รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 129 พูดให้น้อย ถามให้น้อย จึงจะเป็นทางเลือกอันชาญฉลาด!

บทที่ 129 พูดให้น้อย ถามให้น้อย จึงจะเป็นทางเลือกอันชาญฉลาด!

บทที่ 129 พูดให้น้อย ถามให้น้อย จึงจะเป็นทางเลือกอันชาญฉลาด!

‘สือเฟิง?’

ผู้เฒ่าเมิ่งจีท่องชื่อนั้นในใจ รู้สึกคุ้นหูนิดหน่อย คล้ายว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

แม้แต่ใบหน้าของสือเฟิงเขาก็รู้สึกคุ้นตา

‘โอรสสวรรค์ไร้ผู้ใดทัดเทียมเมื่อหกปีก่อนหรือนี่!’

ในที่สุดเขาก็นึกออก เมื่อหกปีก่อนนามของสือเฟิงเลื่องลือไปทั่วภาคกลาง และไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักเขา!

แม้นจะไม่เคยพานพบตัวจริงของสือเฟิงมาก่อน แต่กระนั้นในนิกายลับสวรรค์ก็มีคนเคยพบเขา และบอกเล่าถึงหน้าตาของสือเฟิงให้เขาได้ฟังได้เห็น

‘เด็กหนุ่มผู้นี้ใกล้จะผงาดได้ดั่งเก่าแล้ว! ไม่สิ เขาจักยิ่งใหญ่ได้กว่าเดิมเสียอีก!’

ผู้เฒ่าเมิ่งจีครุ่นคิดกับตนเองอย่าง

ครานั้นเกิดเรื่องพลิกผันกับสือเฟิงเข้า ไม่ว่าฝึกฝนอย่างไรก็ไม่อาจก้าวหน้า ขอบเขตของเขาติดอยู่กับที่ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องน่าเสียดายที่สุดของภาคกลาง

ต้องทราบว่าพรสวรรค์ที่สือเฟิงเคยสำแดงให้เห็นเมื่อครานั้นน่าทึ่งยิ่งนัก หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเขา สือเฟิงย่อมต้องกลายเป็นยอดฝีมือบันลือโลกได้แน่!

อนิจจา สวรรค์ไม่คิดให้มนุษย์สมหวัง กลับเกิดเหตุพลิกผันกับสือเฟิงจนได้ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจบรรลุขอบเขตขึ้นไป นี่พาให้ผู้คนต่างรู้สึกเสียดายกันเป็นอย่างมาก

ตัวเขาเองก็เช่นกัน รู้สึกเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสือเฟิงอย่างยิ่ง

สำหรับสือเฟิง ตัวเขาชื่นชมและมีความประทับใจพอสมควร

เมื่อครั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกรูกันไปแย่งคนจากนิกายอวี้ซวี สือเฟิงมิได้ตามพวกแดนศักดิ์สิทธิ์ไป แต่เลือกที่จะอยู่กับนิกายอวี้ซวีต่อ

เขาชื่นชมนิสัยเช่นนี้ของสือเฟิงมาก ไม่ยอมสูญเสียจิตสำนึกเพื่อผลประโยชน์

เป็นอาจารย์หนึ่งวัน แต่ถือเป็นอาจารย์ตลอดไป

ถึงอย่างไรสือเฟิงก็เป็นลูกศิษย์ของนิกายอวี้ซวี หากสือเฟิงไปกับพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จริง เขาย่อมต้องดูแคลนสือเฟิงเป็นแน่

ถึงแม้บรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้สือเฟิงก้าวหน้าได้ดีขึ้น

แต่กระนั้นเรื่องต่าง ๆ ไม่อาจมองแค่ผลประโยชน์ด้านเดียว อุปนิสัยและศีลธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

หากไร้ซึ่งคุณธรรม ต่อให้วันหน้าได้เป็นยอดฝีมือบันลือโลกก็ถือป็นคนล้มเหลวอยู่ดี

บัดนี้ท่านเซียนพาสือเฟิงกลับมา เขารู้ดีว่าไม่เพียงแต่ปัญหาของสือเฟิงจะได้รับการแก้ไข แต่สือเฟิงยังจะทะยานสู่ฟ้า โบยบินไปในนภาได้อีกด้วย!

เขาดีใจมาก ดีใจแทนสือเฟิง โอรสสวรรค์ผู้น่าทึ่งถึงไม่ควรต้องถูกลบหายไปทั้งอย่างนั้น

โดยเฉพาะสือเฟิงที่นิสัยดีถึงเพียงนี้!

‘ไม่รู้ว่าเขาทราบถึงข้อห้ามของท่านเซียนหรือเปล่า…’

ผู้เฒ่าเมิ่งจีคิดในใจ

ท่านเซียนพาสือเฟิงกลับมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลิขิตสวรรค์ได้หล่นทับหัวสือเฟิงเข้าแล้ว เขากลัวแค่ว่าสือเฟิงจะรับโอกาสการเปลี่ยนแปลงที่มาหาถึงที่ไม่ได้ แล้วดันไปฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียนเข้า!

หากฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียนจริง ๆ บุญครานี้คงได้แปรเปลี่ยนไปเป็นกรรมแน่…

‘มีโอกาสแล้วข้าต้องเตือนเขาเสียหน่อย!’

ผู้เฒ่าเมิ่งจีคิดในใจ

เขาชื่นชอบสือเฟิงมาก ไม่อยากให้สือเฟิงสูญเสียโอกาสวาสนาใหญ่หลวงเยี่ยงนี้ไป

“ลานด้านหลังมีที่พัก อยู่ที่นี่ไปก่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้รอเด็ก ๆ มากันแล้วข้าจะเริ่มเล่าตำนานไซอิ๋วให้ฟัง”

หลี่จิ่วเต้าบอกกับสือเฟิงพลางยิ้ม ก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มไปยังลานด้านหลัง

“ได้!”

สือเฟิงพยักหน้าอย่างตื้นตัน ไม่กล้าผลีผลามพูดอะไรออกไป

หลี่จิ่วเต้าเห็นสีหน้าตื้นตันของสือเฟิงแล้วก็นึกในใจไปว่าตำนานสถาปนาเทวดานี้สุดยอดจริง ๆ ขนาดผู้ฝึกตนยังติดงอมแงมเช่นนี้ แถมยังเฝ้ารอไซอิ๋วที่เขาจะเล่าต่อไปด้วย

“เมิ่งจี เจ้ารับแขกไปก่อน ข้าจะออกไปซื้อกับข้าวหน่อย”

ชายหนุ่มมองผู้เฒ่าเมิ่งจี ก่อนจะเอ่ยปาก

สือเฟิงเป็นผู้ฝึกตนแล้วยังมีจิตใจโอบอ้อมอารี เขาจึงตัดสินใจทำอาหารมื้อโอชะเพื่อรับรองสือเฟิง

“ได้เลยนายท่าน ข้าจักรับรองแขกผู้มีเกียรติเป็นอย่างดี!”

ผู้เฒ่าเมิ่งจีตอบรับอย่างนอบน้อม

ซื้ออาหาร?

ด้วยระดับขั้นของท่านเซียน ยังต้องกินข้าวอยู่อีกหรือ?

อย่าว่าแต่ท่านเซียนเลย เขาในตอนนี้ไม่กินข้าวยังได้ และไม่เกิดปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นด้วย

สือเฟิงคิดในใจด้วยความฉงน

ทว่าเขาไม่กล้าถามอะไรออกไปมั่ว ๆ ทุกการกระทำของท่านเซียนย่อมแฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ ถามจนล่วงรู้ทุกอย่างย่อมไม่เกิดประโยชน์ต่อเขาแต่อย่างใด

พูดให้น้อย ถามให้น้อยจึงจะเป็นทางเลือกอันชาญฉลาด!

“อืม”

หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าให้เมิ่งจี จากนั้นจึงหันไปบอกกับสือเฟิงว่า ไม่ต้องเกรงใจ หากต้องการสิ่งใดให้บอกกับผู้เฒ่าเมิ่งจี

“ได้!”

เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางตอบ

พูดน้อยเหลือเกิน…

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ ตั้งแต่เขาได้พบสือเฟิง สือเฟิงก็ไม่พูดอะไรมาก…

ทว่าเขากลับไม่ได้ใส่ใจนัก ถึงอย่างไรต่างคนต่างก็มีนิสัยเป็นของตัวเอง บางคนช่างพูด บางคนไม่ช่างพูด

ชายหนุ่มพยักหน้าให้สือเฟิง แล้วจึงเดินออกจากลานเล็กไป

หลังท่านเซียนเดินออกไป สือเฟิงถึงโล่งอก เพราะตอนที่ท่านเซียนอยู่ เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องรับความกดดันเพียงใด…!

“เจ้าคือโอรสสวรรค์ที่ไร้ผู้ใดทัดเทียมแห่งภาคกลางเมื่อหกปีก่อนหรือ?”

ลั่วสุ่ยวิ่งออกมา ดวงตาแมวคู่นั้นเรืองรองดั่งอัญมณีสีฟ้า นางมองสือเฟิงพลางกล่าวถามออกมา

“เจ้าคือ…?”

สือเฟิงคิดไม่ถึงว่าแมวน้อยตัวนี้รู้จักเขาได้อย่างไร

“ข้ามาจากเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ ราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์คือบิดาของข้า”

ลั่วสุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“องค์หญิงแห่งเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์หรือ?”

สือเฟิงพลันตกตะลึง เผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ทัดเทียมแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าแมวน้อยตรงหน้าจะเป็นถึงองค์หญิงแห่งเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์

“ใช่แล้ว”

ลั่วสุ่ยยิ้ม

“มิน่าเล่า!”

สือเฟิงนึกถึงเรื่องหนึ่งในภาคกลางที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมาก จนบัดนี้ก็ยังมีผู้คนมากมายในภาคกลางที่คิดไม่ตก

ครานั้นเกิดเหตุพลิกผันกับเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ ยอดฝีมือในเผ่าถูกวางยาพิษร้ายแรง แล้วราชันอสรพิษโซ่แดงก็นำทัพยอดฝีมือเผ่าอสรพิษโซ่แดงบุกเข้าไป

ราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์แผดเผาแก่นกำเนิดชีวิตเพื่อต่อสู้ จนพาธิดาของตนหนีออกมาได้

หลังจากนั้น นอกจากราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์จะไม่ตายแล้ว เขากลับร่วมมือกับสหายรักของตนเพื่อล้างแค้นต่อเผ่าอสรพิษโซ่แดง

ทว่าเผ่าอสรพิษโซ่แดงทราบข่าวตั้งแต่แรกจึงวางกับดักไว้ล่วงหน้า เชื้อเชิญทั้งหกเผ่าใหญ่และสี่แดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อมาเป็นกองหนุน ด้วยเหตุนี้ ราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์และสหายของเขาจึงเป็นฝ่ายติดกับแทน

เดิมทีนี่เป็นสถานการณ์ที่จบสิ้นแล้ว ดูอย่างไรราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์และสหายก็ไม่มีทางรอด

ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า เจ้านิกายรุ่นก่อนของนิกายลับสวรรค์จะไปเยือนด้วยตัวเอง ช่วยพลิกวิกฤตของราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์!

มีสองเรื่องใหญ่ที่ผู้คนคิดไม่ตก…

หนึ่งคือเหตุใดราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์ซึ่งแผดเผาแก่นกำเนิดชีวิตไปแล้วถึงไม่ตายตก สองคือเหตุใดเจ้านิกายรุ่นก่อนแห่งนิกายลับสวรรค์ถึงออกโรงช่วยราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์ โดยไม่คำนึงถึงพลังชีวิตที่ต้องเผาผลาญไป!

บัดนี้สือเฟิงเข้าใจแล้วอย่างสิ้นเชิง

ที่ราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์ไม่ตายต้องเป็นเพราะท่านเซียนยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป็นแน่ และที่เจ้านิกายรุ่นก่อนแห่งนิกายลับสวรรค์เข้าช่วยเหลือราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์ โดยไม่คำนึงถึงการเผาผลาญชีวิตของตนก็ต้องเกี่ยวข้องกับท่านเซียนเป็นแน่!

ผู้เฒ่าเมิ่งจีกับองค์หญิงแห่งเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์อยู่ในลานเต๋าของท่านเซียน นับว่าบ่งบอกทุกสิ่งแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย…

“ท่านเซียนช่างสุดยอดจริง ๆ สองเรื่องใหญ่ที่ทำให้ทั้งภาคกลางตกตะลึง ล้วนเป็นฝีมือของท่านเซียนทั้งสิ้น!”

สือเฟิงสะท้อนใจอย่างอดไม่ได้

“ท่านเซียน?” ผู้เฒ่าเมิ่งจีมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขามองสือเฟิงพลางถาม “เจ้าเคยเรียกท่านเซียนต่อหน้านายท่านหรือไม่?”

“ทำไมหรือ? เรียกเช่นนี้มิได้หรือ?”

สีหน้าสือเฟิงเปลี่ยนไปเช่นกัน พลันรับรู้ได้ถึงบางอย่าง

“ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว! นี่เป็นข้อห้ามของนายท่าน!”

ผู้เฒ่าเมิ่งจีตักเตือนด้วยท่าทางจริงจัง “นายท่านพเนจรโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน เรียกขานตนเองว่าปุถุชนในทุกหนแห่ง การได้พบกับนายท่านนับเป็นบุญวาสนาสูงสุดของเจ้า เจ้าอย่าได้ถือวิสาสะฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียนเป็นเด็ดขาด!”

“มิน่าเล่า!”

สือเฟิงสะท้านใจยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาพอรับรู้ถึงข้อนี้แล้ว

“ยังดีที่ข้ามิได้พูดมาก ถามมากนัก!”

เขาเอ่ยขึ้นอย่างนึกโชคดี ยังดีที่เขาตัดสินใจเลือกทางเดินอันชาญฉลาด มิได้โง่เง่าไถ่ถามให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้น เขาได้แย่จริง ๆ แน่!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท