ชั้นบนของชมรมจิตรกรรมเป็นออฟฟิศเดี่ยว
หลัวเวยเป็นประธานชมรมจิตรกรรม ไม่ได้มาที่ชมรมจิตรกรรมนานแล้ว เพราะในช่วงนี้ปัญหาเรื่องวิชาที่ไม่ผ่านนั้นหนักหนาสาหัส นึกไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งจะโผล่หน้ามาที่ชมรมก็ถูกนักศึกษาหลายคนมาออกันเพื่อรอร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว
“เก็บค่าเรียน?”
หลัวเวยรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ เลิกคิ้วเล็กน้อย “มีใครบ้าง”
นักศึกษาที่มาฟ้องนั้นมีท่าทีไม่พอใจ “จงอวี๋ หลี่เจีย แล้วก็จ้าวเหยียน พวกนี้ชอบไปเข้าร่วมการเรียนการสอนที่คิดเงินของหลินเยวียน ทำลายบรรยากาศของชมรมจิตรกรรม”
“มีมานานเท่าไหร่แล้ว”
“สิบกว่าวันล่ะมั้ง”
หลัวเวยแลดูราวกับกำลังใช้ความคิด “ถึงว่า…”
นักศึกษาที่มาฟ้องชะงักไป ประธานชมรมไม่ได้มีท่าทีตกใจเลย พานให้มีคนพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก
“ถึงว่าอะไรเหรอ”
หลัวเวยเหลือบมองคนที่เอ่ยขึ้น นิ้วเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ “ถึงว่าช่วงนี้ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของจงอวี๋กับหลี่เจียพัฒนาขึ้นเร็วมาก”
“อ๋า?”
“พวกเขาอยู่เซคเดียวกับฉัน พวกนายก็รู้ใช่มั้ย เมื่อวานมีสอบสเก็ตช์ จงอวี๋ได้ที่สี่ของเซค หลี่เจียได้ที่ห้าของเซค ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมอยู่ๆ ฝีมือพวกเขาถึงก้าวกระโดดขนาดนั้น ที่แท้ก็หาคนในชมรมมาติวให้เหรอเนี่ย ฝีมือของติวเตอร์คนนี้สูงกว่าที่คิดไว้แน่ๆ” หลัวเวยเอ่ยปาก
“อะไรนะ”
คนที่มาฟ้องก็ชะงักไป
ในตอนนั้นรองประธานชมรมเสิ่นเลี่ยงเดินเข้ามาพอดี
หลัวเวยมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “นายมาได้จังหวะพอดี ได้ยินว่าช่วงนี้ชมรมเรามีเทพการสเก็ตช์คนใหม่มา ติวให้แบบเก็บค่าเรียน?”
“ใช่”
เสิ่นเลี่ยงเหลือบมองคนที่มาฟ้อง “นี่มันไม่ได้ผิดกฎของชมรมเราซะหน่อย อีกอย่างฉันเองก็สำรวจมาแล้วว่าคนที่ผ่านการติวจากหลินเยวียนฝีมือพัฒนาเร็วมาก คนเขามีเงินจ่ายพัฒนาความสามารถของตัวเองก็เป็นเรื่องของเขา แถมผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้โดนหลอก”
“ฉันเข้าใจแล้ว พวกนายกลับไปเถอะ”
หลัวเวยมองไปยังคนที่มาฟ้องพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เอาใจไปอยู่กับงานศิลปะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีส่วนช่วยพัฒนาฝีมือพวกนายก็ได้ ยอดฝีมือด้านการสเก็ตช์ระดับนี้ไม่มีทางติวแบบเก็บเงินเพียงเพราะเงินหรอก หรือจะบอกว่าพวกนายรู้สึกว่าพวกจงอวี๋ไม่ฉลาดเท่าพวกนาย? พวกนี้มันฉลาดจะตาย ถ้าจ่ายเงินแล้วไม่ได้ผล คิดว่าเขาจะควักเงินจ่ายกันเหรอ”
“…”
บรรดาคนที่มาฟ้องต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็เดินออกไปอย่างห่อเหี่ยว
หลัวเวยมองตามหลังพวกเขา เอ่ยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “ดูท่าจะเป็นยอดฝีมือจริงๆ แฮะ สอนแค่ไม่นาน ก็ทำให้ฝีมือของเจ้าพวกนั้นก้าวกระโดดไปเร็วมาก คนเก่งระดับนี้ รอให้ฉันสอบซ่อมเสร็จก่อน แล้วจะไปหาเขาให้ได้”
“เก่งจริงๆ นั่นแหละ ฉันคิดว่าในชมรมเราคงไม่มีใครฝีมือการสเก็ตช์ภาพดีไปกว่าเขาแล้ว”
เสิ่นเลี่ยงกล่าวด้วยสีหน้าคล้อยตาม “ที่จริงตอนแรกฉันเองก็รู้สึกว่าวิธีการเก็บเงินไม่ดีเท่าไหร่ แต่พอเห็นคะแนนการสเก็ตช์ภาพของเจ้าพวกที่เรียนกับเขาเพิ่มขึ้นเร็วขนาดนั้น ฉันถึงได้เข้าใจว่าคนเขาอาจไม่ได้หน้าเงิน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้คนเรียนใช้โอกาสของตัวเองให้คุ้มค่าก็แค่นั้น…ว่าแต่ประธาน เธอสอบตกทุกปีขนาดนี้ จะโดนซ้ำมั้ยเนี่ย อีกหน่อยเธออยากเป็นรุ่นน้องฉันใช่มั้ยล่ะ”
“ไปให้พ้นเลย”
หลัวเวยกลอกตา
กระแสของการร้องทุกกล่าวโทษครั้งนี้จึงจบลงด้วยประการฉะนี้
ทว่าเรื่องที่บรรดาคนที่เรียนกับหลินเยวียน แล้วคะแนนการสเก็ตช์ดีขึ้นพรวดพราดนั้น กลับยิ่งแพร่สะพัดไปทั่วทั้งชมรมจิตรกรรม
เจ้าจงอวี๋นั่นก็อวดใบผลคะแนนการสเก็ตช์ภาพของตนเองกับคนในชมรมจิตรกรรมอย่างกระหยิ่มใจ คุยโวว่าฝีมือของตนเองดีขึ้น แถมยังตีฆ้องร้องป่าวไม่หยุดอีก
“ฉันเป็นลูกศิษย์คนแรกของท่านเทพ!”
ประเด็นถกเถียงกันเรื่องการเรียนการสอนที่เก็บค่าเรียนก็เงียบไป เพียงชั่วพริบตาหลินเยวียนกลายเป็นเนื้อหอมขึ้นมาในชมรมจิตรกรรม คนมากมายเริ่มแย่งกันเรียนกับหลินเยวียน
ทุกคนไม่ได้โง่งม!
พวกจงอวี๋พัฒนาเร็วเกินไปแล้ว!
นอกจากนั้นแล้วต่อให้เป็นคนโง่งม เมื่อเห็นการพัฒนาของพวกจงอวี๋ ก็น่าจะตระหนักได้ว่าการสอนแบบเก็บเงินของหลินเยวียนนั้นมีคุณภาพสูงแค่ไหน!
……
อันที่จริงความสามารถในการสอนของหลินเยวียนนั้นไม่จำเป็นต้องเหนือกว่าคณาจารย์ผู้มากประสบการณ์ในวิทยาลัยหรอก อาจารย์ในวิทยาลัยมีนักศึกษาที่ต้องสอนเต็มไปหมด แต่ละเซคมีนักศึกษาหลายสิบคน ไม่มีทางดูแลได้ทั่วถึง
หลินเยวียนนั้นต่างออกไป
เขามีฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ ด้วยความสามารถของเขา ถ้าให้สอนนักเรียนตัวต่อตัว ก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกัน
หลินเยวียนเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี
ฉะนั้นถึงแม้ว่าคนที่อยากเรียนกับหลินเยวียนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนมากมายแทบจะตีกันกันเพื่อให้ได้เรียนกับเขา แต่เขายังคงยืนหยัดในนโยบายการสอนตัวต่อตัว
แต่ละวันเขาจะสอนตัวต่อตัวแค่คนเดียว ทำแบบนี้จะได้พัฒนาฝีมือของผู้เรียนให้ถึงระดับที่ตั้งเป้าไว้
ทว่าเพื่อให้ธรณีประตูของตนไม่ถูกคนกลุ่มนี้ย่ำจนพังเสียก่อน หลินเยวียนจึงทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
เขาขึ้นราคา!
จากเดิมทีชั่วโมงละสองร้อยหยวน ในตอนนี้ราคาในการสอนตัวต่อตัวของหลินเยวียนเพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงละห้าร้อยหยวน
ถึงอย่างไรนักเรียนที่มีฐานะร่ำรวยก็ย่อมมีไม่มาก
ค่าเรียนของหลินเยวียนสูงขึ้นเป็นเท่าตัวในชั่วพริบตา และทำให้นักเรียนหลายคนล่าถอยไปดังคาด
แต่วันคืนหลังจากนั้นของหลินเยวียนก็ยังคงมีนักเรียนมาอย่างไม่ขาดสาย
ต่อให้เป็นชั่วโมงละห้าร้อยหยวน ก็ยังมีนักเรียนมากมายยินดีจองคิวมาเรียน
และเวลาที่ว่างจากการสอนตัวต่อตัว หลินเยวียนก็ยังวาดภาพอย่างเปิดเผย พลอยให้สมาชิกในชมรมซาบซึ้งใจเหลือเกิน
“เปิดคลาสเรียนสาธารณะให้พวกเราสินะ”
“ท่านเทพคอยดูแลนักเรียนที่ไม่มีเงินอย่างพวกเราด้วย”
“นั่นสิ แค่ท่านเทพวาดรูป พวกเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย”
“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีคนใส่ความท่านเทพด้วย ใจร้ายจริงๆ เลย โชคดีที่ทางประธานชมรมไม่ได้ว่าอะไร”
“…”
แม้ว่าหลินเยวียนจะเข้ามาในชมรมจิตรกรรมได้ไม่นาน แต่มีชื่อเสียงขึ้นมาในระดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ยามที่เขาวาดภาพต่อสาธารณะ ข้างกายของเขาจะมีชานมหรือกาแฟและพวกขนมนมเนยที่สมาชิกในชมรมส่งมาให้
หลินเยวียนเองก็ดีใจมาก
เพราะเขาพบว่าในเวลาว่างจากการสอนตัวต่อตัว ทุกครั้งที่เขาวาดรูปต่อสาธารณะ ค่าความโด่งดังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
นั่นทำให้ความคืบหน้าของภารกิจน่าพึงพอใจมาก
ตราบใดที่การวาดภาพอย่างเปิดเผยนี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็จะมีผู้คนรอบข้างยอมรับในการผลิตผลงานของเขา ค่าความโด่งดังหนึ่งพันที่ระบบต้องการนั้นต้องเสร็จสมบูรณ์อย่างแน่นอน
“เรียบร้อย”
หลังจากจบการวาดรูปสาธารณะแล้ว หลินเยวียนก็ลุกขึ้นออกมาท่ามกลางเสียงชื่นชมของเหล่าสมาชิกในชมรม เขาควรกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว
ตอนนี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว
หลินเยวียนยังไม่ลืมเรื่องที่ตนต้องเข้าร่วมการประกวดเรื่องสั้นในเซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่ว ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าคืนนี้จะส่งนิยายสั้นซึ่งตนทำเสร็จไว้แต่เนิ่นๆ ไปให้กองประกวด
จะคว้าอันดับหนึ่งได้ไหมยังบอกไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็มั่นใจว่าจะเข้าติดหนึ่งในสามอันดับแรก
เมื่อคิดเช่นนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเยวียนก็ส่งนิยายเรื่องที่ตนเลือกไว้ไปยังอีเมลซึ่งผู้ประสานงานของปู้ลั่วให้ไว้
ขณะเดียวกันนั้นเอง
เว่ยหลงหนึ่งในหัวหน้าบรรณาธิการของปู้ลั่วก็ได้รับแจ้งเตือนในอีเมล
“ต้นฉบับของฉู่ขวง?”
เว่ยหลงลุกขึ้นมาดู ความสนใจใคร่รู้ฉายแววบนใบหน้า และเรื่องที่ปรากฏแก่สายตาของเขานั้นมีชื่อว่า ‘วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ[1]’
……………………………………………….
[1] วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ (The Death of a Government Clerk) โดยอันตอน เชคอฟ (Anton Chekhov) แพทย์และนักเขียนชาวรัสเซีย