บทที่ 126 วันนี้จะเล่าเรื่องไซอิ๋วหรือสถาปนาเทวดาดีเล่า?
สือเฟิงครุ่นคิดในใจมากมาย
เมื่อนานมาแล้วเขาเองก็เคยถูกผู้ฝึกตนเคารพบูชาเช่นกัน ทว่าตอนนี้คงยากที่จะฝันถึงอีก…
โฮก โฮก โฮก!
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทุกคนต่างได้ยินเสียงคำรามสัตว์ร้ายดังมาแต่ไกล ดูเหมือนจะมีสัตว์ร้ายบางส่วนมุ่งมาทางเขาลี่
หลี่จิ่วเต้ามองกลับไปทางนั้น
ตอนนั้นเองสือเฟิงก็เอ่ยขึ้น “วางใจเถิด…ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง”
ชีวิตเขาร่วงหล่นตกต่ำ ขอบเขตฝึกตนใช้เวลาถึงหกปีทว่าไม่ก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย จึงสูญเสียความภาคภูมิในฐานะผู้ฝึกตนของตนเองไป…
แต่ ณ ที่นี้ ต่อหน้าพวกเด็ก ๆ กับหลี่จิ่วเต้าผู้เป็นปุถุชนคนธรรมดา เขากลับหาความรู้สึกภาคภูมิใจเจอ และอยากแบกชะตาชีวิตผู้อื่นเอาไว้ เพื่อบอกว่าเขาผู้นี้หาใช่คนไร้ประโยชน์ไม่ ทั้งยังสามารถปกป้องผู้คนได้!
“ข้าไม่ได้กังวลคนที่นี่ ข้าแค่เป็นกังวลแทนคนที่อยู่บนเขา…”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว
ที่แห่งนี้มีผู้ฝึกตนอยู่คนหนึ่ง ซ้ำยังมีเขาอยู่ด้วย ชายหนุ่มไม่คิดว่าตรงนี้จะมีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นได้
จู่ ๆ ก็มีสัตว์ร้ายจำนวนมากวิ่งพล่านไปมาในเขาลี่ หลี่จิ่วเต้าคิดว่าชาวบ้านบนภูเขาคงไม่รู้เรื่องนี้แน่ จึงกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับชาวบ้านบนภูเขาได้
ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีสัตว์ร้ายในเขาลี่มาก่อน ชาวบ้านไม่ได้เตรียมพร้อมเช่นกัน…
“ข้าจะไปจัดการให้”
ร่างของสือเฟิงขยับเล็กน้อย โคจรพลังปราณทั่วทั้งร่างก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา
ไม่นานหลังจากนั้น หลี่จิ่วเต้าก็ได้ยินเสียงคำรามปนเจ็บปวดของสัตว์ร้ายมากมาย คาดว่าเป็นสือเฟิงที่จัดการพวกมัน
“ผู้ฝึกตนก็คือผู้ฝึกตนสินะ…”
หลี่จิ่วเต้าทอดถอนหายใจ
เขาเองก็ฝึกวิชาวรยุทธมาบ้าง ถึงแม้ร่างกายจะดูเหมือนบัณฑิตอ่อนปวกเปียก แต่สมรรถภาพร่างกายของเขาถือว่าดีกว่าปุถุชนทั่วไปมากนัก
ชายหนุ่มแข็งแกร่งหลายคนยังเข้าใกล้เขาไม่ได้ สัตว์ร้ายก็ยากจะทำร้ายเขาได้
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเทียบกับผู้ฝึกตนไม่ได้อยู่ดี…
หากมีสัตว์ร้ายหลายตัว คงยากจะจัดการได้ในชั่วพริบตา และหากคิดอยากกวาดล้างพวกมันอย่างรวดเร็ว เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้…
ไม่นานหลังจากนั้น สือเฟิงก็กลับมาหาพวกเขาที่เดิม
“ข้าจัดการแล้ว ไม่มีปัญหาใดให้ต้องกังวลใจต่อไปแล้ว”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเบา เสื้อผ้าของเขาเรียบร้อยสะอาดสะอ้านราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
“โอ้”
หลี่จิ่วเต้าตอบรับ เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เด็กหนุ่มผู้ฝึกตนคนนี้ดูเหมือนไม่ปรารถนาจะพูดจาอะไรให้มากความ
เขาไม่สามารถฝึกตนได้ แต่เขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยเหยียนและผู้เฒ่าเวิง เซี่ยเหยียนเป็นถึงศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักไท่หัว อีกทั้งผู้เฒ่าเวิงอยู่ในสำนักไท่หัวก็มีตำแหน่งสูงส่ง เด็กหนุ่มผู้ฝึกตนคนนี้อาจมีฝีมือร้ายกาจ แต่ก็ไม่น่าจะเทียบกับเซี่ยเหยียนและผู้เฒ่าเวิงได้
เขาเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปประจบประแจงเด็กหนุ่มผู้ฝึกตนคนนี้…
“คุณชายขอรับ นิทานที่ท่านเล่าให้ข้าฟังคราวก่อนยังไม่จบเลย!”
“จริงด้วย คุณชายยังเล่านิทานที่ท่านเล่าคราวก่อนให้ข้าฟังไม่จบเลย!”
พวกเด็ก ๆ เล่นกันจนเหนื่อยแล้วก็พากันวิ่งไปหาหลี่จิ่วเต้า อยากจะฟังหลี่จิ่วเต้าเล่านิทาน
หลี่จิ่วเต้าก็นึกขึ้นมาได้ ตอนที่ตนไปรักษาไปให้บิดามารดาของเจ้าเด็กพวกนี้ เขาเห็นว่าเด็ก ๆ เศร้าซึมไม่มีความสุขก็เลยเล่านิทานให้พวกเด็ก ๆ ฟัง
พวกเด็ก ๆ ล้วนชอบจินตนาการและที่แห่งนี้ก็คือโลกแห่งการฝึกตน พวกเด็ก ๆ ทุกคนย่อมใฝ่ฝันอยากจะเป็นเซียน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเล่านิยายในตำนานบนดาวเคราะห์สีฟ้าอย่าง ‘ไซอิ๋ว’ กับ ‘สถาปนาเทวดา*[1]’ ให้เด็ก ๆ ฟัง
‘ไซอิ๋ว’ กับ ‘สถาปนาเทวดา’ ต่างเป็นนิยายปรัมปราโด่งดังบนดาวเคราะห์สีฟ้า ซ้ำยังเป็นนิยายเรื่องโปรดของเขาอีกด้วย จินตนาการของคนโบราณช่างคิดช่างสร้างสรรค์จริง ๆ จนเขารู้สึกเลื่อมใสอย่างเสียไม่ได้
หลังจากหลี่จิ่วเต้าตื่นขึ้นมาอยู่ในโลกแห่งการฝึกตน เขาก็เกิดความคิดที่ว่าเรื่อง ‘ไซอิ๋ว’ กับ ‘สถาปนาเทวดา’ มิแน่อาจเป็น…เรื่องที่เกิดขึ้นจริง!
ถึงอย่างไร ในโลกแห่งนี้ก็สามารถบำเพ็ญวิถีจนกลายเป็นเซียนได้ เหตุใดบนดาวเคราะห์สีฟ้าจะทำบ้างไม่ได้เล่า?
ชายหนุ่มแยกไปบ้านของพวกเด็ก ๆ แต่ละคน เรื่องที่เล่าย่อมแตกต่างกัน บ้านหนึ่งเล่าเรื่องไซอิ๋ว อีกบ้านหนึ่งเล่าเรื่องสถาปนาเทวดา สลับเล่าเรื่องกันแต่ละบ้าน
ที่สลับเล่าเรื่องเพราะคำพูดของเขาจะได้ไม่น่าเบื่อ อันที่จริง หลี่จิ่วเต้ามักรู้สึกว่าหากเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ มันจะน่าเบื่อเกินไป
ตอนนี้พวกเด็ก ๆ อยากให้เขาเล่าเรื่องนิทาน เขาพลันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย…
‘จะเล่าอย่างไรดี?’
‘ไซอิ๋ว’ หรือ ‘สถาปนาเทวดา’?
“คุณชายเจ้าคะ หลังท่านเล่านิทานเรื่องนั้นให้ข้าฟัง ข้าก็เอาแต่คิดถึงนิทานเรื่องนั้นทั้งวัน ตอนนอนข้าก็คิด มีหลายครั้งที่ข้าอยากไปหาคุณชาย ขอให้คุณชายเล่านิทานให้ข้าฟัง แต่แม่ของข้าไม่ให้ไปเพราะกลัวจะรบกวนคุณชายเอาได้…”
เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตาคลอเบ้า กล่าวด้วยท่าทางน่าสงสาร “คุณชายเจ้าคะ วันนี้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังให้จบเถิดเจ้าค่ะ!”
หลี่จิ่วเต้ามองเด็กหญิงตัวน้อย ในใจพลันรู้สึกอดรนทนไม่ได้ และไม่อยากให้เด็กหญิงตัวน้อยผิดหวังจึงบอก “เอาสิ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะเล่าเรื่องสถาปนาเทวดาดีหรือไม่?”
เรื่องที่เขาเล่าให้เด็กหญิงตัวน้อยฟัง คือเรื่องสถาปนาเทวดา
“ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ คุณชายใจดีที่สุดเลย!”
เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
พวกเด็ก ๆ ที่อยากฟังเรื่องไซอิ๋วต่างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พวกเขาเองก็ถูกเรื่องไซอิ๋วตามหลอกหลอนแม้กระทั่งในฝันเช่นกัน ครั้งหน้าพวกเขาจะต้องได้ฟังเรื่องไซอิ๋วให้จบ
หลี่จิ่วเต้าเห็นพวกเด็กบางคนผิดหวังเขาก็กล่าว “สถาปนาเทวดาเองก็ดีเช่นกัน วันนี้ข้าเล่าเรื่องสถาปนาเทวดาให้พวกเจ้าฟัง พรุ่งนี้พวกเจ้ามาหาข้า ประเดี๋ยวข้าเล่าเรื่องไซอิ๋วให้พวกเจ้าฟังดีหรือไม่?”
ถ้าต้องเล่าเรื่องไซอิ๋วกับสถาปนาเทวดาให้จบภายในวันนี้ คงจะค่ำเกินไป เขาเล่าได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
“พวกเราฟังคำของคุณชาย!”
เด็ก ๆ ตอบรับคำ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่พอใจเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ได้คำสัญญาจากคุณชายแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะไปหาคุณชาย ให้คุณชายเล่าเรื่องไซอิ๋วให้ฟัง!
สัตว์ร้ายบนภูเขาถูกกำจัดไปแล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว
ในใจสือเฟิงนึกอยากออกจากที่นี่
แม้ว่าด้วยขอบเขตบ่มเพาะของตนเอง เป็นไปได้ยากที่จะประสบกับโชคครั้งใหญ่ในแดนบูรพาทิศ แต่อย่างไรเขาก็อยากลองพยายามให้ถึงที่สุด…
หากไม่พยายาม มันคงถือเป็นการทำลายความหวังดีของฉินซินที่พาเขามาแดนบูรพาทิศแล้ว
ขณะที่สือเฟิงกำลังจะจากไป หลี่จิ่วเต้าก็เริ่มเล่าเรื่องสถาปนาเทวดา
เด็กบางคนไม่เคยฟังเรื่องสถาปนาเทวดา หลี่จิ่วเต้าคำนึงถึงพวกเด็กที่ยังไม่ได้ฟัง จึงเริ่มเล่าเรื่องสถาปนาเทวดาตั้งแต่ต้น
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เมื่อครั้นปฐมกาลเต็มไปด้วยความโกลาหล ผานกู่พลันตื่นขึ้นมา ก่อกำเนิดหยินหยางและทิศทางทั้งสี่*[2]
ท้องนภาและผืนพิภพแยกออกจากกัน ก่อเกิดมนุษย์ขึ้นมา ทว่าแผ่นดินเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย จำต้องสร้างที่พักอาศัยเพื่อหลบภัย
ซุ่ยเหริน*[3]เรียนรู้ที่จะใช้ไฟปรุงอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารดิบ ส่วนฝูซี*[4]นั้นคิดค้นแผนภูมิปากว้า*[5]
เสินหนง*[6]ลิ้มลองพรรณพืชเพื่อแยกแยะสมุนไพรรักษาโรค เผ่าเซวียนหยวน*[7]คิดค้นสังคีตศิลป์และการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน
ยุคสมัยของจักรพรรดิเส้าฮ่าว*[8]และห้าจักรพรรดิ ไพร่ฟ้าเกลื่อนแผ่นดิน อวี่*[9]แก้ปัญหาอุทกภัย สร้างเขื่อนควบคุมกระแสน้ำได้สำเร็จ…”
เมื่อเรื่องราวถูกเล่าออกมา สือเฟิงก็ตื่นตกใจจนยืนนิ่ง ภายในใจของเขาราวกับมีคลื่นนับพันโหมกระหน่ำ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ ตอนนี้กล่าวได้เพียงว่า… ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก!
นี่ นี่ นี่… ปุถุชนสามารถแต่งบทกวีเช่นนี้ออกมาได้ด้วยหรือ?
เขาจ้องมองหลี่จิ่วเต้าในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ!
ทุกถ้อยคำในบทกวีแฝงไปด้วยความนัยเหนือชั้น บรรยายการก่อกำเนิดฟ้าดิน หมื่นธรรม หมื่นวิถี สรรพวิญญาณ สรรพสิ่ง!
สือเฟิงได้ยินบทกวีก็ราวกับว่าตัวเขาอยู่ในฉากเหตุการณ์ สามารถรับรู้ได้ถึงฟ้าดิน หมื่นธรรม หมื่นวิถี สรรพวิญญาณ สรรพสิ่ง!
เขาตกใจกลัวจนแทบเสียขวัญ จิตวิญญาณสั่นเทาจนมิอาจสงบลงได้
แท้จริงแล้วท่านผู้นี้มีตัวตนเช่นไร ไฉนถึงมีความสามารถน่าหวาดเกรงเช่นนี้?
บรรยายการก่อกำเนิดฟ้าดิน หมื่นธรรม หมื่นวิถี สรรพวิญญาณ สรรพสิ่งออกมาได้อย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ ผู้ใดเล่าจะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้?
มหาจักรพรรดิ…ทำได้หรือไม่?
หรือว่าจะเป็น… เหลวไหลไปใหญ่!
เซียน…สามารถไหมนะ?
ย่อมทำได้เป็นแน่!
นึกย้อนถึงจุดกำเนิดวิถีฟ้าดิน หมื่นธรรม หมื่นวิถี สรรพวิญญาณ สรรพสิ่งที่เล่ามาก่อนหน้านี้ เรื่องเล่ากับขอบเขตเช่นนี้ เขาไม่กล้าจินตนาการและยิ่งไม่อยากนึกจินตนาการด้วยซ้ำ!
[1] สถาปนาเทวดา เป็นนิยายจีนซึ่งประพันธ์ขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง เนื้อหาใช้ภาษาชาวบ้าน มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยตอน จัดพิมพ์ครั้งแรกราวทศวรรษที่ 1550 และจัดอยู่ในประเภทนิยายภูตผีปีศาจ
[2] ว่ากันว่าผู้เชี่ยวชาญในสมัยก่อนได้นำหลักแนวคิดหยินหยาง มาแบ่งท้องฟ้าออกเป็นสี่ส่วน แล้วจึงกำหนดจตุรเทพทั้งสี่ขึ้นมา นั่นคือสัตว์เทวะสี่ตน ได้แก่ มังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ
[3] ซุ่ยเหริน หนึ่งในสามราชาเทพ ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมที่แนะนำมนุษย์ให้รู้จักการผลิตไฟและการนำไปใช้ในการปรุงอาหาร
[4] ฝูซี ผู้ก่อกำเนิดมนุษยชาติ เป็นหนึ่งในสามราชาเทพองค์แรก ในเรื่องสถาปนาเทวดา
[5] แผนภูมิปากว้า มีอีกชื่อว่า ยันต์แปดทิศ สามารถทำนายถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟ้า ดิน และมนุษย์ได้
[6] เสิ่นหนง หนึ่งในสามราชาเทพเห่งการเพาะปลูก เป็นที่เคารพนับถือในฐานะวีรบุรุษทางวัฒนธรรมแห่งยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจีน
[7] เผ่าเซวียนหยวน คือลูกหลานของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้)
[8] เส้าฮ่าว หนึ่งในห้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีน
[9] อวี่ เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ย ซึ่งนับเป็นราชวงศ์แรกของจีนที่มีการสืบราชบัลลังก์โดยสายโลหิต เกิดเมื่อ 2059 ก่อนคริสตกาล ที่หมู่บ้านเป่ยฉวน ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเสฉวน ได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในสามราชาห้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ผลงานที่โด่งดังคือการคิดค้นระบบชลประทานเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม