“ที่แท้นายก็มาอยู่ที่นี่เอง”
เสียงหนึ่งดังเข้าโสตประสาทของหลินเยวียน ทันใดนั้นใบหน้าหล่อเหลาผุดผ่องก็เข้ามาบดบังท้องฟ้าพราวประกาย
“เจี่ยนอี้”
หลินเยวียนร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่ชั้นประถม มัธยมต้น จนถึงมหาวิทยาลัย…
เพื่อนตายที่แท้จริง
และในตอนนี้ เพื่อนตายก็ได้ยื่นมือออกมา ฉุดเขาขึ้นมาจากพื้น
จากนั้นหลินเยวียนก็พลันรู้สึกหนักอึ้งบนไหล่ เสื้อคลุมผู้หญิงตัวหนึ่งถูกสวมทับลงมาบนตัวของเขา
เขาหันไปเห็นใบหน้าพริ้งเพราเปี่ยมรอยยิ้ม
เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผมยาวสลวยปรกบ่า แต่งหน้าบางเบา สวยสะคราญโดดเด่น
“ซย่าฝาน”
หลินเยวียนเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับยามที่เห็นเจี่ยนอี้
เพราะว่าหญิงสาวที่ชื่อซย่าฝานคนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของหลินเยวียนมาตั้งแต่ประถม มัธยมต้น จนถึงมหาวิทยาลัยเหมือนกับเจี่ยนอี้ไม่มีผิดเพี้ยน
เป็นเพื่อนตายอีกคนหนึ่ง
“กลางคืนลมแรง อย่าลืมสวมเสื้อคลุมก่อนออกไปข้างนอกสิ”
ซย่าฝานกำชับกับหลินเยวียน ถึงแม้ว่าเธอและเจี่ยนอี้ รวมไปถึงทุกคนที่วิ่งอยู่ในสนามกีฬาล้วนแต่สวมเสื้อแขนสั้นในสไตล์ที่เหมาะกับฤดูร้อนกันทั้งนั้น
“โอเค”
หลินเยวียนเอ่ยตอบ
สุดท้ายแล้ว ทันทีที่พูดจบ เจี่ยนอี้และซย่าฝานก็จ้องมองเขาพร้อมกัน แววตาแฝงความคลางแคลงใจ
“ทำไมฉันรู้สึกว่านายแปลกๆ”
ผู้ที่พูดประโยคนี้คือเจี่ยนอี้
ซย่าฝานแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของซย่าฝานก็บ่งชัดว่าเธอก็คิดแบบเดียวกับเจี่ยนอี้
“เพราะว่าฉันไม่ใช่หลินเยวียนไปซะทั้งหมดแล้วน่ะสิ”
หลินเยวียนพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกว่าวิธีการพูดของตนเองค่อนข้างเป็นภววิสัย[1]พอสมควร เขามีครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นของเจ้าของร่างเดิม อย่างน้อยก็ความรู้สึกบางส่วนต่อครอบครัวและเพื่อนฝูง ร่างกาย ผมเผ้าและผิวหนัง ล้วนเหมือนกับเจ้าของร่างเดิม
“นายโดนผีเข้าหรือไง”
เจี่ยนอี้หัวเราะร่า แต่กลับไม่ได้เอะใจสงสัยเขา
สีหน้าของซย่าฝานพลันแลดูเข้าใจขึ้นมาในทันที
หลินเยวียนผ่อนลมหายใจออก
แบบนี้เขาก็ค่อยโล่งใจ ไม่ต้องอธิบายให้มากความอีก
ซย่าฝานและเจี่ยนอี้โตมากับหลินเยวียนตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นจึงรู้ตื้นลึกหนาบางของอาการป่วยของหลินเยวียนดี
และด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองจึงคอยดูแลหลินเยวียนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงมาโดยตลอด
เมื่อว่ากันตามความรู้สึก หลินเยวียนไม่อยากโกหกทั้งสอง แต่ก็จำเป็นต้องโกหกให้เข้าทีสักหน่อย
“คุณหลิน กระผมจะพูดแบบไม่ลำเอียงเลยนะ”
เจี่ยนอี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สิ่งที่เรียกว่า ‘นักเขียนนิยาย’ น่ะ เป็นหนึ่งในสิบอันดับอาชีพในฝันที่ได้รับการ
โหวตจากวัยรุ่นในเน็ตทั่วทั้งฉินโจวเชียวนะ ลำพังฉินโจวที่พวกเราอยู่ ก็มีคนที่มีเป้าหมายอยากเป็นนักเขียนนิยายเยอะแยะนับไม่ถ้วน นายจะใช้งานอดิเรกในช่วงเวลาสั้นๆ มาเติบโตในหน้าที่การงานเหรอ จริงๆ แล้วออกจะยากไปสักหน่อยนะ เพราะงั้นไม่จำเป็นจะต้องมานอนตากลมเย็นกลางสนามหญ้าที่ลมแรงตอนกลางคืนเพื่อสงสัยในชีวิตแบบนี้เลย”
‘นักเขียนนิยาย’
สายตาของหลินเยวียนสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย
นักเขียนนิยายที่เจี่ยนอี้พูดถึงก็มีเหตุผล
เป็นเพราะไม่นานก่อนหน้านี้ เจ้าของร่างบังเกิดไอเดียเกี่ยวกับนิยาย ทั้งยังลงมือทำ ส่งต้นฉบับความยาวหนึ่งแสนตัวอักษรไปเข้าร่วมกิจกรรมบทความออนไลน์ เพื่อเดบิวต์ในฐานะ ‘นักเขียนนิยาย’
กิจกรรมประเภทนี้ได้รับความสนใจมากเสียด้วย
นั่นก็เพราะทันทีที่ ‘นักเขียน’ เดบิวต์สำเร็จ ไม่เพียงผลงานของผู้ชนะจะได้รับโอกาสอันล้ำค่าในการตีพิมพ์ ถ้าหากผลงานได้กระแสตอบรับขายดีจนถึงระดับที่กำหนด ก็ยังอาจนำไปดัดแปลงเป็นการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือแม้แต่งานประเภทเกมก็เป็นได้
นี่คือสิ่งที่ผู้คนนับไม่ถ้วนซึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนนั้นบากบั่นต่อสู้เพื่อให้ได้มา!
และที่สำคัญที่สุดก็คืองานนี้รวยเละ!
แต่น่าเสียดาย…
เป็นเพราะกิจกรรมนี้คึกคักเกินไปหน่อย มิหนำซ้ำพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์นิยายของเจ้าของร่างจัดอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา ดังนั้นในรอบคัดเลือกรอบแรก ผลงานที่เข้าร่วมของเจ้าของร่างจึงเป็นอันตกรอบไป
เจี่ยนอี้คิดว่าตนเป็นเช่นนี้ก็เพราะบทความไม่ผ่านการคัดเลือก ถึงได้มานั่งตากลมในสนามอยู่แบบนี้
แต่ว่า…
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นหลินเยวียนหรือเจ้าของร่าง ก็ล้วนไม่ได้ใส่ใจผลการตัดสินบทความในครั้งนี้
ที่เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้ในการประกวดบทความแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างไรเขาก็แค่ลองเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เล่นๆ เท่านั้น
เผื่อได้เงินขึ้นมาล่ะ?
เขาโอบกอดความคิดนี้ไปเข้าร่วมกิจกรรม
เขามักเพียรพยายามต่อสู้เพราะความรู้สึกผิดในใจต่อครอบครัว
เขารู้สึกว่าทั้งพี่สาว น้องสาว แล้วก็แม่ล้วนแต่เสียสละเพื่อเขามามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากชดเชยต่อพวกเธออย่างเต็มความสามารถ
การเป็นนักร้อง ไม่ได้เป็นเพียงเพราะความฝัน
แต่ยังเป็นเพราะอาชีพนี้สร้างรายได้มหาศาลเลยน่ะสิ!
ไม่ต้องเอ่ยถึงคำพูดซี้ซั้วอย่าง ‘ความฝันไม่ควรแปดเปื้อนเงินทอง’
สำหรับเจ้าของร่างแล้ว ถ้าหากความฝันอันแปดเปื้อนนำมาซึ่งเงินทอง เขาก็หวังเป็นอย่างมากว่าความฝันของเขาจะแปดเปื้อนและถูกกัดกินจนทะลุโดยเร็ว…
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะได้ซื้อเดรสสวยๆ ให้น้องสาวสักชุด
พี่สาวจะได้ใช้ชีวิตของตนเอง
แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป
“อย่าไปฟังเจี่ยนอี้มันเลย”
ซย่าฝานเองก็รู้สึกหัวเสียกับเรื่องที่หลินเยวียนตกรอบเช่นกัน
ทว่าเธอไม่ได้โน้มน้าวให้หลินเยวียนยอมแพ้ แต่กลับผลักดันให้เขาพยายามต่อไป “ที่จริงโอกาสคล้ายๆ กันนี้ก็มีอยู่มากนะ อย่างเช่นเดือนหน้า ‘คลังหนังสือซิลเวอร์บลู’ ที่เป็นสำนักพิมพ์อันดับต้นๆ ของบลูสตาร์จะจัดงานประกวดนิยาย ‘ซูเปอร์โนวา’ ถึงตอนนั้นนายไปลองดูก็ได้นะ”
“ขอร้องละซย่าฝาน”
เจี่ยนอี้ลูบหน้าผาก “ขนาดกิจกรรมส่งบทความเข้าร่วมธรรมดา หลินเยวียนยังไม่เข้ารอบเลย เธอจะให้เขาไปแข่ง ‘ซูเปอร์โนวา’ เหรอ?”
“สิ่งสำคัญคือได้เข้าร่วมไม่ใช่หรือไง”
ซย่าฝานตอบอย่างรู้สึกผิด อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าหลินเยวียนจะประสบความสำเร็จ เธอแค่หวังว่าหลินเยวียนจะได้มีอะไรทำ ตั้งแต่เสียงของเขามีปัญหา กระทั่งหลังย้ายไปอยู่สาขาการประพันธ์เพลง สภาพจิตใจของหลินเยวียนก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด
เจี่ยนอี้ไม่ได้ละเอียดอ่อนเหมือนซย่าฝาน
เขาสาธยายสถานการณ์พื้นฐานให้หลินเยวียนฟัง “แม้แต่ฉันที่ไม่ได้สนใจแวดวงนิยายก็ยังรู้เลยว่าซูเปอร์โนวาน่ากลัวขนาดไหน คนที่เข้าประกวดก็มีแต่พวกมือโปรที่ต่อสู้เพื่อความฝันจะได้เดบิวต์เป็นนักเขียนมาตั้งหลายปี ถึงขนาดที่บางครั้งมีนักเขียนที่เดบิวต์แล้วแต่ไม่รุ่งมาเข้าร่วมด้วย ถึงยังไงสำหรับใครหลายคนแล้ว การเปลี่ยนนามปากกาก็เหมือนเปลี่ยนตัวตน พวกเขาก็ได้ชื่อว่าหน้าใหม่อยู่ดีนั่นละ…”
สรุปความให้เหลือหนึ่งประโยคได้ว่า ‘ซูเปอร์โนวาก็คือมหาสงครามของเหล่าเทพเซียน’
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
หลินเยวียนเอ่ยขึ้นตัดบทเจี่ยนอี้ ในใจกลับแอบจดจำเรื่องของซูเปอร์โนวา
ในโลกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะ หนทางที่จะได้มาซึ่งการยอมรับนั้นดูเหมือนจะมีมากมาย
แต่ว่าในตอนนี้ตนยังไม่มีนิยาย
ต้องรอให้ระบบส่งมาให้ก่อนถึงจะได้
ส่วนเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นั้น หลินเยวียนจะคิดหาวิธีเผยแพร่ เขามองไปทางซย่าฝานอย่างอดไม่ได้
ซย่าฝานเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง
ในตอนที่หลินเยวียนยังไม่ได้ย้ายสาขา ทั้งสองคนนั้นเรียนคลาสเดียวกัน หากว่ากันตามความสามารถเฉพาะทางแล้ว ซย่าฝานย่อมทำได้สบายไร้ปัญหา พรสวรรค์ในการร้องเพลงของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเยวียนก่อนเสียงจะหายไปเลย
แต่ว่าซย่าฝานก็เป็นแค่นักศึกษา
นักศึกษาปล่อยเพลง จะใช้ช่องทางอินเทอร์เน็ตหรือยังไงกัน
ถ้าอย่างนั้นก็จะช้าเกินไปหน่อยกว่าเพลงจะเป็นที่รู้จัก เมื่อไม่มีการโปรโมตที่เป็นหลักแหล่ง ก็เป็นไปได้ว่าเพลงนี้อาจจมดิ่งลงก้นทะเลไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย
“มีอะไรเหรอ”
ซย่าฝานเห็นหลินเยวียนจ้องมองตนเอง ก็รู้สึกตงิดใจแปลกๆ “นายอยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะไปซื้อมาให้”
“เปล่า”
หลินเยวียนตอบ “ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง…อืม เพื่อน เขาเขียนเพลงไว้ อยากปล่อยน่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง พวกนายมีช่องทางอะไรแนะนำไหม”
“นายบ๊องไปแล้วเหรอ”
เจี่ยนอี้เบ้ปาก “ก่อนหน้านี้นายไม่ได้ขายตัวเองไปห้าหมื่นหยวนแล้วหรือไง ถ้ามีเพลงก็ต้องไปหาสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ที่หนุนหลังนายอยู่น่ะสิ บริษัทใหญ่ซะขนาดนี้ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย”
หลินเยวียนชะงักงัน ก่อนจะกระจ่างขึ้นมาทันที
หลังจากที่เจ้าของร่างสอบเข้ามาในวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ก็ได้โชว์พรสวรรค์อันน่าทึ่ง จนตอนปีหนึ่งก็ไปเข้าตาผู้จัดการคนหนึ่ง และเซ็นสัญญากับบริษัทบันเทิงขนาดใหญ่และชื่อเสียงไม่เลวแห่งหนึ่ง
ราคาของสัญญาฉบับนั้นคือห้าหมื่นหยวน
เจ้าของร่างต้องการเงิน ฉะนั้นถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสัญญาราคาห้าหมื่นหยวนนี้ถูกแสนถูก แต่กลับจรดปากกาเซ็นสัญญาระยะเวลาแปดปีไปโดยไม่ลังเล และเขาก็นำเงินค่าเซ็นสัญญาที่ได้มาให้แม่ในทันที
แต่ใครจะไปคิดว่า…
หลังจากที่เด็กหนุ่มพลังเสียงขั้นเทพคนนี้เซ็นสัญญาได้ไม่นาน เขาก็ไม่อาจร้องเพลงได้อีกเลย
เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ บริษัทบันเทิงซึ่งเซ็นสัญญากับหลินเยวียนก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับว่าตนโชคร้าย และตัดหางปล่อยวัดหลินเยวียนตั้งแต่นั้นมา
เป็นไปได้มากว่าเพราะพวกเขารู้สถานการณ์ของครอบครัวหลินเยวียน ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ได้เรียกร้องให้ชดใช้อะไรทำนองนั้น เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องยกเลิกสัญญาอีกเลย คาดว่าคงจะลืมไปเสียสนิทแล้วว่าในบรรดานักร้องของบริษัทยังมีคนที่ชื่อว่าหลินเยวียนด้วย
“ไม่ใช่สิ”
ขณะที่หลินเยวียนกำลังขบคิดอยู่นั้น เจี่ยนอี้ก็ได้สติทันใด “คุณหลิน นายมีเพื่อนที่ฉันกับซย่าฝานไม่รู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
‘เพื่อนสมมติ’
ซย่าฝานปิดปากหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อทันใด “ถ้าอยากปล่อยเพลง ตอนนี้แหละมีโอกาส เพราะอีกไม่กี่วันจะเป็น ‘ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง’ ที่จัดแค่ปีละครั้ง พอถึงตอนนั้นบริษัทบันเทิงใหญ่ๆ จะดันศิลปินกันทั้งนั้น เงื่อนไขคือนายแตะถึงมาตรฐานในการสมัครของบริษัท…”
“เข้าใจแล้ว”
หลินเยวียนเองก็ผุดรอยยิ้มออกมา
นี่มันยูโทเปียของศิลปิน เป็นดินแดนในอุดมคติที่ความบันเทิงเฟื่องฟู!
ขอเพียงมีความสามารถ พรมแดงแห่งชื่อเสียงก็แทบจะพาดสลับกันไปมา แล้วลากยาวมาถึงหน้าประตูบ้านเลยละ!
ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง
นี่คือหนึ่งในช่องทางดัง และเป็นกฎเกณฑ์ที่บลูสตาร์ตั้งขึ้นมาเพื่อฟูมฟักผู้มีพรสวรรค์ในวงการเพลงโดยเฉพาะ
เดือนพฤศจิกายนทุกปี บลูสตาร์จะจัดกิจกรรมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงไปทั่วทุกพื้นที่
เมื่อถึงตอนนั้น บรรดาผู้อาวุโสในวงการเพลงจะพากันไม่ออกอัลบั้มหรือแม้แต่เพลงโดยมิได้นัดหมาย จะหยุดเป็นการชั่วคราว เพื่อเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งให้แก่คนรุ่นหลัง
ถึงขั้นที่ในเดือนพฤศจิกายน เหล่าผู้อาวุโสจะออกตัวจัดอันดับเด็กใหม่รุ่นน้องด้วยซ้ำ
จากนั้นบริษัทบันเทิงแต่ละบริษัทก็จะไขว่คว้าโอกาสเช่นนี้ ผลักดันศิลปินหน้าใหม่ของวงการอย่างสุดกำลัง และศิลปินหน้าใหม่แต่ละคนก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์!
เดิมทีหลินเยวียนมีโอกาสได้เปิดตัวในฤดูกาลของศิลปินหน้าใหม่เช่นนี้
ทว่าน่าเสียดาย ที่ในตอนนี้เขาทำได้เพียงเดบิวต์ในฐานะผู้ประพันธ์เพลงแล้ว
แต่ว่าถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ใช่เจ้าของร่างอีกต่อไป ดังนั้นการได้เดบิวต์ในฐานะคนเขียนเพลงก็ยิ่งทำให้หลินเยวียนดีใจเข้าไปใหญ่
วิธีแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์แก่นักร้องหน้าใหม่ในวงการเพลงของบลูสตาร์ก็คือ
ส่วนรายได้ที่มาได้จากยอดดาวน์โหลดหรือยอดการฟังเพลงเพลงเดียวนั้น โดยทั่วไปแล้วบริษัทจะเก็บไว้แปดส่วน ที่เหลือสองส่วนให้นักร้องและคนเขียนเนื้อและทำนองเพลงแบ่งกัน ส่วนของผู้เรียบเรียงและโปรดิวเซอร์นั้นมักจะจ่ายผ่านทางบริษัท
สัดส่วนโดยละเอียดขึ้นอยู่กับที่ระบุในสัญญา
ธรรมเนียมก็คือนักร้องและคนเขียนเพลงรับเงินก้อนใหญ่ไป
นอกจากรายได้ส่วนใหญ่ที่บริษัทรับไป หลินเยวียนกลับไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินกับคนมากนัก อย่างไรเสียเขาก็ทำทั้งเนื้อร้องและทำนอง และระบบก็ได้เรียบเรียงดนตรีมาให้แล้วเสร็จสรรพ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้มีเพียงขุดทะลวงเส้นทางสู่ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่และผู้ช่วยงานสักคนที่…
ร้องเพลงได้และแบ่งเงินกับเขาได้
………………………………………
[1] ภววิสัย คือ การมองและวิเคราะห์ปัญหาจากสภาพจริง โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัว