บทที่ 122 ห่างชั้นกันเกินไป การสืบสานเทียบไม่ได้เลย
หลังจากสั่งการหูช่วงเรียบร้อยแล้ว ประมุขแดนศักดิ์สิทธิเหิงเทียนถึงเบาใจลง
“สหายเต๋า ข้าจัดแจงเสร็จแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เข้ามาหายอดฝีมือวัยกลางคนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
และบัดนี้เวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งวัน
‘ใช้ได้… อย่างไรก็เป็นถึงประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ รู้ว่ายามไหนควรรุกยามไหนควรถอย มองรูปการณ์ออก ไม่มัวชักช้าถ่วงเวลา หลังจากจัดการธุระเสร็จก็มานี่เลย’
ยอดฝีมือวัยกลางคนพูดกับตัวเองด้วยความพอใจ
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด” เขากล่าว
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน
ทันทีที่ออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน และเดินไปได้ไม่ไกล ยอดฝีมือวัยกลางคนก็ชะงักฝีเท้าลง
เขาคลี่ยิ้มก่อนจะหยิบแท่นค่ายกลออกมา แล้วจึงโยนลงไปที่พื้น พริบตานั้นอักขระลวดลายวูบไหว ค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งปรากฏบนพื้นในทันที
“นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เชื่อมตรงไปถึงลัทธิข้า เราเดินทางกันแบบนี้ไวกว่าและไม่เสียเวลาด้วย ท่านประมุขเชิญ” เขาบอก
‘ลึกลับจริงเชียว…’
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดในใจ
ที่ว่าไวกว่าและไม่เสียเวลาอะไรนั่น เขารู้ดีว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ประเด็นสำคัญคือยอดฝีมือวัยกลางคนไม่ต้องการเปิดเผยที่ตั้งของลัทธิไท่เสวียน
“ได้”
เขามิได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น แต่ก้าวขึ้นสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที
ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าเป็นเช่นไร เขาก็ขอบุกเข้าไปสักครา อย่างไรแล้วภารกิจที่ท่านเซียนมอบหมายให้ก็สำคัญที่สุด!
‘วางตัวได้ดีนี่…’
ยอดฝีมือวัยกลางคนพึงใจในตัวประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์รู้ตัวว่าต่อกรด้วยไม่ไหว ก็ทำตามเขาทุกอย่าง สมเป็นประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ รู้จักจังหวะรุกรับ และมีขอบเขต
จากนั้นตัวเขาเองก็ก้าวขึ้นไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย พร้อมเปิดใช้งานมัน
ชั่วพริบตา บังเกิดลำแสงเปล่งประกายระยิบระยับ แล้วร่างของพวกเขาก็หายไปจากที่แห่งนั้น ซ้ำแล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายบนพื้นก็หายตามไปด้วย
อีกด้านหนึ่ง หูช่วงมิกล้ารอช้า เขารีบรุดเดินทางออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมุ่งตรงไปที่นิกายลับสวรรค์ทันที!
…
“ถึงแล้ว”
เมื่อมาถึงที่ตั้งลัทธิไท่เสวียนแล้ว ยอดฝีมือชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา พลางเอ่ยกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน
หน้าประตูเขาปรากฏแท่นศิลาโบราณมหึมาตั้งอยู่ เมื่อเห็นคำว่า ‘ลัทธิไท่เสวียน’ สลักอยู่บนนั้น มันก็สร้างความสะท้อนใจให้ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเป็นอย่างมาก
‘การสืบสานทำได้สมบูรณ์กว่าบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขามาก!’
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดในใจ
เหล่าแดนศักดิ์สิทธิ์ในยุคนี้แม้ได้รับการสืบสานจากโบราณกาล ทว่ากลับมิได้รับมาโดยสมบูรณ์นัก
สถานที่ตั้งของบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง มิใช่สถานที่ตั้งที่เคยเป็นในยุคโบราณกาล
สถานที่ตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ในยุคโบราณกาลสลายหายไปและไม่มีอยู่อีกแล้ว
ทว่าลัทธิไท่เสวียนหาใช่เช่นนั้นอย่างเห็นได้ชัด
แท่นศิลาโบราณหน้าประตูแท่นนี้ รวมถึงทั้งลานเต๋าในลัทธิไท่เสวียนล้วนมีกลิ่นอายโบราณอบอวลอยู่ทั่ว พร้อมกับลมปราณจากยุคโบราณกาล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล…
มิน่าเล่า ยอดฝีมือวัยกลางคนถึงเรียกแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จอมปลอม แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของพวกเขามิใช่แดนศักดิ์สิทธิ์จอมปลอมหรือ แม้กระทั่งที่ตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ดั้งเดิมยังไม่อาจรักษาการสืบสานไว้ได้
“สหายเชิญ”
ยอดฝีมือวัยกลางคนพาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเข้าไปในลานเต๋า
ระหว่างทาง ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนได้เห็นสมุนไพรเก่าแก่ต้นแล้วต้นเล่า ล้วนเป็นสมุนไพรโบราณที่คนภายนอกลือกันว่าสูญพันธุ์ไปนานแล้ว เขายิ่งสะท้อนใจเข้าไปใหญ่
แดนศักดิ์สิทธิ์ในยุคนี้อย่างพวกเขาไม่อาจเทียบกับลัทธิไท่เสวียนได้เลย…
อย่างน้อย ๆ แดนศักดิ์สิทธิ์ในยุคนี้อย่างพวกเขาก็ไม่มีสมุนไพรโบราณเยี่ยงนี้สักต้น…
นอกจากนี้ เขายังได้พบลูกศิษย์ลัทธิไท่เสวียนไม่น้อย ศักยภาพของแต่ละคนยอดเยี่ยมสุด ๆ ขอบเขตแต่ละคนสูงส่งยิ่ง เทียบกับลูกศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้วเหนือกว่ามากโข!
‘รักษาการสืบสานไว้ได้มากจริง ๆ!’
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดในใจขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เป็นถึงแดนศักดิ์สิทธิ์จากโบราณกาลเหมือนกัน เหตุใดยามนี้ต่างห่างชั้นกันถึงเพียงนี้
เห็นได้ชัดว่าความห่างชั้นนี้ขึ้นอยู่กับการสืบสานทั้งมวล การสืบสานที่พวกเขารักษาไว้ได้มิสู้ลัทธิไท่เสวียนจริง ๆ
“ท่านประมุขรอสักครู่ ข้าขอเข้าไปรายงานก่อน”
เมื่อมาถึงหน้าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง ยอดฝีมือวัยกลางคนก็หยุดฝีเท้าลง
“ได้”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนพยักหน้า
จากนั้นยอดฝีมือวัยกลางคนก็เข้าไปในตำหนักใหญ่
“เจ้าลัทธิเชิญท่านประมุขเข้าไป”
ผ่านไปไม่นาน ยอดฝีมือวัยกลางคนเดินออกจากตำหนัก แล้วบอกกล่าวกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า เดินตามเข้าไปในตำหนัก ก่อนจะได้พบเจ้าลัทธิแห่งลัทธิไท่เสวียนในที่สุด
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคน บารมีเกรียงไกร เลือดลมพลุ่งพล่าน แต่ละครั้งที่กะพริบตา ราวกับมีลำแสงเจิดจ้าทิ่มแทงออกมา ซ้ำแล้วยังสะกดใจคนจนดูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนถึงกับสะท้อนใจอีกครั้ง
เขากับเจ้าลัทธิไท่เสวียนเดิมควรมีฐานะเท่าเทียมกัน ทว่าบัดนี้…มันเท่าเทียมเสียที่ไหนกันนี่?
เจ้าลัทธิแห่งลัทธิไท่เสวียนอยู่เหนือเหล่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ไปมาก…
‘แล้วอย่างไรเล่า? ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น! เจ้ามีการสืบสานของเจ้า ข้ามีวาสนาการเปลี่ยนแปลงของข้า!’
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดในใจ
เขาได้พบท่านเซียนท่านหนึ่ง ซ้ำบัดนี้ยังเป็นธุระให้ท่านเซียนผู้นั้น สถานการณ์ในตอนนี้เป็นเพียงของชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแล!
ในภายภาคหน้า แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนของพวกเขาย่อมต้องแกร่งกล้ากว่าลัทธิไท่เสวียนอย่างแน่นอน!
ถึงครานั้น ลัทธิไท่เสวียนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะสวมรองเท้าให้พวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน!
“ฮ่า ๆ เชิญท่านประมุขมาโดยพลการ โปรดอภัยให้ด้วย ไช่หนานมิได้ทำให้ท่านประมุขลำบากใช่หรือไม่?”
เจ้าลัทธิไท่เสวียนหัวเราะร่วน เขาเดินลงจากด้านบน
ไช่หนานที่เขาพูดถึง เห็นได้ชัดว่าหมายถึงยอดฝีมือวัยกลางคนผู้นั้น
“เปล่าเลย สหายไช่มีมารยาทยิ่ง เจ้าลัทธิเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนยิ้มรับ
“เช่นนั้นก็ดี”
เจ้าลัทธิไท่เสวียนกล่าว “ไช่หนานคงบอกท่านประมุขแล้วใช่หรือไม่ ว่าพวกเราเชิญท่านประมุขมาที่นี่เพื่อการใด”
“บอกแล้ว” ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนพยักหน้าตอบ
“ในเมื่อท่านประมุขมาแล้ว ก็หมายความว่าท่านประมุขตกลงรับปากแล้ว วางใจเถิด พวกเราจักไม่เอาเปรียบท่านประมุขเป็นแน่ ท่านประมุขมีข้อเรียกร้องใดเอ่ยมาได้เลย!”
เจ้าลัทธิไท่เสวียนบอกอย่างใจกว้าง
‘ข้าขอทุกสิ่งที่หาได้จากแดนลับเลยได้หรือไม่?’
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวในใจอย่างดูแคลน
ขอสิ่งใดก็ได้ หลอกผีอยู่หรือไร หากเรียกร้องในสิ่งที่เกินไป เจ้าลัทธิไท่เสวียนไม่โมโหสิแปลก!
ทว่าสิ่งที่ต้องขอก็ต้องขอ
เขาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าลัทธิไท่เสวียนรู้เรื่องแดนลับเพียงใด ภายในแดนลับมีสมบัติล้ำค่าเพียงอย่างเดียว หรือมีอยู่หลากหลายชนิด”
เจ้าลัทธิไท่เสวียนมองประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน นัยน์ตาพลันเปล่งประกายเจิดจ้า
เขาเข้าใจความหมายโดยนัยของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนแล้ว
ความต้องการสูงใช้ได้นี่…
ที่ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนถามถึงสมบัติล้ำค่าภายในแดนลับว่ามีมากน้อยเพียงใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาหมายตาสมบัติล้ำค่าในแดนลับอยู่
“เรื่องอื่นข้ามิกล้ารับประกัน แต่สมบัติล้ำค่าภายในนั้นมีเยอะเป็นแน่ เคยมีคนในลัทธิเราเข้าไป พบว่าด้านในมีสมบัติประเภทกาลเวลาอยู่มาก”
เขาปริปากต่อ “แต่น่าเสียดายนัก ด้านในนั้นสะกดพลังวิถีทั้งหมดไว้จึงยากจะเข้าใกล้ ได้แต่มองสมบัติเหล่านั้นเฉย ๆ แล้วกลับมามือเปล่า”
“เจ้าลัทธิ ท่านว่าอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าทุ่มเทกำลังทั้งหมดเข้าไปแย่งชิงสมบัติในนั้น ทว่าสมบัติล้ำค่าที่ได้มาข้าขอเลือกก่อนหนึ่งชิ้นได้หรือไม่”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าว “เจ้าลัทธิวางใจได้ ข้าไม่มีทางนำสมบัติล้ำค่ากลับมาเพียงชิ้นเดียวอยู่แล้ว”
ไม่ว่าภายหน้าจะเป็นอย่างไร ได้รับคำมั่นจากเจ้าลัทธิไท่เสวียนก่อนย่อมเป็นการดีกว่า
นอกจากนี้ เขาก็ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดอีกด้วย
เรียกร้องสิ่งใดไปก็เปล่าประโยชน์ ลัทธิไท่เสวียนไม่มีทางทำให้อยู่แล้ว รอเขาออกจากแดนลับได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน…
เจ้าลัทธิไท่เสวียนคลี่ยิ้ม “ได้ ในเมื่อท่านประมุขมั่นใจถึงเพียงนี้ ไฉนเลยข้าจะไม่ตอบตกลง ถึงอย่างไรผู้ที่ต้องออกแรงก็คือท่านประมุข”
เขาตอบตกลง
ทว่าเขามิได้ใส่ใจเท่าใด
สิทธิ์เสียงนั้นกุมอยู่ในมือของผู้ที่แกร่งกว่าเสมอ ผู้ที่แกร่งกว่าว่าอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น!
พวกเขาแข็งแกร่งกว่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน ถึงเวลานั้น ให้หรือไม่ให้อยู่ที่การตัดสินใจของพวกเขา…