บทที่ 125 เฮ้อ เขาเองอยู่ต่อหน้าปุถุชนยังสามารถอวดอ้างตนเองได้!
“ขอรับ!”
“ไปกันเถิด!”
เด็กทั้งแปดคนหัวเราะอย่างร่าเริงและวิ่งไปข้างหน้า
พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็ก ๆ เหล่านี้แล้ว หลี่จิ่วเต้าอดไม่ได้จะยิ้มตามเช่นกัน
หลายวันที่ผ่านมา บรรยากาศในเมืองชิงซานนั้นน่าอึมครึมเหลือเกิน บิดามารดาของพวกเด็กเหล่านี้เกิดเรื่องขึ้น ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสจากนอกเมืองและหนีกลับเข้ามาในเมืองชิงซาน
เขาช่วยรักษาบิดามารดาของพวกเด็กเหล่านี้จนทุกคนพ้นขีดอันตราย
แต่พอตอนไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาของพวกเด็กเหล่านี้ กลับเห็นเด็กน้อยมีอาการเศร้าซึมไม่ต่างกัน ในใจของชายหนุ่มอดรนทนไม่ได้ ดังนั้นวันนี้เขาจึงพาเด็ก ๆ ออกไปวาดภาพที่เขาลี่
เขาลี่เป็นภูเขาที่มีทิวทัศน์งดงามเป็นอย่างยิ่งในเมืองชิงซาน เวลาว่างผู้คนในเมืองชิงซานมักจะไปชมทิวทัศน์ที่เขาลี่กัน
เขาลี่มีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับเนินเขาเขียว แต่แน่นอนว่าภายในป่าย่อมแตกต่างไปจากเนินเขาเขียว
ภายในเนินเขาเขียวมีสัตว์ป่าดุร้ายมากมายนัก แต่เขาลี่กลับไม่มีเลย มีเพียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ท่าทางเป็นมิตรเท่านั้น
ดังนั้นผู้คนในเมืองชิงซานจึงมักจะไปเที่ยวเล่นบนเขาลี่กัน
“ภูเขาข้างหน้า?”
ตอนนี้เองสือเฟิงพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย
ระหว่างทางเขาเห็นสัตว์ดุร้ายไม่น้อยวิ่งพล่านทั่วสารทิศ และบางส่วนก็มุ่งหน้าเข้าไปในภูเขาข้างหน้านี้ด้วย
เด็กหนุ่มเอ่ยปากอยากจะหยุดหลี่จิ่วเต้ากับเด็ก ๆ ไว้
หลี่จิ่วเต้าดูเหมือนบัณฑิตร่างกายอ่อนปวกเปียก หากเขาเผชิญกับสัตว์ร้ายเหล่านั้นจริง ๆ อีกฝ่ายย่อมป้องกันตัวเองไม่ได้แน่นอน นับประสาอะไรกับการปกป้องพวกเด็ก ๆ
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและมีความสุขของพวกเด็ก ๆ สุดท้ายสือเฟิงก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกให้พวกหลี่จิ่วเต้าหยุด
เด็ก ๆ เหล่านี้กำลังมีความสุข เขาทนไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขาผิดหวัง
‘ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ตามไปดูแลพวกเขาสักหน่อยแล้วกัน’
สือเฟิงกล่าวในใจก่อนจะรีบเดินตามไป
“ข้าเองก็อยากไปภูเขาข้างหน้าเช่นกัน พวกเราเดินไปด้วยกันเถิด”
เขาแย้มยิ้มบอกกับหลี่จิ่วเต้า
หลี่จิ่วเต้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้คิดให้มากความพลางตอบกลับว่า “เอาสิ”
เด็กหลายคนวิ่งเล่นและกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างกระตือรือร้น ไม่นานนักพวกเขาทุกคนก็มาถึงเขาลี่
หลายวันมานี้พวกเขาอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา ทำให้รู้สึกอัดอั้นตันใจไม่น้อย ทว่าวันนี้ได้ออกมาเที่ยวเล่นที่เขาลี่ พวกเขาจะไม่พอใจได้อย่างไร? ทุกคนล้วนมีความสุขมาก!
“อย่าวิ่งไปมา ทุกคนเดินตามข้าไว้ ไม่ใช่ว่ามีคนบอกว่าอยากวาดรูปไม่ใช่หรือ? ข้าจะหาสถานที่ดี ๆ ให้พวกเจ้าเอง! ”
เมื่อมาถึงภูเขาแล้ว หลี่จิ่วเต้าก็เอ่ยปากบอกกับเด็ก ๆ
“ขอรับคุณชาย!”
เด็กเหล่านี้ล้วนแต่เชื่อฟัง เดินตามหลังหลี่จิ่วเต้าไปต้อย ๆ
ทิวทัศน์เขาลี่งดงามเป็นอย่างยิ่ง แมกไม้เขียวขจีมีสายธารไหลเอื่อย บนฟ้ามีวิหคขับขาน บนผืนดินมีดอกไม้บานสะพรั่งราวกับฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุด หลี่จิ่วเต้าก็พบสถานที่ที่มีทิวทัศน์ดี ๆ ให้เด็ก ๆ ได้วาดภาพแล้ว
ชายหนุ่มนั่งลงบนก้อนหินพลางมองเด็กน้อยทั้งหลาย
“พวกเจ้าบอกว่าชอบวาดภาพใช่หรือไม่? เอาล่ะ หากว่างแล้วข้าจะสอนพวกเจ้าวาดภาพเอง”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวพลางแย้มยิ้ม มีเด็กสามคนแบกกระดานวาดภาพมาด้วย เพราะพวกเขาอยากวาดภาพในเขาลี่
ส่วนเด็กคนอื่น ๆ กำลังหัวเราะและเล่นอยู่ใกล้ ๆ กับเด็กสามคนที่กำลังวาดภาพบนกระดาน ถึงแม้พวกเขาจะวาดได้ไม่ดีนัก แต่ก็เห็นได้ชัดพวกเขาตั้งใจมาก
แล้วหลี่จิ่วเต้าก็นั่งเอ้อระเหยอยู่บนก้อนหิน เพลิดเพลินไปกับสายลมพลิ้วไหวที่เย็นสบาย มันช่างให้ความรู้สึกที่พิเศษยิ่งนัก
สือเฟิงได้เห็นฉากเบื้องหน้าแล้ว ในใจพลันรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง หากเขาเป็นปุถุชนธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติการบ่มเพาะ เขาคงไม่มีปัญหาทุกข์ใจมากมายถึงเพียงนี้?
“สหายมิใช่ปุถุชน แต่เป็นผู้ฝึกตนใช่หรือไม่?” หลี่จิ่วเต้ากล่าวถามขึ้นมา
ยิ่งชายหนุ่มมองสือเฟิงเท่าไรก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตน อย่างไรก็มิใช่ปุถุชนเป็นแน่ บุคลิกและกลิ่นอายล้วนคล้ายกับผู้ฝึกตนอย่างยิ่ง
“ก็…ใช่กระมัง”
สือเฟิงส่ายศีรษะ
เขาในตอนนี้แม้แต่จะเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตนยังไม่มีความมั่นใจเลย…
ผู้ฝึกตนคนใดบ้างจะหยุดชะงักอยู่กับที่เหมือนเขา?
แม้จะเป็นขอบเขตที่สูงขอบเขตหนึ่งก็ตาม…
ทว่าเขาติดอยู่ในขอบเขตประสานวิญญาณมาแล้วหกปี นี่ทำให้เขาไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตนจริง ๆ…
ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่?
เหตุใดจึงต้องตอบว่าใช่กระมังด้วย?
มุมปากของหลี่จิ่วเต้ากระตุกเล็กน้อย ผู้ฝึกตนนี่ช่างแตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดาอย่างพวกเขาจริง ๆ!
โฮกก!
ทันใดนั้นเอง ปรากฏเสือดาวลายจุดตัวใหญ่พุ่งเข้ามาจากระยะไกลอย่างกะทันหัน มันมีฝีเท้าว่องไวมาก ไม่กี่อึดใจก็พุ่งตรงมาถึงที่นี่แล้ว
“อ๊าก! เสือดาว! ”
เด็ก ๆ ต่างพากันร้องตะโกนอย่างตกใจ
หลี่จิ่วเต้ากำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ไม่ทันสือเฟิงที่เหยียดดรรชนีออกมาใช้พลังปราณหยุดเสือดาวลายจุดตัวนั้น
จากนั้นเด็กหนุ่มก็โบกมือไปมาเบา ๆ ชั่วพริบตา เสือดาวลายจุดก็ลอยขึ้นก่อนที่มันจะถูกโยนออกไปยังพื้นที่ห่างไกล!
“ช่างร้ายยิ่งนัก!”
“พี่ชายเป็นผู้ฝึกตนหรือ?”
พวกเด็ก ๆ ต่างพากันจ้องมองสือเฟิงด้วยสายตาเป็นประกายอย่างชื่นชม
“พี่ชายเป็นผู้ฝึกตน พวกเจ้าไปเล่นกันอย่างวางใจเถิด มีพี่ชายอยู่ด้วยพวกเจ้าจะไม่เป็นไรแน่นอน”
ครั้งนี้สือเฟิงยอมรับฐานะผู้ฝึกฝนตนไปโดยปริยาย
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพวกเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องหวาดกลัวอีก
“ดีจังเลย มีพี่ชายเป็นผู้ฝึกตนคอยพิทักษ์พวกเรา พวกเรายังจะต้องกลัวอะไรอีก!”
“ใช่แล้ว ๆ!”
พวกเด็ก ๆ ต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนานแล้วก็เริ่มเล่นกันอีกครั้ง ส่วนเด็กทั้งสามที่วาดภาพก็ตั้งกระดานขึ้นมาอีกครั้ง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสือเฟิง หลังจากหกปี นี่เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกภาคภูมิใจที่ตนเองได้เป็นผู้ฝึกตน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฐานะผู้ฝึกตนเปรียบเสมือนภูเขาในอกกดดันให้เขาหายใจไม่ออกอยู่หลายครั้ง ไม่ต้องพูดถึงความภาคภูมิใจ เพราะมีหลายต่อหลายครั้งที่เขารู้สึกรังเกียจและสะอิดสะเอียนตัวเองในฐานะผู้ฝึกตน…
คนดีนี่นา ถือเป็นผู้ฝึกตนที่ดีเลย!
หลี่จิ่วเต้าเข้าใจการกระทำที่ผ่านมาแล้ว
เด็กหนุ่มรู้ล่วงหน้าว่าจะมีสัตว์ร้ายในเขาลี่เพ่นพ่าน จึงบอกว่าจะเข้ามาในเขาลี่ด้วย แต่จุดประสงค์แท้จริงแล้วคือการปกป้องพวกเขานี่เอง
ร้ายกาจ ช่างร้ายกาจเสียจริง!
‘ดูเหมือนว่าหลายวันที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ปุถุชนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่สัตว์ร้ายมากมายก็ได้รับความเดือดร้อนด้วยเช่นกัน!’
หลี่จิ่วเต้ากล่าวในใจของเขา
เขาลี่ไม่เคยมีสัตว์ร้ายมาก่อน แต่ในเวลานี้กลับมีสัตว์ร้ายรูปร่างคล้ายเสือดาวปรากฏตัวขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันเข้ามาจากภายนอก
เดิมทีสัตว์ร้ายจะไม่เข้ามาวิ่งเพ่นพ่านแถวนี้ การวิ่งวุ่นวายเช่นนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเหล่าผู้ฝึกตนและสัตว์ปีศาจต่างถิ่น ที่มาก่อความวุ่นวายในแดนบูรพาทิศเมื่อหลายวันก่อน
“ขอบคุณ!”
หลี่จิ่วเต้าลุกขึ้นกล่าวขอบคุณเขา
อันที่จริง ตัวเขาก็สามารถจัดการกับเสือดาวลายจุดด้วยตนเองได้
แม้ว่าจะไม่ได้นำคันธนูกับศรมาด้วย
แต่เขาได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้จนไปถึงขั้นสุดแล้ว
แม้จะเทียบกับผู้ฝึกตนไม่ได้ แต่สามารถจัดการกับเสือดาวลายจุดได้อย่างแน่นอน
“ไม่ต้องขอบคุณขอรับ ข้าก็ทำได้เพียงเท่านี้… ”
สือเฟิงหัวเราะเยาะตัวเอง
ทำได้เพียงเท่านี้?
หากเป็นสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่านี้เล็กน้อย เขาอาจจะต้องยอมแพ้ เพราะสัตว์ร้ายมีพลังโจมตีแข็งแกร่งนัก อาจถึงขั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์เลยด้วยซ้ำ
“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว!”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้
ความรู้ความสามารถของผู้ฝึกตนช่างสูงส่งนัก
โบกมือไปมาเรื่อยเปื่อย ก็โยนเสือดาวลายจุดขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วยังจะถ่อมตัวบอกว่า ทำได้เพียงเท่านี้อีก…
สือเฟิงไม่ได้พูดอะไร เพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
ปุถุชนจะไปเข้าใจความทุกข์ใจของเขาได้อย่างไร?
ฝีมือแค่นี้ต่อหน้าปุถุชนธรรมดารู้สึกว่าน่าอัศจรรย์ใจ แต่เหมือนอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตน ความแข็งแกร่งเล็กน้อยนี้ ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย!
เฮ้อ เขาเองอยู่ต่อหน้าปุถุชนยังสามารถอวดอ้างตนเองได้!
‘แต่เมื่อใดกันนะ…อยู่หน้าผู้ฝึกตนอื่นถึงจะอวดอ้างได้บ้าง และได้รับความเคารพจากผู้อื่นบ้าง?’
สือเฟิงครุ่นคิดกับตนเองในใจ