เวลาสามทุ่ม
วิทยาลัยศิลปะฉินโจว
เขานอนสองมือประสานหลังศีรษะ เหม่อมองดวงดาวอยู่ในสนามกีฬาของวิทยาลัย
ผืนฟ้าพร่างพรายแสงดาวเหนือศีรษะเหมือนกับโลกไม่มีผิดเพี้ยน ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นเขาซึ่งหาดาวเหนือไม่พบ ก็ยังรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลก หากแต่เป็นจักรวาลคู่ขนานซึ่งเรียกว่าบลูสตาร์
‘หลินเยวียน สาขาการประพันธ์เพลง วิทยาลัยศิลปะฉินโจว’
นี่ก็เป็นตัวตนใหม่ของเขาหลังจากทะลุมิติเข้ามา
เขาได้รับสืบทอดทุกสิ่งจากเจ้าของร่างมา โดยเฉพาะจุดเด่นอย่างหน้าตาอันหล่อเหลา แต่ดันจำไม่ได้ว่าตนในโลกเดิมมีชื่อว่าอะไร และก็จำไม่ได้ว่าตนทะลุมิติมาทำไม จำได้แค่ว่าตนเองในโลกเดิมก็ดูดีมีสไตล์ไม่เบาเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นคนดังอีกด้วย?
ฉะนั้นแล้ว เขาจึงทึกทักว่าตนเองเป็น ‘หลินเยวียน’ ได้อย่างง่ายดาย
สำรวจความทรงจำของเจ้าของร่างสักหน่อยก็แล้วกัน
หลินเยวียนพบว่าเส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ของโลกนี้นั้นแตกต่างจากโลกเดิมอย่างสิ้นเชิง
ประวัติศาสตร์มาถึงทางแยกในยุคราชวงศ์ฉิน ฝูซูสืบทอดราชกิจของอิ๋งเจิ้ง นำกองทัพแห่งต้าฉินกวาดล้างรวบรวมดินแดนต่างๆ ทำให้บูรพาทิศผงาดครองใต้หล้าในคราเดียว จนกระทั่งเมื่อร้อยปีก่อนจึงถูกแคว้นซย่าที่แข็งแกร่งเข้าแทนที่
ทั้งโลกรวมเป็นหนึ่ง
โลกนี้แบ่งเป็นแปดแว่นแคว้น
พื้นที่ซึ่งหลินเยวียนอยู่นี้เรียกว่าฉินโจว
บนโลกซึ่งตัดขาดกับสงครามอย่างสิ้นเชิง ศิลปะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเสาะแสวงหาร่วมกัน ที่นี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างไม่เคยมีมาก่อน
‘ดินแดนในอุดมคติ’
หลินเยวียนนิยามไว้เช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองของผู้อยู่ในแวดวงศิลปะ
แต่ต่อให้เป็นดินแดนในอุดมคติอย่างยูโทเปีย ก็ยังมีความโชคร้ายเกิดขึ้น เฉกเช่นโชคร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับเจ้าของร่างซึ่งหลินเยวียนทะลุมิติเข้ามาอยู่
เขาป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย
ถูกต้องแล้วละ นี่เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยครั้งทางโทรทัศน์ และเป็นคำที่มักจะตามมาด้วยดราม่ากองโตไปซะทุกครั้งที่คำนี้ปรากฏขึ้น
‘ป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย’
นี่เป็นสิ่งที่หลินเยวียนค้นพบจากความทรงจำหลังจากที่ทะลุมิติเข้ามา ตนถึงขนาดได้รับร่างกายซึ่งโรยราเต็มทีมา หมอได้ตัดสินโทษประหารกับอาการของเจ้าของร่างไว้แต่แรกแล้วว่า
‘เด็กคนนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า’
นี่เป็นความเจ็บปวดที่เจ้าของร่างไม่อาจแบกรับ ดังนั้นเขาจึงเลือกกินยานอนหลับปลิดชีพตนเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลซึ่งทำให้หลินเยวียนได้กลายมาเป็นเจ้าของร่างคนใหม่ เจ้าของร่างซึ่งปีนี้อายุสิบเก้าปีได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เหลืออันแสนน้อยนิดของเขาไปเสียแล้ว
เป็นเพราะหวาดกลัวความตาย?
จึงเลือกที่จะตาย?
เดิมทีหลินเยวียนคิดว่านี่คือเหตุผลหลักซึ่งทำให้เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง จนกระทั่งเขาเริ่มค้นหาลงไปในความทรงจำของเจ้าของร่างมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการไว้อยู่บ้าง
เจ้าของร่างอยู่ในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว
พ่อของเขาป่วยตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว
เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงดูเขาโดยลำพังมาจนเติบใหญ่
เจ้าของร่างร่างกายอ่อนแอป่วยเสาะแสะมาแต่เด็ก ตั้งแต่มีไข้อ่อนๆ ไปจนถึงอาการโคม่า เขาเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นนิจเพื่อรักษาตัว รายจ่ายก้อนโตล้วนมีแม่ของเขาเป็นผู้แบกรับ
เงินบางส่วนก็ยืมมาบ้าง
เงินบางส่วนแม่ก็ดิ้นรนหามาบ้าง
ไม่รู้ว่าแม่ต้องทนลำบากยากเข็ญมากแค่ไหนเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างยังมีพี่สาวหนึ่งคน และน้องสาวอีกหนึ่งคนด้วย
พี่สาวและน้องสาวล้วนรู้หน้าที่
เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม พวกเธอจึงไม่เคยได้มีวันเวลาที่ดีสักเท่าไหร่
พี่สาวละทิ้งโอกาสเรียนต่อปริญญาโท เพื่อจะได้หารายได้เข้าบ้านโดยเร็วที่สุด
น้องสาวสวมเสื้อผ้าตัวเก่าของพี่สาวมาแต่เด็ก เพื่อลดภาระทางการเงินของครอบครัว
และฟางเส้นสุดท้ายก็คือ…
เจ้าของร่างได้สูญเสียคุณสมบัติซึ่งจะช่วยให้เขาไล่ตามความฝันได้
แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง มีพลังเสียงแข็งแกร่งมาแต่เกิด เสียงของเขานั้นนับว่าโดดเด่นเป็นเลิศในสาขาการขับร้อง ความฝันของเขาก็คือการได้เป็นนักร้อง
ทว่าตอนอยู่ปีหนึ่ง อาการป่วยของเขาก็กำเริบขึ้นเป็นครั้งแรก และการกำเริบครั้งนี้ก็ส่งผลโดยตรง ซึ่งก็คือ
เจ้าของร่างร้องเพลงไม่ได้อีกต่อไป
เขาป่วยจนคอพังเสียแล้ว ไม่สามารถทนการซ้อมร้องที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสียงสูง
ซึ่งเขาภาคภูมิใจหนักหนา
ด้วยความอับจนหนทาง
เขาจึงเบนไปยังสาขาการประพันธ์เพลงซึ่งไม่ได้ถนัดสักเท่าไร
และในชั้นปีที่สองนั้นเอง เขาก็เลือกจบชีวิตตนเอง
ไม่ใช่แค่เพราะความฝันมาถึงทางตัน แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวอีกต่อไป ทันทีที่
ชีวิตเริ่มนับเวลาถอยหลัง ทุกวินาที ทุกนาทีล้วนแต่ทรมาน
หลังจากประมวลความทรงจำเหล่านี้
หลินเยวียนซึ่งทะลุมิติมาก็พลันเข้าใจในการตัดสินใจของเจ้าของร่าง เขาไม่สามารถใช้ศีลอันธรรมสูงส่งมากล่าวหาว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นอ่อนแอ
พูดได้เพียงว่า…
ทุกคนต่างมีโชคร้ายของตนเอง และโชคร้ายของบางคนนั้นก็ยากเกินแบกรับมากกว่าคนอื่นๆ
เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ‘คนเราเกิดมาล้วนมีทุกข์’
ทว่าหลินเยวียนไม่มีทางเลือกปลิดชีพตน
ถึงแม้ร่างที่เขาได้รับสืบทอดต่อมานี้จะเป็นร่างที่อยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้หาอะไรทำอีกสักสองสามปี…ล่ะมั้ง?
เขียนเพลง
เขียนหนังสือ
ถ่ายทอดความรู้
หารายได้ให้ครอบครัว
ใช่แล้วละ หลินเยวียนเปลี่ยนแปลงอาการป่วยรักษาไม่หายของตนไม่ได้แล้ว แต่ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เขาอาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนในครอบครัวได้
ความคิดพรรค์นี้รวดเร็วทันใจเสียจริง
หลินเยวียนแยกไม่ออกว่านี่เป็นเจตจำนงของเจ้าของร่างเดิม หรือว่าเป็นปณิธานของเขาเอง
สิ่งที่เขาได้ถ่ายทอดมานั้นอาจไม่ได้มีแค่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ยังมีทั้งอารมณ์ความรู้สึกทุกข์สุข
ซึ่งเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันพิศวงนี้
หลินเยวียนไม่ได้ต่อต้านความรู้สึกเช่นนี้
แต่เขาก็พยายามเค้นความทรงจำเกี่ยวกับงานศิลปะในโลกเดิม กระนั้นกลับพบว่าตนแทบจำอะไรไม่ได้ ราวกับว่าความทรงจำนั้นได้ถูกปิดกั้นไว้ทีละชั้นๆ
แล้วฉันจะทะลุมิติมาที่นี่เพื่ออะไรกัน
หลินเยวียนถามเช่นนี้อยู่ในใจ
จากนั้นในสมองของเขาก็มีเสียงตอบซึ่งฟังดูไม่ได้เหมือนเป็นคำตอบ [กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]
ระบบ?
หลินเยวียนเข้าใจแล้ว
แม้ว่ารายละเอียดของความทรงจำจะเลือนราง แต่เขาก็เคยอ่านนิยายออนไลน์ในโลกเดิมมา พอจะมีภาพจำอยู่บ้าง รู้ว่านี่คือสูตรโกง และเป็นเหตุผลที่เขาทะลุมิติมา
จะมัวมาคิดฟุ้งซ่านไม่ได้อีกแล้ว
เขารอให้ระบบติดตั้งอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปไม่นาน เสียงของกระแสไฟฟ้าซึ่งฟังดูคล้ายกับเป็นจักรกลก็ดังขึ้นในห้วงสำนึกของเขาอีกครั้ง [ดาวน์โหลด
สำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]
“สวัสดี”
หลินเยวียนเอ่ยทักทายก่อน
[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์ ท่านสามารถติดต่อกับระบบได้ผ่านความคิดในสมอง ด้านล่างคือข้อมูลของโฮสต์ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปแบบตัวอักษร]
เสียงของจักรกลหยุดลง
ตัวอักษรโปร่งแสงปรากฏแก่สายตาของหลินเยวียน
[อายุ: 19]
[อายุขัย: 22]
[จิตรกรรม: 45]
[วรรณกรรม: 105]
[ดนตรี: 1038]
[ภาพรวม: 1188]
[อื่นๆ : รอเปิดใช้]
[หมายเหตุ: นอกจากอายุและอายุขัยแล้ว ตัวเลขแต่ละหมวดนั้นแสดงถึงชื่อเสียง และตามทฤษฎีแล้ว ระดับความนิยมที่โฮสต์ได้รับในหมวดนั้นๆ จะไร้ซึ่งขีดจำกัด ยิ่งระดับความโด่งดังสูงเท่าไร รางวัลที่โฮสต์จะได้รับย่อมมากขึ้นตาม…]
อายุขัยคือ…22?
ระบบคล้ายกับจะล่วงรู้ถึงความคิดของหลินเยวียน
อักษรอีกแถบหนึ่งปรากฏขึ้นมา [อายุยี่สิบห้าปีคือขีดจำกัดอายุของเจ้าของร่างตามทฤษฎี เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์จริง เจ้าของร่างมีชีวิตอยู่ได้มากที่สุดถึงยี่สิบสองปี อีกทั้งเมื่ออายุถึงยี่สิบเอ็ดปี ก็จะเป็นอัมพาตทั้งตัว]
“รักษาได้ไหม”
หลินเยวียนถามในใจ
ระบบ [เมื่อชื่อเสียงของโฮสต์แตะถึงมาตรฐานความโด่งดัง ก็จะได้รับการรักษาจากระบบ เมื่อผ่านการรักษาหลายครั้งเข้าก็จะถึงระดับที่ฟื้นตัวได้ ทุกครั้งที่ค่าความโด่งดังแตะถึงระดับที่กำหนด ระบบก็จะแจ้งเตือนโฮสต์…]
ความหมายก็คือรักษาได้
หลินเยวียนถามอย่างชำนิชำนาญว่า “โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ล่ะ?”
อาจเป็นเพราะหลินเยวียนเชี่ยวชาญแล้ว แม้แต่ระบบก็ตามเขาไม่ทัน มันเงียบงันไปหลายวินาทีก่อนจะตอบว่า [โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ได้ถูกส่งไปเก็บในคลังเก็บของหลังบ้านของโฮสต์แล้ว]
“เข้าไปในคลังเก็บของ”
ทันทีที่หลินเยวียนพูดจบ ก็พบว่าเบื้องหน้าของตนปรากฏหน้าจอผู้ใช้หน้าตาเหมือนกระเป๋าไอเทมในเกม ในตารางแรกมีไฟล์เสียงซึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก
เพลง: ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์[1]
โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่คือเพลงเดียวเนี่ยนะ?
งั้นรบกวนช่วยลบคำว่า ‘ใหญ่’ ทิ้งไปเถอะ
ระหว่างที่หลินเยวียนลอบแดกดันอยู่ในใจ ก็เปิดเพลงฟังไปพลาง เพียงแค่ท่วงทำนองท่อนแรกดังขึ้น เขาก็มั่นใจว่านี่คือผลงานเพลงในความทรงจำของตน
ความจริงแล้ว
วินาทีที่เขาคลิกเปิดเพลงนี้ขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับเพลงนี้ในโลกเดิมก็พลันถั่งโถมสู่หัวใจ ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรเขาก็นึกทำนองและเนื้อเพลงของเพลงนี้ไม่ออก
หลินเยวียนพอจะเข้าใจแนวทางของระบบแล้ว
ค่าความโด่งดังที่ว่าอะไรนั่นก่อนหน้านี้ คงจะเป็นลูกเล่นตอนที่ตนปล่อยเพลงออกไป จากนั้นก็ได้รับการยอมรับมากพอทำนองนี้สินะ เมื่อชื่อเสียงแตะถึงระดับหนึ่ง ตนก็จะได้รับการรักษา ไม่ต้องรอให้ม่องเท่งไปก่อน…
เป็นเซ็ตติ้งที่ตื้นเขินจริงๆ
ระบบคล้ายกับว่าจะไม่สบอารมณ์กับคำแดกดันของหลินเยวียน รีบเสริมเซ็ตติ้งขึ้นมาในทันที [เมื่อโฮสต์ได้รับค่าความโด่งดัง ก็จะมีโอกาสจับรางวัล แนวโน้มที่จะได้รางวัลก็มีมากด้วย]
“อ้อ”
ปฏิกิริยาตอบสนองของหลินเยวียนแสนราบเรียบ
เขากำลังขบคิดเรื่องเพลงอยู่
เส้นเสียงของเขาพังไปแล้ว ถึงแม้เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นี้จะไม่จำเป็นต้องใช้พลังเสียงมากนัก แต่อ้างอิง
ตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว หลินเยวียนไม่ร้องเพลงเป็นดีที่สุด
แต่นั่นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของหลินเยวียน
เขาร้องเองไม่ได้ก็ให้คนอื่นร้อง
ขอเพียงได้ความโด่งดังก็พอแล้ว แม้ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนที่ร้องเพลงมักจะมีชื่อเสียงง่ายกว่า แต่หลินเยวียนก็ไม่ได้ชื่นชอบการมีชื่อเสียงสักเท่าไร ออกจะเกลียดซะด้วยซ้ำ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากโลกเดิม?
ถึงแม้ความทรงจำจากโลกเดิมของหลินเยวียนจะเลือนราง แต่เขาก็พอจะรู้สึกได้ว่าตนในโลกเดิมน่าจะสุดยอดมากทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจประสบความสำเร็จแล้วก็ได้
เพลงนี้น่าสนใจมาก
อย่างน้อยก็เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เจ้าของร่างเผชิญอยู่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินเยวียนก็นึกสงสัยขึ้นทันใด “ระบบ ฉันทะลุมิติมาที่โลกนี้ แล้วตัวฉันในโลกเดิมจะหายไปเลยไหม”
ระบบ [สับเปลี่ยนชีวิต]
ระบบเข้าใจสารบบความคิดของหลินเยวียนแล้ว ความสามารถในการเข้าใจของคนคนนี้มีสูงมาก อีกทั้งความสามารถในการยอมรับยังมีมากอีกด้วย ชอบความตรงไปตรงมา ไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะฉะนั้นระบบจึงเริ่มพูดอย่างรวบรัด
“สับเปลี่ยนชีวิตเหรอ”
แววตาของหลินเยวียนพลันสว่างวาบ ทันใดนั้นก็ฉายแววรอยยิ้มอ่อนโยน มีคนใช้ชีวิตต่อแทนเขา อันที่จริงก็ไม่ได้แย่เท่าไร
ยังไงซะตนเองก็โสดสนิท
บางทีอาจมีหลายเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง แต่เขาก็พอจะได้เค้าลางของความทรงจำบ้างแล้ว หลินเยวียนจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้
ไม่นับว่าดี และก็ไม่นับว่าเลวร้าย
อันที่จริงต่อให้ชีวิตจะแย่กว่านี้ ก็ยังดีกว่านับถอยหลังเวลาชีวิตละมั้ง ขอให้นายที่เป็นคนแปลกหน้ามีระบบเหมือนกัน ไม่ได้เป็นเพียงมวลผกาฤดูร้อนที่ชูช่อบานสะพรั่งเพียงครั้งเดียวอีก
อย่างน้อย พวกเราก็ยังมีตัวตนอยู่
…………………………………………………
[1] ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ (《生如夏花》) ขับร้องโดยผู่ซู่