำนองกู่ฉินเปลี่ยนไป จากที่เคยเลือดร้อนเริ่มทุ้มต่ำ แล้วภาพวาดในอากาศก็ผันเปลี่ยนไปอีกครา
วานรหินกลับมาใช้ชีวิตสำราญรื่นรมย์กับเหล่าลิงน้อยในเขา ทว่าเมื่อสุขเกินควรความสลดย่อมตามมา วันหนึ่งวานรหินเมาสุรา ภูตผีจากปรโลกบุกจู่โจม ลักพาวิญญาณของวานรหินไป!
เมื่อวานรหินสร่างเมาจึงพบว่าถูกลักพาวิญญาณไป อายุขัยสูญสิ้น พลันออกอาละวาดในปรโลกยกใหญ่ จากนั้นก็สั่งให้ยมราชทั้งสิบตำหนักนำรายนามวิญญาณมาให้ตนดู พร้อมขีดชื่อลิงน้อยใหญ่ของเขาทิ้ง แล้วจากไปอย่างสง่า!
‘รายนามวิญญาณ!’
หลิงอินใจสะท้าน พลางทำท่าครุ่นคิด
มิน่าเล่า อายุขัยปุถุชนถึงมีจำกัด อยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปี กระทั่งผู้ฝึกตนเองก็เป็นเช่นนี้ ทุกระดับขั้นล้วนมีอายุขัยจำกัด หากบรรลุขอบเขตไม่ได้อายุขัยก็ต้องหมดลง
ที่แท้ทุกชีวิตถูกกำหนดไว้แต่แรก ตามรายนามวิญญาณ!
ชื่อของทุกตัวตนที่มีวิญญาณล้วนอยู่บนรายนามวิญญาณ!
โบราณว่าไว้ การฝึกตนเสมือนการชิงชะตาจากสวรรค์ แต่แท้จริงแล้วมันคือการฝืนสวรรค์
‘เป็นเช่นนี้จริง ๆ ด้วย!’
นางเอ่ยในใจ
ชะตาสรรพวิญญาณถูกลิขิตไว้แล้วตั้งแต่แรก ฝึกตนก็เพื่อทะลุขีดจำกัดโชคชะตา แย่งชิงชีวิตจากสวรรค์ เพราะเหตุนี้หลังบรรลุขอบเขตได้แล้วอายุขัยถึงยืนยาวขึ้น!
‘แม้แต่เทพเซียนก็มิอาจทลายขีดจำกัดนี้หรือ?’
วานรหินแข็งแกร่งน่ายำเกรงถึงเพียงนั้น คงบรรลุเซียนไปนานแล้ว ทว่าชื่อของเขายังอยู่บนรายนามวิญญาณ มีอายุขัยจำกัด!
จิตใจของนางพลันสั่นสะท้าน ลือกันว่าเมื่อบรรลุเป็นเซียนจักดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีอายุขัยไม่จำกัด
ดูแล้วไม่เป็นความจริง เซียนเองก็มิได้อยู่เหนือสังสารวัฏแต่อย่างใด…
‘รายนามวิญญาณ…เป็นคัมภีร์วิถีสวรรค์! หากต้องการอยู่เหนือสังสารวัฏ อยู่ยงคงกระพัน จำต้องขีดชื่อในรายนามวิญญาณทิ้งอย่างที่วานรหินได้กระทำ นั่นจึงจะอยู่เหนือวิถีสวรรค์!’
หลิงอินสะท้อนใจเป็นอย่างมาก
วานรหินต้องแข็งแกร่งปานใดถึงสามารถขีดชื่อในรายนามวิญญาณทิ้งได้ อยู่เหนือวิถีสวรรค์หรือ… จินตนาการไม่ออกจริง ๆ!
ติง ติง ติง!
เสียงบรรเลงดังสะท้อน ค่อย ๆ ช้าลง แล้วภาพวาดก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
วานรหินบุกวังมังกร อาละวาดปรโลก ประมุขวังมังกรและยมราชทั้งสิบตำหนักบันดาลโทสะ จึงขึ้นไปยังวังสวรรค์ ฟ้องความผิดของวานรหิน หมายจะจับวานรหินมาสำเร็จโทษให้จงได้
ทว่าวังสวรรค์มิได้เห็นชอบ แต่เลือกเรียกตัววานรหินมาเข้าพบที่วังสวรรค์ มอบตำแหน่งในวังสวรรค์ให้…คนเลี้ยงม้าสวรรค์!
‘นี่ต้องเป็นกลุ่มมหาอำนาจในภพเซียนอย่างแน่นอน เป็นการดำรงอยู่เพื่อปกครองภพเซียน!’
หลิงอินคิดในใจตามที่รู้สึก
นางพูดต่อในใจว่า วังสวรรค์ทำได้ถูกต้องแล้ว วานรหินแข็งแกร่งปานนั้น เลี่ยงการต่อสู้และมอบตำแหน่งให้นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
คนเลี้ยงม้าสวรรค์…คงเป็นตำแหน่งที่สุดยอดกระมัง!
เซี่ยเหยียน ผู้เฒ่าเมิ่งจี ลั่วสุ่ยต่างคิดว่าคนเลี้ยงม้าสวรรค์เป็นตำแหน่งที่เยี่ยมยอดมากเช่นกัน และอยากจะเห็นว่าคนเลี้ยงม้าสวรรค์มีหน้าที่ใดกันแน่
ทว่าในไม่ช้า สีหน้าพวกเขาก็มิชอบกลขึ้นมา
‘บ้าเอ๊ย! วังสวรรค์เสียสติไปแล้วหรือไร! คนเลี้ยงม้าสวรรค์…กลับเป็นแค่คนเลี้ยงม้าจริง ๆ หรือนี่?’
หลังล่วงรู้ถึงหน้าที่คนเลี้ยงม้าสวรรค์ พวกหลิงอินต่างพากันเดือดดาลเป็นที่สุด
วังสวรรค์รังแกมนุษย์ ไม่สิ วานรเกินไปแล้ว วานรหินเก่งกาจถึงเพียงนั้น กลับให้แค่ตำแหน่งคนเลี้ยงม้าสวรรค์เนี่ยนะ?
ไม่น่ารังแกกันถึงเพียงนี้เลย!
แล้วเวลานี้ เสียงบรรเลงก็เปลี่ยนไปอีกครา
ในภาพวาด หลังวานรหินได้รู้ว่าคนเลี้ยงม้าสวรรค์มีหน้าที่แค่เลี้ยงม้า จึงบุกโจมตีวังสวรรค์ด้วยความเกรี้ยวกราด กลับคืนถิ่นเขาไม้ผล ขนานนามตนว่า…ฉีเทียนต้าเซิ่ง!
‘ดี! ผู้ใดใช้ให้วังสวรรค์ดูถูกวานรหินกัน!’
เซี่ยเหยียนปรบมือเห็นด้วยในใจ รู้สึกสะใจสุด ๆ
‘ฉีเทียน เทียมฟ้า! ควรเป็นเช่นนั้น รายนามวิญญาณวิถีสวรรค์ยังไม่อาจจำกัดวานรหินได้ วานรหินนั้นย่อมทัดเทียมวิถีสวรรค์!’
หลิงอินก็รู้สึกสะใจมากเช่นกัน
ในใจของผู้เฒ่าเมิ่งจีกับลั่วสุ่ยต่างเต็มตื้นไปหมด แม้ว่าวังสวรรค์จะมีอำนาจใหญ่โตและปกครองภพเซียน ทว่าก็ไม่สมควรรังแกวานรหินถึงเพียงนี้!
วานรหินมิใช่ตัวตนที่วังสวรรค์จะรังแกปานนี้ได้!
เสียงบรรเลงเปลี่ยนผัน ภาพวาดเปลี่ยนไปอีกครั้ง
วังสวรรค์กริ้วหนัก ส่งเซียนลงมายังเขาไม้ผลนับหมื่น หมายจะจับกุมวานรหิน!
หลิงอิน เซี่ยเหยียน ผู้เฒ่าเมิ่งจี และลั่วสุ่ยล้วนใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
ขบวนของวังสวรรค์ใหญ่โตนัก เซียนนับหมื่นจุติ บารมีเกริกกล้าฟ้าไกล พวกเขาต่างกังวลว่าวานรหินจะสู้ไม่ไหว!
หากสู้ไม่ไหว…จุดจบของวานรหินเดาได้ไม่ยาก ย่อมต้องอเนจอนาถมากเป็นแน่!
‘ต้องสู้ให้ได้นะ!’
ลั่วสุ่ยตั้งความหวังเต็มเปี่ยม วานรหินกลายเป็นบุคคลต้นแบบในใจของนางไปแล้ว!
[1] ฉีเทียนต้าเซิ่ง แปลว่า พญาวานรผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน และเป็นนามเรียกของ ‘ซุนหงอคง’