รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 157 อาณาจักรซ้อนอาณาจักร เส้นทางโบราณทั้งหลายคือวงจร

บทที่ 157 อาณาจักรซ้อนอาณาจักร เส้นทางโบราณทั้งหลายคือวงจร

บทที่ 157 อาณาจักรซ้อนอาณาจักร เส้นทางโบราณทั้งหลายคือวงจรสังสารวัฏ!

ปลายทางที่ต้องไป…

หมายความว่าอย่างไร?

เจ้าพวกที่อยู่ในเส้นทางสังสารวัฏไม่ยอมปล่อยนางไปอย่างนั้นหรือ?

หลิงอินพลันเคร่งเครียดขึ้นมา ภายหลังอาจมีเจ้าพวกที่อยู่ในเส้นทางสังสารวัฏมาหานางได้

‘ไม่ต้องกลัวไป ยังมีท่านเซียนอยู่!’

นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะบอกกล่าวกับตนเองในใจ

โชคดีที่นางได้พบท่านเซียนและได้รับความช่วยเหลือจากท่านเซียน ไม่อย่างนั้นทั้งหมดนี้มากเกินกว่าที่นางจะต้านทานไหว!

ท่านเซียนพานางออกจากเส้นทางที่ ‘ถูกต้อง’ ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านเซียนแข็งแกร่งกว่า และมิได้เกรงกลัวเส้นทางสังสารวัฏ

มิฉะนั้นแล้ว ท่านเซียนจะลงมือบนเส้นทางสังสารวัฏได้อย่างไร?

ในเวลานี้เอง หลี่จิ่วเต้าหวนกลับมาเส้นทางเดิม

เพราะสุ้มเสียงที่เกิดขึ้นที่นี่ดังเกินไป ทีแรกเขารู้สึกตกใจยิ่ง จากนั้นก็รีบร้อนมุ่งหน้ามาทางนี้ เพราะอยากดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

ทว่ายามนั้นเขาได้ไปถึงส่วนลึกสุดของเนินเขาเขียวแล้ว อยู่ห่างกันค่อนข้างไกลจากที่นี่ บวกกับเสียงดังครึมโครมเยี่ยงนี้ สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ในภูเขาต่างวิ่งพล่านไปทั่ว ส่งผลให้เขาเพิ่งเดินทางมาถึง

หลังมาถึงที่นี่ ชายหนุ่มเห็นเพียงเศษเนื้อเศษกระดูกเกลื่อนพื้น อีกทั้งยังมีสุนัขครึ่งหัวด้วย

“มีตาหามีแววไม่จริง ๆ บุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ!”

เขาเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้

สุ้มเสียงดังขนาดนี้ ย่อมมิได้เกิดจากสัตว์ป่าธรรมดา บวกกับจำนวนเศษเนื้อเศษกระดูกบนพื้นมีเยอะเกินไป สุนัขที่ตายอยู่ที่นี่ต้องเป็นสัตว์อสูรแน่

เมืองชิงซานอยู่ติดกับสำนักไท่หัว มิหนำซ้ำสำนักไท่หัวยังเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจสำนักฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุด อสูรสุนัขตัวนี้บังอาจมาอาละวาดที่นี่ นับว่ารนหาที่ตาย…

จริง ๆ เลย!

ท่านเซียนอยู่ที่นี่ยังบังอาจมาจับกุมข้า?

เหอะ ๆ…

‘มีตาหามีแววไม่!’

หลังจากหลิงอินได้ยินคำกล่าวของท่านเซียน ก็คิดขึ้นมาในใจทันที

สุนัขยักษ์กล้าอาละวาดในอาณาเขตของท่านเซียน ช่างไม่รู้จักประมาณตน รนหาที่ตายชัด ๆ!

หลี่จิ่วเต้ามองหลิงอินและเซี่ยเหยียน พบว่าหลิงอินและเซี่ยเหยียนไม่เป็นอะไรมาก กอปรกับไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่เนื้อตัวเซี่ยเหยียนดูมอมแมมอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด

‘วิ่งพล่านไม่พอ ยังบังอาจมาแหยมกับพวกเซี่ยเหยียน ไม่ใช่รนหาที่ตายแล้วจะเป็นอะไรไปได้!’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ อสูรสุนัขตัวนี้ช่างดูคนไม่เป็นเอาเสียเลย เซี่ยเหยียนเป็นถึงหัวหน้าลูกศิษย์แห่งสำนักไท่หัว พลังนั้นไม่ต้องพูดถึง แกร่งกล้าแน่นอน

ดูสิ ชีวิตของอสูรสุนัขอย่างเจ้าถึงต้องมาจบลงในมือเซี่ยเหยียนอย่างไรเล่า!

‘ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องหัดมองคนให้ออก อย่าไปแหยมกับผู้ที่ไม่ควรแหยม มิเช่นนั้นชีวิตคงหาไม่…’

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

หลิงอินได้ยินดังนั้น ร่างบางของนางต้องสั่นสะท้าน

ท่านเซียนหมายถึงสิ่งมีชีวิตจากเส้นทางสังสารวัฏใช่หรือไม่?

อย่างที่คิดเลย!

ท่านเซียนก็คือท่านเซียน ต่อให้เส้นทางสังสารวัฏลึกลับเกินหยั่งเพียงใด หรือมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเซียนก็เท่านั้น!

มีตาหามีแววไม่ ไม่รู้จักมองคนก็ต้องตาย!

ท่านเซียนถ่ายทอดวิถียิงธนูแก่นางผ่านเซี่ยเหยียน เพื่อจัดการกับสุนัขยักษ์สีดำ นั่นเพราะสุนัขยักษ์ไม่ครณามือท่านเซียน

“พวกเราไปล่าสัตว์ข้างในกันเถิด…”

หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมา เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นาน

เขาเห็นเศษเนื้อเศษกระดูกเต็มพื้นแล้วรู้สึกพะอืดพะอมอย่างไรไม่รู้

“ได้เลยนายท่าน ข้าฝึกฝนได้ประมาณหนึ่งแล้ว!”

หลิงอินตอบด้วยรอยยิ้ม

“ได้!”

เซี่ยเหยียนพยักหน้า มิได้เอ่ยสิ่งใดมาก

ตอนนี้นางยังตั้งสติจากเรื่องที่หลิงอินเป็นจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลไม่ค่อยได้!

หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม คิดในใจไปว่าหลิงอินช่างมีจิตใจที่แข็งแกร่งยิ่ง

หลิงอินเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา ได้พบเจอเหตุการณ์นองเลือดเยี่ยงนี้กลับไม่ตกใจแม้แต่น้อย นับเป็นเรื่องที่เกินคาดสำหรับเขา

เขาเอ่ยปากชวนไปล่าสัตว์ข้างใน ก็เพราะไม่ต้องการให้หลิงอินอยู่ที่นี่ต่อ แล้วต้องทนดูภาพนองเลือดเช่นนี้อีก

และตัวเขาคิดว่าหลังออกจากตรงนี้ได้แล้ว ค่อยปลอบโยนหลิงอิน

ทว่าบัดนี้ดูแล้ว…ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด

หลิงอินมิได้ตกอกตกใจแม้แต่น้อย

พวกเขาไปจากที่ตรงนี้ และเข้าไปยังส่วนลึกของเนินเขาเขียว

หลิงอินฝึกฝนได้ดียิ่งอย่างที่ว่า ลูกธนูที่ยิงออกไปนั้นแม่นยำสุด ๆ สัตว์ป่าตัวแล้วตัวเล่าล้มลงด้วยธนูของหลิงอิน

“ไม่เลว ไม่เลว”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยชมจากใจจริง

หลิงอินไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านฉินเท่านั้น พรสวรรค์ด้านยิงธนูก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน

พ้นจากผืนนภาที่ประดับประดาด้วยดวงดารา

อาณาจักรนิรนามแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ใต้อาณัติของอาณาจักรใดในโลกนี้ แยกตัวออกจากอาณาจักรทั้งปวง

มองเห็นได้ว่า อาณาจักรนิรนามนี้มีเส้นทางโบราณซีดหมองเชื่อมต่อกันเส้นแล้วเส้นเล่า เรียงรายยั้วเยี้ย นับอย่างไรก็นับไม่หมด

และอีกด้านของเส้นทางโบราณก็เชื่อมต่อกับอาณาจักรอีกคณานับ!

อาณาจักรทั้งปวงในโลกนี้

ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเก้าตอนบน

หรืออาณาจักรชั้นต่ำ

ภายในอาณาจักรทุกแห่ง ต่างมีเส้นทางโบราณเช่นนี้เชื่อมต่อกันอยู่!

เส้นทางโบราณมีคลื่นพลังพิศวงวูบไหว กลิ่นอายแห่งกาลเวลาหนาแน่นราวกับเป็นนิรันดร์ เชื่อมต่อกับอาณาจักรนับล้านในเอกภพอันไร้ขอบเขตนี้กับอาณาจักรนิรนามนั้นไว้

เส้นทางโบราณทุกแห่งมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังกำลังมุ่งหน้า ลมปราณจักรพรรดิขจรขจาย มิใช่จักรพรรดิ แต่เป็นมหาจักรพรรดิ!

“บุกทะลวงผ่านเส้นทางสังสารวัฏไปได้ก็สามารถเวียนว่ายตายเกิด มีชีวิตใหม่อีกชาติ!”

“นี่คือความหวังของเรา!”

บนเส้นทางโบราณอันเป็นอนันต์ วาจาเช่นนี้มีจำนวนมากที่สุด สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนเส้นทางโบราณต่างเต็มไปด้วยความหวัง พยายามมุ่งหน้าต่อไป!

ท่ามกลางอาณาจักรนิรนามนั้น

บนฟ้าไร้ซึ่งตะวันจันทรา บนดินปราศจากภูผานที

มีเพียงหมอกดำพิศวงมากมายปกคลุมฟ้าดิน เหลือไว้แต่ความมืดครึ้ม ประหนึ่งแดนอเวจีที่มีสายลมชวนขนลุกพัดโชย ให้ความรู้สึกตัวสั่นแม้นไม่หนาว

เส้นทางโบราณทุกแห่งมีตำหนักโบราณตั้งอยู่

ภายในตำหนักโบราณหนึ่งในนั้น

“สุนัขสังสารวัฏ…ตายแล้วหรือ?”

สิ่งมีชีวิตสักตัวเอ่ยเสียงแผ่ว ม่านหมอกพิศวงปกคลุมอยู่ทั่วตัว มองไม่เห็นรูปโฉม

“เป็นเพียงอาณาจักรชั้นต่ำ กลับทำให้สุนัขสังสารวัฏต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างนั้นหรือ”

เขาเอ่ยต่อ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายจนน่าสยดสยอง ซ้ำยังชวนหวาดหวั่นยิ่ง

“นับแต่ครั้งโบราณกาล ก็ไม่เคยเกิดเรื่องบนเส้นทางสังสารวัฏ เหตุใดถึงมีคนหนีจากเส้นทางสังสารวัฏออกไปได้ พวกเจ้าจงไปพาตัวนางกลับมา ข้าต้องการรู้ความจริง”

เขาออกคำสั่ง

จากนั้นก็มีเงาดำสองร่างออกจากตำหนักโบราณ ก้าวสู่เส้นทางสังสารวัฏที่เชื่อมกับตำหนักโบราณแห่งนี้

“ยุคนี้ดูท่าจะโกลาหลเสียแล้ว…”

สิ่งมีชีวิตผู้มีม่านหมอกพิศวงปกคลุมเอ่ยเสียงเข้มด้วยท่าทางครุ่นคิด

ณ เมืองชิงซาน

หลี่จิ่วเต้าล่าสัตว์อย่างหนำใจ และสะใจสุด ๆ

เขาไม่ได้ล่าสัตว์เช่นนี้มานานแล้ว วันนี้นับว่าได้เพลิดเพลินโดยแท้

เซี่ยเหยียนและหลิงอินได้เหยื่อมาเต็มมือเช่นกัน พวกนางต่างล่าสัตว์มาได้มาก

‘เหตุใดจู่ ๆ ข้าถึงรู้สึกว่าพวกนางสองคนปรองดองกันมากขึ้นนะ’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ

ก่อนหน้านี้ เซี่ยเหยียนและหลิงอินมักทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเสมอ

แม้กระทั่งก่อนเดินทางมายังเมืองชิงซาน เขายังสัมผัสถึงบรรยากาศไม่กินเส้นได้อยู่เลย

แต่บัดนี้ ทั้งคู่สมานฉันท์เป็นอย่างดี และปราศจากวี่แววไม่ถูกกัน

‘จริงตามที่เขาว่า จิตใจผู้หญิงเหมือนเข็มในมหาสมุทร งมอย่างไรก็ไม่เจอ…’

หลี่จิ่วเต้าก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น จึงได้แต่คิดไปเช่นนี้

ล่าสัตว์มาได้ไม่น้อย

หลี่จิ่วเต้าจึงแบ่งสัตว์ที่ล่ามาได้นี้แก่นายพรานคนอื่น ส่วนพวกเขาเก็บไว้เองเพียงนิดหน่อยแล้วเดินทางออกจากเนินเขาเขียว กลับเข้าไปในเมือง

“ผู้เฒ่าเฮ่อ ผู้เฒ่าหู พวกท่านมาแล้วหรือ…”

หลังกลับมาถึงร้าน หลี่จิ่วเต้าก็เจอเฮ่อเหยียนและหูช่วง

เฮ่อเหยียนคือประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน

“ทักทายคุณชายขอรับ!”

“ความปรีชาสามารถของคุณชายน่านับถือยิ่ง! พวกเราจึงมาเยียนคุณชายอีกครั้ง!”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและหูช่วงกล่าวต่อหลี่จิ่วเต้าอย่างนอบน้อม

“ฮ่า ๆ พวกท่านมาได้เวลาพอดี ข้าเพิ่งไปล่าสัตว์ป่าบนเขามา ประเดี๋ยวปรุงเสร็จแล้วเรามากินด้วยกันเถิด”

หลี่จิ่วเต้ากล่าว

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท