บทที่ 153 ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ผ่อนคลายหน่อย!
ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในยุคโบราณเดือดร้อนไปทั้งโลก จนสิ่งแวดล้อมในยุคนี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด ยากจะมียอดฝีมือถือกำเนิด วิญญาณนักบุญกลายเป็นเพียงตำนาน ไม่มีทางเอื้อมถึง…
หากยุคอลหม่านปรัมปราแสดงตนในยุคนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโครงสร้างของโลกในยุคนี้จักถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!
กลุ่มอำนาจที่เคยวางตัวสูงส่งจักต้องข่มลงมา ยากจะรักษาสถานะที่เคยมีไว้ได้!
“ทั้งท่านกับข้าต่างต้องรู้สึกโชคดี…”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีมองประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและหูช่วงอย่างมีความหมาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ “ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในยุคโบราณยังไม่จบ เป็นไปได้ว่าอาจปะทุในยุคนี้ เวลานี้ยังมียุคอลหม่านปรัมปราเพิ่มเข้ามาอีกว่าอาจแสดงตนในยุคนี้!”
“ในยุคปัจจุบันอันแสนวุ่นวายนี้ พวกเรากลับได้พบนายท่าน นับเป็นวาสนาแสนวิเศษของพวกเราแล้ว!”
โลกในยุคนี้หนีไม่พ้นคลื่นแห่งหายนะและอุปสรรค
ก่อนพวกเขาได้พบท่านเซียน ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่โกลาหลเยี่ยงนี้
ทว่าบัดนี้…
พวกเขาแต่ละคนมั่นใจอย่างมาก!
พวกเขามีท่านเซียนคอยหนุนหลัง!
ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ในยุคโบราณหรือการปรากฏตัวของยุคอลหม่านปรัมปรา พวกเขาล้วนไม่กลัว!
เพราะท่านเซียนกำราบได้ทุกสิ่ง!
“ใช่แล้ว!”
“นับเป็นวาสนาแสนวิเศษของพวกเราจริง ๆ!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและหูช่วงพยักหน้ารัว ๆ เอ่ยด้วยความสะท้อนใจเป็นอย่างมาก
…
ณ เนินเขาเขียว
หลี่จิ่วเต้าอุ้มแมวขาวตัวน้อยไว้ในอก โดยมีเซี่ยเหยียนและหลิงอินตามขนาบกาย
เซี่ยเหยียนกล่าวว่าไม่ได้มาล่าสัตว์ที่เนินเขาเขียวหลายวันแล้ว วันนี้อากาศดี ไปล่าสัตว์บนเนินเขาเขียวกัน
หลี่จิ่วเต้าคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ตั้งแต่เซี่ยเหยียนไม่มาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียว ตัวเขาก็ไม่เคยมาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียวอีกเลย
ช่วงก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกตนจากสี่ภูมิภาคเข้ามาก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในเมืองปุถุชน ส่งผลให้สัตว์ป่าในแต่ละท้องที่พลัดถิ่น มิหนำซ้ำยังมีสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยหนีไปถึงเขาลี่
คิดแล้วคงมีสัตว์ป่าหนีมาบนเนินเขาเขียวไม่น้อยเช่นกัน
เขาสนอกสนใจที่จะมาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียวมาก และเพราะอยากล่าสัตว์ป่าตัวใหม่ ๆ บ้าง จึงแบกคันศรที่เป็นของรางวัลจากระบบมาที่นี่ด้วย
อ้อ ตอนนั้นหลิงอินอยู่ด้วยพอดี
เซี่ยเหยียนจึงเสนอให้ทุกคนไปด้วยกัน
หลี่จิ่วเต้าเองก็คิดว่าไปด้วยกันหมดเป็นการดีกว่า จึงเสนอให้หลิงอินไปด้วยกันบ้าง
หลิงอินไม่ปฏิเสธ และตามพวกเขามาด้วย
นอกจากนี้แล้ว เขายังมอบคันศรใหญ่ที่ประดิษฐ์ด้วยตนเองให้หลิงอินด้วย อันที่จริง เมื่อหลิงอินแบกคันศรเล่มนี้ก็ดูดีมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ซ้ำยังสง่าองอาจยิ่งนัก!
‘นี่นางเจ็บใจ ยังคิดอยากข่มข้าเพื่อแก้แค้นเรื่องในตอนนั้นสิท่า…’
หลิงอินคิดในใจ รับรู้ถึงแผนในใจของเซี่ยเหยียนดี
เมื่อครั้งนางได้พบเซี่ยเหยียนเป็นคราแรก เซี่ยเหยียนก็ตั้งตัวเป็นอริกับนาง คิดแต่อยากจะข่มนาง
ทว่าตัวนางหาใช่เด็กสาวปุถุชนธรรมดา แต่เป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลต่างหาก!
สำหรับนาง เซี่ยเหยียนยังอ่อนหัดอยู่มาก…
จึงเป็นที่แน่นอนว่าเซี่ยเหยียนถูกนางข่มกลับ และไม่ได้ประโยชน์ใดจากเรื่องนี้
หนนี้ที่เซี่ยเหยียนเสนอให้มาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียว เพราะต้องการล้างแค้นเมื่อคราวก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ที่จริงนางไม่อยากมา
ถึงอย่างไรก็อยู่ต่อหน้าท่านเซียน นางมิกล้าเสียมารยาท มิหนำซ้ำ การทำตัวเป็นปรปักษ์กับเซี่ยเหยียนเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก
แต่ท่านเซียนเอ่ยปากชวนให้มาด้วยกัน ไฉนเลยนางจะกล้าปฏิเสธ
นางตอบตกลงทันควันและเดินมาเนินเขาเขียวด้วย
‘แม่นางตัวน้อยผู้นี้มีจิตใจบริสุทธิ์ไม่แยบคาย พื้นฐานมิใช่คนเลวร้ายอะไร บางทีท่านเซียนคงเห็นถึงจุดนี้ของนางกระมัง…’
นางเริ่มอิจฉาเซี่ยเหยียนขึ้นมาบ้างแล้ว…
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเหยียนยังไม่รู้ประสานัก ความคิดความอ่านจึงเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ถือเป็นเด็กสาวเถรตรงคนหนึ่ง
ทว่าตัวนางทำไม่ได้…
ลองถามใจตัวเองดู หากนางเป็นเซี่ยเหยียน นางมิกล้าทำเช่นนี้เด็ดขาด
นางอยู่ในฐานะจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล ประสบเรื่องราวมามาก
ต่อให้ท่านเซียนดีกับนางมาก ไม่วางมาดอย่างคนเป็นเซียน นางก็มิกล้าพูดจาหรือกระทำการใดตามใจชอบเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเซียน ภายในใจนั้นมีความเกรงขามต่อท่านเซียนอยู่ตลอดเวลา
ทุกสิ่งที่นางได้เอื้อนเอ่ยหรือกระทำ แม้กระทั่งคำพูดสั้น ๆ และเรื่องเล็กน้อย นางก็ต้องผ่านกระบวนการพิจารณามาแล้วอย่างดีถึงสามารถพูดหรือทำลงไป
‘หรือบางทีท่านเซียนอาจไม่ชอบนิสัยนี้ของข้า?’
จู่ ๆ นางก็คิดเช่นนี้ขึ้นมาในใจ
เซี่ยเหยียนลากนางมาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียว เพราะต้องการใช้การล่าสัตว์มาข่มนางอย่างเห็นได้ชัด
ระดับขั้นของท่านเซียนสูงส่งปานใด ไฉนเลยจะดูไม่ออก?
ความคิดเช่นนี้ของเซี่ยเหยียน ท่านเซียนย่อมมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ทว่าท่านเซียนยังขอให้นางมาด้วยกัน
“ท่านเซียนไม่ต้องการให้ข้าทำตัวแข็งเกร็งอยู่แบบนี้ และคงอยากให้ข้าผ่อนคลายลงหน่อยกระมัง…”
นางถึงบางอ้อ
หากมิใช่เช่นนี้ เหตุใดท่านเซียนถึงขอให้นางมาด้วย?
เป็นเพราะท่านเซียนไม่ต้องการให้นางเอาแต่ระวังตนอยู่แบบนี้
ที่จริงลองทบทวนดูแล้ว สิ่งที่ท่านเซียนได้รับมากที่สุดคงเป็นความเกรงขามจากผู้อื่นกระมัง
ท่านเซียนท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน สนิทสนมกลมเกลียวกับปุถุชนในเมืองชิงซาน เห็นได้ชัดว่าเพราะไม่ต้องการความรู้สึกที่ผู้อื่นเอาแต่เกรงขามท่านเซียน
ท่านเซียนขอให้นางมาเนินเขาเขียวด้วย ก็เพราะต้องการให้นางสนิทกับเซี่ยเหยียน ปลดปล่อยตัวเอง อย่าทำตัวแข็งเกร็งจนเกินไป…
‘เข้าใจแล้ว!’
นางลอบยิ้มในใจ คิดตกแล้วทุกสิ่ง
แน่นอนว่า ถึงแม้ท่านเซียนจะต้องการให้นางปลดปล่อยตัวเอง แต่นางก็มิอาจเป็นตัวของตัวเองจนไม่สนทุกสิ่ง กลายเป็นการเสียมารยาทต่อท่านเซียนเข้า
ขอบเขตยังคงต้องมีอยู่
‘คราวนี้ข้าต้องข่มเจ้า เพื่อแก้แค้นที่เจ้าเคยใช้ฝีมือดีดฉินข่มข้า!’
อีกด้าน เซี่ยเหยียนคิดในใจอย่างลำพอง
คราวก่อนนางแพ้อนาถมากทีเดียว ต้องการข่มหลิงอินแต่กลับทำไม่ได้ ซ้ำยังถูกหลิงอินข่มกลับอีก ได้หน้าไปเต็ม ๆ ซ้ำยังได้รับคำชื่นชมจากท่านเซียน
ถึงกระนั้น ว่ากันตามตรง หลิงอินดีดฉินได้ไพเราะจริง ๆ นางนับถือจากใจ
นอกจากท่านเซียนแล้ว หลิงอินคือคนที่ดีดฉินได้ดีที่สุดที่นางเคยพบ หลิงอินสมควรได้รับคำชมจากท่านเซียน
แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน
คราวนี้เป็นการล่าสัตว์!
ส่วนนี้นางได้รับคำชี้แนะจากท่านเซียนมานมนาน!
หลิงอินเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา แขนขาเรียวเล็ก ดูก็รู้ว่าไม่เคยล่าสัตว์มาก่อน หรือไม่เคยทำงานหนักมาด้วยซ้ำ
ไม่ต้องพูดถึงที่นางได้รับคำชี้แนะจากท่านเซียนอยู่ก่อนแล้ว จนพัฒนาฝีมือยิงธนูอย่างก้าวกระโดด ต่อให้นางไม่ได้รับคำชี้แนะจากท่านเซียน ฝีมือล่าสัตว์ของนางก็ต้องเก่งกาจกว่าหลิงอินแน่!
‘แม่สาวน้อย ครั้งก่อนเจ้าลอบกัด รังแกที่ข้าดีดฉินไม่ได้เรื่อง ครั้งนี้ข้าจักชะล้างความอับอายคราวก่อน ให้เจ้าได้เห็นความเก่งกาจของข้า!’
นางทอดสายตามองหลิงอิน และพูดในใจอย่างลำพอง
หลิงอินก้าวสู่เส้นทางฝึกตนนานแล้ว ระดับขั้นในตอนนี้สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง บำเพ็ญจนอยู่ในขอบเขตสุญญตา
ทว่าหลิงอินฝึกฝนเคล็ดวิชาโบราณที่ช่วยปกปิดลมปราณอยู่ตลอด
จวบจนบัดนี้ เซี่ยเหยียนยังไม่รู้ว่าหลิงอินเป็นผู้ฝึกตน และมิใช่เด็กสาวธรรมดา
อย่าว่าแต่เซี่ยเหยียนเลย แม้กระมั่งผู้เฒ่าเมิ่งจีกับลั่วสุ่ยก็ไม่รู้เช่นกัน
เคล็ดวิชาโบราณที่หลิงอินฝึกฝนอยู่นั้นน่าทึ่งมาก บวกกับตัวนางเป็นถึงชาติใหม่ของจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล คนทั่ว ๆ ไปจึงมองนางไม่ออก
‘เฮ้อ ต้องขออภัย หนนี้เจ้าต้องพ่ายแพ้อีกครั้งอยู่ดี…’
หลิงอินเห็นสายตาที่เซี่ยเหยียนมองนาง ย่อมรู้ว่ามีความนัยแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้น
หากก่อนหน้านี้นางยังไม่ตระหนักถึงจุดประสงค์ของท่านเซียน ไม่แน่คราวนี้นางคงออมมือปล่อยให้เซี่ยเหยียนชนะไปแล้ว
ทว่านางตระหนักถึงจุดประสงค์ของท่านเซียนได้แล้ว จึงไม่คิดออมมืออีก
นางรู้ว่าเซี่ยเหยียนได้รับคำชี้แนะจากท่านเซียน
แต่ถึงกระนั้น นางเองก็มั่นใจในตัวเองมากเช่นกัน
ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล!
‘ฮิฮิ พวกเจ้าสองคนสู้รบปรบมือกันไปเถิด…’
ลั่วสุ่ยในอ้อมอกท่านเซียนหัวเราะในใจไม่หยุด