รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 118 ผู้มากพรสวรรค์ร่วงหล่นจากแท่นบูชา!

บทที่ 118 ผู้มากพรสวรรค์ร่วงหล่นจากแท่นบูชา!

บทที่ 118 ผู้มากพรสวรรค์ร่วงหล่นจากแท่นบูชา!

ผู้ฝึกตนวัยเยาว์มากมายจากภาคกลางใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมายังแดนบูรพาทิศ

พวกเขาแต่ละคนมีท่าทีสูงส่งมากความสามารถ

เปรียบกับหนุ่มสาวในแดนบูรพาทิศแล้ว พวกเขาย่อมโดดเด่นกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ละคนเปี่ยมด้วยวิชายุทธและความมั่นใจในตนเอง

“ศิษย์พี่ฉินซินเหตุใดท่านยังพาเขามาอีก?”

แสงทินกรสาดส่อง พร้อมกับการปรากฏกายของกลุ่มหนุ่มสาว

ดรุณีนางหนึ่งขมวดคิ้วพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มพวกเขา ด้วยสายตารังเกียจแล้วจึงเอ่ยปากถามกับสตรีผู้มีนามว่า ‘ฉินซิน’

“เขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกเราเช่นกัน…”

ฉินซินกล่าวตอบ แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของนางดูไม่มั่นคงและขาดความมั่นใจ ซ้ำยังเบามากด้วย

ขณะที่พูดไป นางก็เหลือบมองเด็กหนุ่มที่ถูกเด็กสาวคนนั้นมองด้วยสายตารังเกียจ แล้วนัยน์ตาของฉินซินก็เผยความซับซ้อนออกมาอย่างเลือนราง

นางทอดถอนหายใจ

เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเปล่งประกาย ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน สูงส่งมิอาจเอื้อม เหตุใดจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้…

“พาเขามาด้วยก็รังแต่จะเป็นภาระของพวกข้า!”

ราวกับไม่อยากเห็นเด็กหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งวาจายังไร้ซึ่งความเกรงอกเกรงใจ นางมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามไม่หยุด

“เขาควรกลับไปได้แล้ว!”

“ข้างนอกอันตรายยิ่ง ไม่เหมาะกับเขาแม้แต่น้อย!”

คนอื่นที่เหลือในกลุ่มต่างซุบซิบนินทากัน เพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มไปด้วย

เด็กหนุ่มที่ถูกนินทาว่าร้ายผู้นี้ เขามีผมและนัยน์ตาสีดำ ซ้ำยังมีรูปร่างสมส่วนรับกับใบหน้าอันหล่อเหลา

เหมือนว่าเขาจะเฉยชากับการถูกนินทาเสียแล้ว เมื่อเผชิญกับวาจามิสบอารมณ์ของเด็กสาวและผู้อื่น ใบหน้าของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย

“พวกศิษย์พี่ไปกันเถิด ข้ารับผิดชอบตนเองได้ขอรับ”

เขาแย้มยิ้มอย่างเจียมตัว พร้อมกับเผยฟันสีขาวสะอาดออกมา

เมื่อเห็นรอยยิ้มเรียบง่ายของเด็กหนุ่ม ฉินซินก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

นางรู้ดีว่าเบื้องหลังรอยยิ้มที่สดใสของเด็กหนุ่มนี้เก็บซ่อนความเจ็บปวดใจเอาไว้ไม่น้อย!

เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่า ‘สือเฟิง’ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ในการฝึกตนจนมิมีผู้ใดเทียบได้ ครานั้นปรมาจารย์สวรรค์แทบนั่งไม่ติด คิดอยากจะพาเขากลับไปฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์

ทว่าสือเฟิงกลับไม่ไป แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในนิกายอวี้ซวี

สือเฟิงเคยกล่าวว่าเขาเข้านิกายอวี้ซวีแล้วก็ถือเป็นศิษย์ของนิกายอวี้ซวี และจะไม่เข้าร่วมกับกองกำลังอื่นใดอีก

ในปีนั้นสือเฟิงมีอายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น

สือเฟิงในวัยสิบขวบ บำเพ็ญตนแค่เดือนเดียวก็สามารถเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณได้แล้ว!

ในช่วงฝึกตนเริ่มแรกจะเริ่มจากขอบเขตรวบรวมปราณ ต่อจากนั้นคือ ขอบเขตก่อกำเนิดวิญญาณ ขอบเขตประสานวิญญาณ ขอบเขตกงล้อชะตา ขอบเขตสุญญตา ขอบเขตนิพพาน ขอบเขตผันอนันต์ ขอบเขตก่อกำเนิดเต๋า ขอบเขตเบิกวิถี ขอบเขตลิขิตชะตา ขอบเขตทะยานฟ้า ขอบเขตครองนภา ขอบเขตเอกา…

เขาสามารถฝึกตนจากขอบเขตรวบรวมปราณไปจนเข้าสู่ขอบเขตประสานวิญญาณได้ภายในหนึ่งเดือนเช่นนี้ นับว่าชวนให้ผู้คนตกตะลึงยิ่ง ยอดฝีมือมากมายต่างพากันยกย่องสรรเสริญว่า ในภายภาคหน้าสือเฟิงจะกลายเป็นยอดฝืมือซึ่งมิอาจจินตนาการได้ และนิกายอวี้ซวีจะกลายเป็นนิกายยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ ถึงขนาดว่าอาจอยู่เหนือแดนศักดิ์สิทธิ์เลยก็เป็นได้

ตอนนั้นนิกายอวี้ซวีเป็นเพียงกองกำลังชั้นสองในภาคกลางเท่านั้น

แต่เพราะมีสือเฟิง นิกายอวี้ซวีจึงมีความหวังที่จะยืนเทียบแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด หรือแม้กระทั่งยืนเหนือกว่า!

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกคนล้วนแล้วแต่เชื่อมั่นในตัวสือเฟิงว่า เขาน่าอัศจรรย์ใจและเปล่งประกายมากเพียงใด

ทว่าน่าเสียดายยิ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป ขอบเขตการฝึกตนของสือเฟิงก็ไม่ขยับขึ้นอีกเลย…

ตอนนี้สือเฟิงอายุได้สิบหกปีแล้ว หกปีผ่านไปแต่สือเฟิงกลับยังอยู่แค่ขอบเขตประสานวิญญาณ

เจ้านิกายรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสเฒ่าของนิกายอวี้ซวีในเวลานั้นต่างเป็นกังวลยิ่ง พวกเขาตรวจสอบร่างกายของสือเฟิงอย่างละเอียด เพื่อดูว่าร่างกายของสือเฟิงมีปัญหาหรือไม่

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบละเอียดเพียงใดก็ไม่พบอะไรเลย…ร่างกายของสือเฟิงปกติดี!

ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมใจ เจ้านิกายเชิญยอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเหลือ แต่ยอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ตรวจไม่เจออะไรเช่นกัน สือเฟิงร่างกายแข็งแรงจริง ๆ…

หลังจากนั้นมา สือเฟิงก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นจากแท่นบูชา แล้วสุดท้ายผู้คนก็ลืมเลือนนามน่าอัศจรรย์ใจนี้ไปโดยสิ้นเชิง

บรรดาผู้อาวุโสในนิกายอวี้ซวีไม่อยากให้สือเฟิงอยู่ในนิกายอีกต่อไป ทว่าเจ้านิกายกลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

เจ้านิกายนับเป็นผู้มีคุณธรรมคนหนึ่ง แม้สือเฟิงจะมิอาจบรรลุขอบเขตการฝึกตนได้ดังหวัง แต่เขาก็ไม่ได้ไม่พอใจแต่อย่างใด

ตอนแรกสือเฟิงเป็นผู้มีพรสวรรค์หาผู้ใดเทียบ ยอดฝีมือแดนศักด์สิทธิ์ต่างอยากแย่งชิงสือเฟิงไป ทว่าสือเฟิงกลับไม่ได้ไปแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เลือกที่จะอยู่ในนิกายอวี้ซวีต่อ

เช่นนี้แล้ว จะให้เขาปฏิบัติต่อสือเฟิงอย่างใจร้ายได้อย่างไร?

หากกระทำเช่นนั้นลงไปจริง ๆ เขาคงเป็นผู้ไร้คุณธรรมและหาได้มีจิตสำนึกไม่!

ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวต่อหน้าทุกคนว่า ตราบใดที่นิกายอวี้ซวียังอยู่ สือเฟิงย่อมถือเป็นศิษย์ของนิกายอวี้ซวีตลอดไป และจะไม่มีผู้ใดขับไล่เขาออกไปได้!

ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนในนิกายจะมีความคิดเห็นเฉกเช่นเดียวกับเจ้านิกาย แน่นอนว่ายังมีผู้คนอีกมากที่รังเกียจสือเฟิงอยู่

หกปีผันผ่านมา ชีวิตของสือเฟิงในนิกายอวี้ซวีไม่ค่อยจะดีนัก อาจต้องกล่าวว่าลำบากเป็นอย่างยิ่ง จึงจะถูกเสียมากกว่า…

“หวังว่าศิษย์พี่ทั้งหลายจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในแดนบูรพาทิศได้ ขอให้ศิษย์พี่ทุกคนโชคดีขอรับ..”

สือเฟิงยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มของเขายังคงสดใสและอบอุ่นเช่นเคย

หากไม่รู้จักเขา ก็คงนึกไม่ถึงว่าชีวิตของเขาจะลำบากมากมายถึงเพียงนี้

ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง…พวกคนตรงหน้าเหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นศิษย์น้องสือเฟิงทั้งนั้น!

ในเวลานั้น สือเฟิงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนิกายอวี้ซวี และศิษย์ทุกคนของนิกายอวี้ซวี เมื่อเห็นสือเฟิงก็ต้องเรียกขานเขาว่าศิษย์พี่…

ภายหลังสือเฟิงเกิดเหตุไม่คาดคิด แม้เจ้านิกายจะยืนกรานยังคงฐานะศิษย์ใหญ่ให้เขา แต่กลับถูกสือเฟิงปฏิเสธไป

สือเฟิงกล่าวว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์ใหญ่อีกต่อไปแล้ว…

นับตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหรือแม้กระทั่งศิษย์ใหม่ สื่อเฟิงก็จะเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่ และเรียกตัวเองว่าศิษย์น้อง

“ศิษย์น้อง…”

ฉินซินอดเรียกสือเฟิงไว้ไม่ได้

นางอยากให้สือเฟิงไปด้วยกัน

ตอนนี้นางเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายอวี้ซวี และยังถือเป็นต้าซือเจี่ย*[1]ของนิกายอวี้ซวีด้วย

ในเวลานั้นความสามารถของนางไม่นับว่าเป็นอันใดเลย อาจน้อยกว่าหนึ่งในพันของสือเฟิงเสียด้วยซ้ำ

แต่สือเฟิงไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้ เขายังคงใจดีกับนางและช่วยเหลือนางมากมาย…

อันที่จริง สือเฟิงในตอนนั้นแม้เปล่งประกายมากเพียงใดก็ไม่เคยวางมาดแม้แต่น้อย เขาอัธยาศัยดีกับศิษย์น้องทุกคน

เพียงแต่บรรดาศิษย์ในนิกายต่างหลงลืมเรื่องเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว…

ทว่านางไม่ลืม!

และยังคงจำได้เสมอ!

นางมาแดนบูรพาทิศครั้งนี้ เพราะตั้งใจจะพาสือเฟิงมาด้วยเป็นพิเศษ

กองกำลังในภาคกลางเดาว่า ซากปรักหักพังในแดนบูรพาทิศมิใช่ของสามัญ ซ้ำยังอาจมีโชคและโอกาสครั้งใหญ่อยู่ในนั้น

ด้วยเหตุนี้ นางพาสือเฟิงมาแดนบูรพาทิศก็เพราะคิดอยากจะลองเสี่ยงโชคแก้ปัญหาของสือเฟิงดู

“ศิษย์พี่มีอันใดกับข้าหรือ?”

สือเฟิงหันกลับมามองฉินซินด้วยรอยยิ้ม

“เจ้า…ถนอมตัวด้วย!”

ฉินซินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ

สุดท้ายแล้ว นางก็ไม่ได้พูดเอ่ยรั้งให้สือเฟิงอยู่ต่อ

ไม่ใช่ว่านางไม่อยาก แต่นาง…ทำไม่ได้!

ถึงแม้นางจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ศิษย์นิกายอวี้ซวีแต่ละคนแน่วแน่เกินไป…

หากนางยังคงยืนกรานจะให้สือเฟิงอยู่ต่อ นั่นจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วง ข้ามิเป็นไรหรอก”

สือเฟิงยิ้ม ก่อนจะหันหลังจากไป

‘ศิษย์น้อง ข้าเชื่อว่าในที่สุดเจ้าจะดีขึ้น!’

ฉินซินมองแผ่นหลังของสือเฟิง และเอ่ยในใจอย่างหนักแน่น

แม้ว่าหลายคนจะคิดว่าสือเฟิงไร้ซึ่งความหวังแล้ว แต่นางยังคงเชื่อมั่นเสมอว่าจะมีวันที่โชคหล่นทับสือเฟิง!

[1] ต้าซือเจี่ย หมายถึง ศิษย์พี่หญิงใหญ่

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท