“ใส่แมสก์ให้เรียบร้อย”
โจวเสี่ยวลี่เตือนจ้าวอิ๋งเก้อด้วยนำเสียงหยอกล้อ
ในฐานะที่เป็นรายการประกวดซึ่งทรงอิทธิพลที่สุดในฉินโจว จำนวนผู้ติดตาม ‘สะพรั่ง’ นั้นล้นหลาม จ้าวอิ๋งเก้อซึ่งเป็นผู้ชนะของรายการในปีนี้ก็มีชื่อเสียงมาก ในโรงภาพยนตร์ก็ง่ายที่แฟนคลับจะจำได้
วันนี้เป็นวันอังคาร
เป็นวันที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ เข้าฉาย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงทุนระดับกลาง ไม่อาจนับเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ทว่าผู้ที่ชื่นชอบแนวนี้กลับมีไม่น้อย โรง
ภาพยนตร์ที่จ้าวอิ๋งเก้อเข้ามาก็มีคนนั่งอยู่หนาตาทีเดียว
หลังจากนั่งลงแล้ว
ภาพยนตร์จะเริ่มฉายในไม่ช้า
จ้าวอิ๋งเก้อและโจวเสี่ยวลี่กินป๊อปคอร์นไปพลาง ดูหนังไปพลาง รู้สึกผ่อนคลายลงมาก
แสงจากจอสว่างขึ้น
ปฐมบทของเรื่องราวนั้นเกี่ยวกับเด็กหญิงคนหนึ่งและพ่อแม่ของเธอออกเดินทางท่องเที่ยว ผ่านอุโมงค์ลึกลับสายหนึ่ง และหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซี
โลกแห่งนี้ทั้งงดงามและอันตราย
ทั้งภูติผีปีศาจ เรื่องราวอัศจรรย์ อบอวลกลิ่นอายของความเป็นแฟนตาซี ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ
เมื่อมาถึงที่นี่
เป็นเพราะพ่อแม่ของเด็กหญิงเกิดความละโมบ ละเมิดกฎของโลกแห่งนี้ จึงถูกหญิงชราผู้มีเวทมนตร์จับไป ทิ้งให้เด็กหญิงตัวน้อยเผชิญกับโลกที่อันตรายแห่งนี้
ภยันตรายเกิดขึ้นกับเธอหลายต่อหลายครั้ง
แต่ขณะที่เธอกำลังจะถูกภูตงูที่ภายนอกดูงดงามทว่าหมายเอาชีวิตของเธอเขมือบนั้นเอง มังกรเผือกซึ่งแปลงกายเป็นมนุษย์ก็เข้ามาช่วยชีวิตเธอไว้
เพียงแต่เด็กหญิงไม่คาดคิดว่า
มังกรเผือกตัวนี้จะเป็นลูกสมุนของหญิงชรา
ในตอนแรกเด็กหญิงก็หวาดกลัวมังกรเผือก ถึงขั้นต่อต้าน เพราะหญิงชราเป็นเจ้านายของมังกรเผือก ทั้งยังจับพ่อแม่ของเธอไปอีก ทว่าเมื่อได้รู้จักกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของมังกรเผือก
ทั้งสองค่อยๆ กลายเป็นเพื่อนสนิทที่พูดคุยกันทุกเรื่อง ทั้งยังผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย
แต่ว่าเด็กหญิงก็มีเรื่องในใจมาโดยตลอด
เธอไม่เคยยอมแพ้ที่จะช่วยชีวิตพ่อแม่ของตน
เมื่อรับรู้ได้ถึงความปรารถนาที่จะช่วยพ่อแม่ มังกรเผือกตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขาทรยศต่อหญิงชรา และช่วยเหลือพ่อแม่ของเด็กหญิง
แต่ทว่า
ชั่วขณะที่ช่วยพ่อแม่ของเด็กหญิงมาได้นั้น ตัวของเขาเองกลับถูกคำสาปจากหญิงชรา
ที่แท้
เขาก็ถูกหญิงชราควบคุมไว้แล้ว
มังกรเผือกห้ามทรยศต่อเจ้านายเป็นอันขาด ทันทีที่ทรยศ คำสาปก็จะออกฤทธิ์ จนเขาสูญเสียทั้งร่างมังกรและร่างคน หนำซ้ำยังต้องจมอยู่ใต้ท้องทะเล ไม่อาจขึ้นมาบนฝั่งได้อีกไปชั่วชีวิต
เขากลายเป็นปลาอีกครั้ง
เป็นปลาที่มีร่างกายใหญ่โตโอฬาร
เขาฝืนทนต่อความทรมานจากคำสาป เหาะทะยานสู่ท้องนภาด้วยพลังปาฏิหาริย์ ใช้ร่างกายอันใหญ่โตนำทางแก่เด็กหญิง นำพาเธอและพ่อแม่ออกจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
ขณะที่กำลังจะออกจากประตู
พวกเขาก็ข้ามผ่านผืนทะเลแห่งหนึ่ง
มังกรเผือกซึ่งกลายเป็นปลายักษ์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องโหยหวนก่อนจะร่วงลงสู่ท้องทะเล พรากจากกับเด็กหญิงในที่สุด
ห้วงมหรรณพอันพิศวงแห่งนี้มีพลังวิเศษ ทำให้คนสามารถคนระลึกถึงอดีตได้
ดังนั้น ในภาพยนตร์จึงใช้วิธีเล่าเรื่องย้อนความหลัง มาบรรยายต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด
แท้จริงแล้ว เมื่อเด็กหญิงยังเล็ก เธอเคยรวบรวมเงินครึ่งเดือน เตรียมไว้สำหรับซื้อขนมที่ชอบ
ทว่าระหว่างทางเดินผ่านทะเล เด็กหญิงในตอนนั้นก็เห็นชาวประมงกำลังขายปลาตัวหนึ่งซึ่งสวยงามมาก เธอรู้สึกสงสารปลาตัวนั้น จึงจ่ายเงินซื้อปลาตัวนั้นมาแล้วปล่อยมันไป
ปลาตัวนั้น ก็คือมังกรเผือก
หลังจากนั้นก็เป็นความทรงจำของมังกรเผือก
ยามที่เขายังเป็นปลาตัวหนึ่ง ก็เพียรพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ข้ามผ่านประตูมังกร ได้ครอบครองร่างมังกรและตบะอันแข็งแกร่ง ทั้งยังมีร่างมนุษย์ที่เขาใฝ่ฝัน
ที่เขาพยายามมากถึงเพียงนั้นก็เพราะ…
เขาอยากตามหาเด็กหญิงตัวน้อย และตอบแทนเธอ
กระนั้นแล้ว เขาก็นึกไม่ถึงว่าทันทีที่กลายร่างเป็นมังกร จะถูกหญิงชราผู้ชั่วร้ายจับตัวไป และถูกบังคับให้ยอมกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของผู้ชม
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ชมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ กลับเป็นบทเพลงที่ดังขึ้นมาขณะที่ความทรงจำปรากฏขึ้นในผืนน้ำ ‘เกลียวคลื่นสงัดพัดกลืนม่านราตรี ถั่งโถมมุมหนึ่งสุดเส้นขอบฟ้า ปลายักษ์แหวกว่ายวนผ่านห้วงนิทรา จ้องมองมายามเธอหลับตาลง…’
เสียงเปียโนบรรเลง
เสียงเพลงร่ำร้อง
ทั้งโรงหนังเงียบสงัด
เสียงคล้ายระลอกคลื่นดังขึ้นข้างหู ข้าวโพดคั่วซึ่งกำลังจะเข้าปากจ้าวอิ๋งเก้อชะงักค้าง ราวกับถูกบางอย่างเข้าจู่โจมในชั่วพริบตา ใจลอยอยู่เช่นนั้น
‘กลัวเธอโบยบินไปแสนไกล
กลัวเธอจะห่างไกลจากฉัน
กลัวยิ่งกว่าว่าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์
ทุกหยาดน้ำตา
หลั่งรินไปสู่เธอ
หวนกลับคืนก้นบึ้งของแผ่นฟ้า…’
ปลายักษ์และเด็กหญิงไม่อยากพรากจากกัน เสียงเพลงและเรื่องราวสอดประสาน จากนั้นก็เป็นเสียงเอื้อนไพเราะเกินพรรณนาโอบล้อมโสตประสาท ราวกับเป็นโลกลึกลับจากในภาพยนตร์ ชวนให้ผู้คนชาวาบไปทั้งตัวในฉับพลัน
“ฮึก”
ผู้ชมบางคนเริ่มสะอื้นเสียงเบา โจวเสี่ยวลี่ซึ่งอยู่ข้างซ้ายจ้าวอิ๋งเก้อหยิบกระดาษทิชชู่ออกมา ทว่าชั่วพริบตาเดียวก็ใช้ไปแล้วครึ่งห่อ ร้องไห้จนตาแดงก่ำ
ทั้งโรงหนังปกคลุมไปด้วยความเงียบ
บทเพลงซึ่งบรรเลงในช่วงสุดท้าย รวมกับภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นระเบิดน้ำตาลูกใหญ่ อีกทั้งทำนองเพลงและส่วนเสียงเอื้อนได้จุดระเบิดน้ำตาโดยสมบูรณ์ ทั้งโรงภาพยนตร์ไร้วี่แววผู้รอดชีวิต
มิตรภาพ?
ความรัก?
ในหนังไม่ได้อธิบายจุดนี้ ทว่ายามที่ปลายักษ์หวนคืนสู่ท้องทะเล แสงอาทิตย์อัสดงเผยให้เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป เด็กหญิงหยดน้ำตาหลั่งริน ยังคงโบกมือบอกลาสุดแรง
ไกลออกไปสุดของฟ้า
ปลายักษ์ดำลงสู่ก้นทะเล
ภาพยนตร์ได้จบลง และก็เป็นท่อนจบของบทเพลง ในเนื้อเพลงประโยคสุดท้ายซึ่งร้องด้วยเสียงไวเบรโต เปรียบประดุจใบมีดคม กรีดแทงหัวใจของผู้คนนับไม่ถ้วน ‘ทุกหยาดน้ำตา…หลั่งรินไปสู่เธอ…หวนกลับคืน…ครั้งแรกที่พานพบ…’
……
เมื่อเอนด์เครดิตของภาพยนตร์ปรากฏขึ้น ทั้งโรงยังไม่มีใครลุกออกไป บรรยากาศขมขื่นบางเบา ตามมาด้วยบทสนทนาถกเถียงกันมากมาย เพียงแต่ว่าเสียงของบทสนทนาส่วนใหญ่ฟังดูทุ้มหนัก คล้ายกับเสียงอู้อี้หลังร้องไห้
“ฉันกลั้นน้ำตามาตั้งชั้วโมงกว่า แต่มาแพ้เพราะเพลงเนี่ยแหละ”
“แต่ละคำของเนื้อเพลงอย่างกับมีดทิ่มมาที่หัวใจฉัน ประโยคสุดท้ายกระแทกใจจนฉันตายไปเลย”
“ฉันว่าฉันไม่กล้าดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีกแล้ว ยกเว้นดูคลิปตัดของเพลงช่วงสุดท้าย”
“ใครแต่งเพลงนี้เนี่ย จ่ายค่าเสียน้ำตามาให้ฉันเลยนะ!”
“ตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าหนังทั้งเรื่องจะเป็นเอ็มวีของเพลงนี้”
“ฉันอินโนเซนต์มาก คิดว่านี่เป็นหนังฮีลใจ ไม่คิดว่าจะเป็นหนังที่บีบหัวใจสุดๆ เพลงตอนสุดท้ายนี่มันฆ่ากันชัดๆ”
“…”
มีผู้หญิงขอบตาแดงก่ำคนหนึ่งหยอกล้อผู้ชายด้านข้าง “ที่รัก เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่เคยดูหนังแล้วร้องไห้ เธอไม่
ได้บอกเองเหรอว่าเกลียดเรื่องสะเทือนอารมณ์ที่สุด สิ่งที่เรียกว่าสะเทือนอารมณ์ก็คือเทคนิคที่มืออาชีพอย่างผู้กำกับทำมาเรียกน้ำตาผู้ชมไงล่ะ ร้องไห้เป็นหมีเลยเนี่ย”
“ตอนดูหนังผมไม่ได้ร้องไห้จริงๆ…จนมาฟังเพลงนี้เนี่ยแหละ”
นี่คือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่ง
“กระดาษทิชชู่หมดแล้ว เธอยังมีมั้ย” โจวเสี่ยวลี่เช็ดจมูก ใช้แขนสะกิดมือของจ้าวอิ๋งเก้อ
“…”
จ้าวอิ๋งเก้อดูราวกับไม่ได้ยิน ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังส่วนสุดท้ายของเอนด์เครดิตในภาพยนตร์
“เธอดูอะไรอยู่น่ะ หนังจบแล้ว”
เมื่อไม่ได้กระดาษทิชชู่ โจวเสี่ยวลี่จึงทำได้เพียงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา
จ้าวอิ๋งเก้อยังคงไม่ตอบ จนกระทั่งเธอเห็นเอนด์เครดิตส่วนสุดท้าย นี่คือข้อมูลที่เธอมองหาตั้งแต่หนังจบลง
[เพลงประกอบ/ซาวด์แทร็ก/ดนตรีประกอบ/เพลงปิด: เซี่ยนอวี๋]
[เนื้อเพลง/ทำนอง/เรียบเรียง: เซี่ยนอวี๋]
[ขับร้อง: เจียงขุย]
[Special Thanks: เซี่ยนอวี๋]
“ปลายักษ์…” เธอพึมพำสองคำนี้ จากนั้นก็คล้ายกับว่าจะหวนคิดถึงบางอย่างออก ใบหน้าพลันแดงระเรื่อ “เซี่ยน
อวี๋ เซี่ยนอวี๋”
โจวเสี่ยวลี่ซึ่งเพิ่งจะหยุดร้องไห้ก็เอ่ยถามด้วยเสียงอู้อี้อย่างสงสัยใคร่รู้ “เซี่ยนอวี๋อะไร เธอบ่นอะไรน่ะ”
“เซี่ยนอวี๋ไง!”
น้ำเสียงของจ้าวอิ๋งเก้อสั่นเครือ “เซี่ยนอวี๋เป็นคนทำเพลงประกอบเรื่องนี้ เพลงที่สตาร์ไลท์ส่งมาครั้งก่อน เซี่ยนอวี๋ก็เป็นคนเขียนไม่ใช่เหรอ”
โจวเสี่ยวลี่ประหนึ่งตื่นจากความฝัน “เหมือนจะใช่…”
จ้าวอิ๋งเก้อผุดลุกขึ้นทันที “พวกเรากลับไปฟังเพลงกัน!”
…………………………………….