รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 139 ชีวิตสงบ? ใครเชื่อก็โง่แล้ว..

บทที่ 139 ชีวิตสงบ? ใครเชื่อก็โง่แล้ว..

บทที่ 139 ชีวิตสงบ? ใครเชื่อก็โง่แล้ว…

ณ ภาคกลาง

ส่วนลึกอันกว้างขวางของเขาสือว่าน

ที่นี่มีคลื่นพลังแกร่งกล้าแผ่ซ่านอยู่ เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเขาสือว่านตื่นตกใจจนหนีกันอุตลุด ไม่กล้าเข้าใกล้ทางนี้แม้แต่น้อย

ตรงกลางมีประตูแสงมโหฬารตั้งตระหง่าน ลำแสงเจิดจ้าเปล่งปลั่งอยู่บนบานประตู มิติบิดเบี้ยว ไม่รู้ว่าภายในประตูมีโลกแบบใดดำรงอยู่

“แดนลับกำลังจะเปิดแล้ว!”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนหรี่ตาพลางกล่าว

อีกนิดเดียวประตูแสงก็ใกล้เป็นรูปเป็นร่าง หลังจากประตูแสงก่อรูปก่อร่างเสร็จแล้ว พวกเขาก็สามารถทะลุผ่านประตูแสงเข้าไปในแดนลับ

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!

ผ่านไปไม่นาน ประตูแสงเปล่งประกายเจิดจ้ารุนแรงยิ่งกว่าเดิม จากนั้นประตูแสงก็เป็นรูปร่างสมบูรณ์ ในที่สุดทางเชื่อมแดนลับก็เปิดออก!

ทว่าภาพที่เขาคิดว่าทุกคนต้องพากันกรูเข้าไปกลับมิได้เกิดขึ้น

ประตูแสงก่อรูปก่อร่าง ทางเชื่อมเปิดออก สิ่งมีชีวิตจากเผ่าต่าง ๆ กลับเยือกเย็นเป็นพิเศษ ไม่มีผู้ใดเดินนำเข้าไปในประตูแสงเลยแม้แต่คนเดียว

‘นี่รอให้ข้าเข้าไปก่อนหรือ!’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนยิ้มเย็นในใจ

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในที่นี้พากันจ้องเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเสี้ยนหนามตำใจ อยากจะชิงกำจัดเขาเสียก่อน!

ทันทีที่เขาเข้าไป สิ่งมีชีวิตจำนวนมากต้องตามเข้าไปด้วยอย่างแน่นอน จากนั้นทั้งหมดย่อมหมายลงมือกับเขา!

ระหว่างทางมา เขาถูกยอดฝีมือจู่โจมอยู่หลายครา ด้วยความไม่อยากให้เขาเข้าไปในแดนลับ

‘ไม่กล้าลงมือซึ่งหน้า ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ไม่กล้าให้ข้าเข้าแดนลับ…ตกลงลัทธิไท่เสวียนเก่งกาจเกินไป หรือมีเหตุผลอื่นกันแน่’

เขาคิดในใจ รู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน

ยอดฝีมือที่ลงมือโจมตีเขาบ้างอำพรางลมปราณ บ้างใช้ศาสตราแกร่งกล้าที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก นั่นเป็นเพราะกลัวจะถูกลัทธิไท่เสวียนล้างแค้นจึงไม่กล้าเปิดเผยตัวตนอย่างนั้นหรือ?

อีกอย่าง เหตุใดยอดฝีมือเหล่านี้ถึงไม่อยากให้เขาเข้าไปในแดนลับ?

รอให้เขานำสมบัติล้ำค่าออกจากแดนลับได้แล้วค่อยลงมือไม่ได้หรือ

หรือยอดฝีมือเหล่านี้มั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถยึดสมบัติล้ำค่าไปครองได้ตั้งแต่ในแดนลับ จึงไม่ต้องการสมบัติล้ำค่าที่เขานำออกจากแดนลับ?

หรือเพราะลัทธิไท่เสวียนแข็งแกร่งเกินไป ไม่มีกลุ่มอำนาจใดหาญกล้ามีปัญหาด้วย หลังจากออกมาแล้วจึงมิมีผู้ใดกล้าช่วงชิงจากลัทธิไท่เสวียน

‘หากมั่นใจเต็มร้อยจริงว่าสามารถยึดครองสมบัติล้ำค่าได้ตั้งแต่ในแดนลับ พวกเขาคงไม่หมายหัวข้าถึงเพียงนี้ ด้วยความกลัวว่าข้าจะเข้าไปในแดนลับหรอก!’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนปัดตกความคิดนี้

ยอดฝีมือหมายหัวเขากันมากมายขนาดนี้ ไม่อยากให้เขาเข้าแดนลับ เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือเหล่านี้จิตใจหวั่นไหว หวาดกลัวเขาอยู่เต็มประดา

‘หากเป็นข้าย่อมไม่ลงมือก่อนเข้า อย่างไรข้าต้องรอจนกว่าจะมีการนำสมบัติออกมาแล้วค่อยลงมือ ในเมื่อเก่งกาจถึงเพียงนี้ หากนำสมบัติล้ำค่าออกมาได้จริง ๆ ย่อมต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่ทรงพลังมากเป็นแน่…’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิด

รอให้เขานำสมบัติล้ำค่าออกจากแดนลับแล้วค่อยลงมือกับเขา นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงส้ย

ถึงอย่างไรหากชิงฆ่าเขาไปก่อน จะนำสมบัติในแดนลับออกมาได้หรือไม่นั้นยังไม่แน่!

ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อสมบัติในแดนลับมิใช่หรือ?

รอให้เขานำสมบัติล้ำค่าออกมาแล้วค่อยลงมือไม่ดีกว่าหรือ?

ไยต้องกำจัดเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวถึงเพียงนี้

หรือเพราะลัทธิไท่เสวียนแข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ จนอยู่เหนือกลุ่มอำนาจอื่น ต่อให้เขานำสมบัติล้ำค่าอันทรงพลังออกจากแดนลับได้ กลุ่มอำนาจอื่นก็ไม่กล้าแย่งชิงกับลัทธิไท่เสวียน

“หากลัทธิไท่เสวียนเก่งกาจถึงเพียงนั้นจริง ประโยคเดียวก็สามารถยึดครองแดนลับแห่งนี้ได้ ผู้ใดเล่าจะกล้ามาแย่ง”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเริ่มคิดตก

ทั้งหมดนี้ต้องมีเหตุผลอื่นอีกเป็นแน่!

‘เหตุผลอันใดกันนะ’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมิได้รีบร้อนเข้าไปในแดนลับ เขายังใคร่ครวญอยู่

ความเชื่อมโยงของเรื่องนี้สำคัญมาก หากคิดได้ โอกาสสำเร็จของภารกิจย่อมมีมากขึ้น!

ถึงแม้ตัวเขาจะมีร่างทองอมตะบวกกับเปิดจุดลับทั้งห้าแล้ว และอาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิท​ธิ์ก็ยังยากจะสร้างบาดแผลให้กับเขา

ทว่านี่กลับบ่งบอกได้เพียงว่าเขามีวิธีปกป้องตัวเอง ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ก็มีฝีมือพอจะจัดการเขาอยู่

อย่างเช่นพันธนาการเขาไว้ด้วยศาสตราประเภทจองจำ!

หรือพันธนาการเขาด้วยวิชาอภินิหารฉกาจ!

เนื้อกายเขาแข็งแกร่งเพียงพอ ทว่าพลังเต๋าในตัวเขาหาได้แข็งแกร่งถึงปานนั้น ระดับขั้นของเขาในตอนนี้อยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดนภาชั้นแปด พลังเต๋าของเขามีเพียงขอบเขตก่อกำเนิดนภาชั้นแปด ห่างไกลจากพลังเนื้อกายของเขามากโข

หากโดนศาสตราประเภทจองจำหรืออภินิหารฉกาจพันธนาการจริง ๆ เขาคงจนปัญญา ไร้ซึ่งพลังจะทลายพันธนาการนั้น

ถ้าขอบเขตพลังเต๋าของเขาตามพลังกายเนื้อทัน ไฉนเลยจะต้องมีเรื่องให้เกรงกลัว

เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น และคงไร้เทียมทานไปนานแล้ว!

เพราะอย่างนั้น เขาจึงต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วค่อยเข้าไปเป็นการดีกว่า มิฉะนั้น เขาอาจปฏิบัติภารกิจที่ท่านเซียนมอบหมายไม่สำเร็จ!

‘ถ้าไม่กลัวลัทธิไท่เสวียน แล้วพวกเขากลัวเรื่องใด ถึงไม่กล้าช่วงชิงกันข้างนอก’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไตร่ตรองอย่างสุขุม

เก็บตัว ไม่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงการมีอยู่แม้แต่น้อย…

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเริ่มคาดเดาได้แล้ว

‘หรือกลัวว่าการแย่งชิงข้างนอกจะเอิกเกริกเกินไป กลัวจะเปิดเผยตัวตน’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดในใจอย่างถี่ถ้วน

เขานึกถึงเมื่อครั้งไช่หนาน ผู้อาวุโสลัทธิไท่เสวียนที่ไปหาเขา เขาเคยถามไช่หนานว่าเหตุใดถึงต้องเก็บตัว

ครานั้น ไช่หนานบอกเพียงว่าหลังจากผ่านอะไรมามาก พวกเขาเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ และไม่อยากข้องแวะกับโลกภายนอกมาก

เหอะ ๆ เขาไม่เชื่อวาจาหลอกผีของไช่หนานหรอก

ยุคโบราณกาลจบลง ยุคปัจจุบันดำเนินมาถึงยามนี้ มันผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว

หลายพันหลายหมื่นปีแล้ว!

กาลเวลายาวนานปานนี้ กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้กลับไม่เคยเผยตัวแม้แต่น้อย คนนอกไม่รู้เลยว่ามีกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้อยู่!

จะเป็นไปได้อย่างไร?

ความสามารถการเก็บความลับของกลุ่มอำนาจลับสุดยอดเกินไปหรือเปล่า!

เพียงเพื่อมีชีวิตสงบ จำต้องเก็บเป็นความลับถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

คิดแล้วไม่สมเหตุผลเท่าใด…

อีกอย่าง เส้นทางการฝึกตนนั้นสำคัญที่สุดคือทรัพยากรฝึกฝนต่าง ๆ

หากปราศจากทรัพยากรฝึกฝนทั้งหลาย ต่อให้ผู้ฝึกตนเก่งกาจปานใดก็ไร้ประโยชน์ ย่อมไม่อาจบรรลุสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นและได้รับพลังที่แกร่งขึ้น

ผู้ฝึกตนทั้งหลายก่อตั้งสำนักฝึกตนสำนักแล้วสำนักเล่า แย่งชิงพื้นที่เพื่อได้มาซึ่งทรัพยากรฝึกฝน และช่วยให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้เก็บตัวไม่ข้องแวะทางโลกเพื่อชีวิตอันสงบ ไม่แย่งชิงทรัพยากรฝึกฝนภายนอก เฝ้าแต่เพียงทรัพยากรที่ได้รับสืบทอดมาอย่างนั้นหรือ

ต้องบ้าและโง่เพียงใดถึงทำเช่นนี้?

ต่อให้มีรากฐานสมบัติมหาศาลเพียงใดก็ไม่อาจแบกรับการจ่ายออกเพียงอย่างเดียวเช่นนี้ได้ไหว!

บางทีกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้อาจมีกลุ่มอำนาจที่ลักลอบบ่มเพาะไว้ ทว่ากลุ่มอำนาจที่บ่มเพาะไว้ข้างนอกจะแข็งแกร่งได้สักแค่ไหนเชียว

สิ่งแวดล้อมยุคนี้เลวร้ายปานนี้ ทรัพยากรฝึกฝนขาดแคลนอย่างหนัก บรรดากลุ่มอำนาจทั้งหลายแย่งกันดุเดือด แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังครอบครองทรัพยากรฝึกฝนชั้นดีไว้ไม่มาก แต่ละฝ่ายตึงมือกันไปหมด

ทว่าท่ามกลางการแย่งชิงอันหฤโหดนี้ เขากลับไม่พบว่ากลุ่มอำนาจใดมีพิรุธ คล้ายมีกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าหนุนหลัง…

เท่านี้ก็บ่งบอกได้ว่าต่อให้กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้มีกลุ่มอำนาจที่บ่มเพาะในโลกภายนอก สิ่งที่พอช่วยเหลือได้ก็มีจำกัด!

หรือแม้กระทั่งในกาลเวลาที่ย้อนกลับไปอีกนานแสนนาน เมื่อครั้งยุคโบราณกาล กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ก็ไม่เหลือร่องรอยเสียแล้ว คล้ายว่าถูกล้างบางจนสูญสิ้น

คิดเก็บตัวตั้งแต่ยุคโบราณกาลเลยหรือ?

เพียงเพื่อชีวิตสงบหรือ?

‘ถ้าข้าเชื่อ ข้าคงโง่บรม!’

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดในใจ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท