ช่วงสายของวันที่สองมีเรียนหนึ่งวิชา
เมื่อวิชาเรียนช่วงสายจบลง หลินเยวียนก็ตรงไปยังห้องเปียโน
เมื่อวานตระหนักได้ถึงข้อบกพร่องของตน เขาอยากพัฒนาฝีมือของตนเองสักหน่อย
ผลคือเมื่อถึงห้องเปียโน หลินเยวียนกลับพบว่าวันนี้ห้องเปียโนเต็มหมดแล้ว
นี่มันแปลกมาก
หลินเยวียนเพิ่งประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่ห้องเปียโนมีคนใช้เต็มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้สองสามครั้ง ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
ช่วยไม่ได้
ถ้าจะรอให้ห้องเปียโนว่างสักห้อง ก็ไม่รู้ว่าต้องต่อคิวอีกนานแค่ไหน หลินเยวียนตัดสินใจเดินออกมา
ทว่าทันทีที่หันหลังกลับไปนั้น กลับมีเสียงดังขึ้นมาข้างหู
“คุณอยากใช้เปียโนเหรอคะ”
หลินเยวียนหันหลังไปมอง เป็นกู้ซีที่มาขอโทษเขาเมื่อวานนี่เอง ในใจแอบพูดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
มิน่าล่ะ
เดิมทีห้องเปียโนไม่มีทางเต็มหรอก
แต่จากทุกครั้งหลินเยวียนเจอกับกู้ซีไป ก็มักจะเกิดแต่เรื่องไม่ดีขึ้น สถานการณ์แบบนี้กลายเป็นกฎตายตัวไปแล้ว!
ฉะนั้นการที่ห้องเปียโนเต็มในครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเขาพบกับอีกฝ่าย
“ไม่ใช้แล้วครับ”
ในเมื่อเจอหน้าอีกฝ่ายแล้วจะโชคร้าย หลินเยวียนย่อมอยากหลีกหนีทุกวิถีทาง
“ไม่เป็นไร คุณใช้ห้องเปียโนฉันได้นะ”
กู้ซีมองหลินเยวียน สีหน้าในตอนนั้นเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
นี่คือวิธีที่เธอเค้นสมองคิดมาแทบทั้งคืนกว่าจะคิดออก
หาคนมาใช้ห้องเปียโนให้เต็ม แบบนี้ตนจะได้เชิญหลินเยวียนมาซ้อมที่ห้องเปียโนของตนเองได้ไงล่ะ!
“ผมมีธุระ”
หลินเยวียนได้ยินดังนั้นก็รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นอย่างอดไม่ได้
กู้ซีมองหลินเยวียนเดินจากไปด้วยความตะลึงงัน อยากจะเข้าไปดึงอีกฝ่ายก็ไม่กล้า ชั่วขณะนั้นก็พลันหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ฉันล่วงเกินเขาแรงเกินไปจริงๆ สินะ
จะซ่อมแซมรอยร้าวนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย
“กู้ซี เธอเป็นอะไร”
ผู้หญิงสวมเสื้อกันหนาวสีขาวคนหนึ่งออกมาถามด้วยความเป็นห่วง ทั้งยังเหลือบมองไล่หลังหลินเยวียนไปด้วย
“ไม่มีอะไร”
กู้ซีเค้นรอยยิ้ม พูดว่า “ขอบคุณนะหัวหน้าห้องที่เรียกเพื่อนในคลาสมาที่ห้องเปียโนเยอะขนาดนี้ กว่าจะเรียกทุกคนมารวมกันได้คงยากน่าดูเลย”
“ฉันต้องขอบคุณเธอมากกว่า”
หัวหน้าห้องพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าพวกนี้น่ะ ปกติแล้วไม่ตั้งใจเรียนเท่าไหร่หรอก วางเปียโนไว้ตั้งเยอะแยะไม่มีประโยชน์ ทั้งที่ห้องเปียโนนี้วิทยาลัยมีไว้ให้นักศึกษาคณะดนตรีใช้ฝึกซ้อม ครั้งนี้ได้ยินว่าเธอจะช่วยติวให้ทุกคน ทุกคนก็ตอบตกลงจะมาซ้อมทันทีเลย เรียกมาโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิดเดียว”
“เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันก็จะทำตามสัญญา”
กู้ซีพูด “เริ่มจากห้องเปียโนห้องแรกทางซ้ายก็แล้วกัน”
เดิมทีก็เธอวางแผนว่าจะให้หลินเยวียนมาใช้ห้องเปียโนของเธอ เพื่อชดเชยความเสียใจที่ไล่หลินเยวียนออกจากห้องเปียโนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ส่วนตนเองก็สอนนักศึกษาซ้อมเปียโนในห้องอื่น
แต่หลินเยวียนกลับปฏิเสธตนทันควัน
ถึงแม้แผนการจะล้มเหลว แต่เพื่อนในชั้นเรียนก็ถูกเรียกมาแล้ว คำพูดที่บอกกับหัวหน้าห้อง พูดจริงก็ต้องทำจริง
จะปล่อยให้คนมาเสียเที่ยวไม่ได้
……
ผ่านไปสองชั่วโมง
กู้ซีสอนเพื่อนร่วมชั้นเรียนในทุกๆ ห้อง เมื่อการสอนในห้องเปียโนห้องสุดท้ายจบลง เธอก็รู้สึกว่าตนพูดจนคอแห้งแล้ว
เป็นครูนี่เหนื่อยจริงๆ
เธอโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท นัดอีกฝ่ายไปที่โรงอาหาร กินข้าวด้วยกันเล็กน้อย จะได้สงบจิตสงบใจสักหน่อย
“เมื่อวานเธอบอกว่ามีแผน”
เพื่อนสนิทเอ่ยถามทันทีที่พบกัน “สำเร็จมั้ย”
กู้ซีหน้านิ่วคิ้วขมวด “พังไม่เป็นท่าเลย”
เพื่อนสนิทหลุดหัวเราะ กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งปรี่เข้ามา “กู้ซี เธอกินมั้ย ฉันซื้อเครื่องดื่มมาให้เธอกับเพื่อน”
ผู้ชายคนนั้นพูดพลางหยิบน้ำส้มสองขวดวางลงบนโต๊ะ
“ขอบคุณ” กู้ซียิ้มตอบ
ผู้ชายชะงักไป คล้ายกับว่าสติหลุดลอยไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่เป็นไร” ขณะที่วิ่งออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
เพื่อนสนิทมองด้วยความประหลาดใจราวกับเพิ่งรู้จักกู้ซีเป็นครั้งแรก “เธอเกลียดพวกผู้ชายที่ทำดีหวังผลแบบนี้ที่สุดไม่ใช่เหรอ อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันเองก็คิดว่าพวกขี้ประจบพวกนี้น่าเบื่อชะมัด”
“ขี้ประจบอะไร”
กู้ซีขุ่นเคืองใจขึ้นมาประหนึ่งถูกเหยียบหาง “เป็นเพื่อนในวิทยาลัยก็ต้องญาติดีกันไว้ ไม่ใช่เรื่องปกติหรือไง”
“ฮะ?”
เพื่อนสนิทกล่าว “เมื่อก่อนเธอไม่ได้พูดว่ามีแต่พวกคนชอบอ่อยที่ชอบให้ความหวังคนอื่นอยู่เรื่อย มีแค่วิธีการปฏิเสธคนประเภทนี้ไปแรงๆ เท่านั้นถึงจะทำให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดที่ไม่มีทางเป็นจริงไปได้ไม่ใช่เหรอ”
“เธอไม่เข้าใจ”
กู้ซีพูด “แล้วถ้าชอบใครสักคนจริงๆ แล้วยินดีเข้าไปประจบ ยินดีทุ่มเทให้คนคนนั้น คิดหาทุกวิถีทางเพื่อเอาใจ แต่สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธ คงรู้สึกเศร้าน่าดูเลย”
……
หลินเยวียนเดินออกมาจากห้องเปียโน ก็พบว่าโชคดีของตนกลับมาแล้ว เจี่ยนอี้ถึงกับส่งข้อความมาบอกว่าจะเลี้ยงข้าว!
“โรงอาหารหมายเลขสอง”
หลินเยวียนมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมาย
ซย่าฝานเองก็มาถึงแล้ว ทันทีที่มาถึงก็ถามว่า “เงินเดือนนี้เหลือเยอะหรือไง ทำไมอยู่ๆ ก็อยากจะเลี้ยงข้าวขึ้นมาล่ะ”
“แหะๆ”
เจี่ยนอี้ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “เมื่อคืนตอนที่ฉันออกไป ใช้เงินที่เหลือติดตัวอยู่น้อยนิดซื้อล็อตเตอรี่ แล้วก็ถูกรางวัลแปดร้อยหยวน!”
“แม่เจ้าโว้ย”
ซย่าฝานตกใจ “ล็อตเตอรี่นี่ถูกได้จริงๆ เหรอ ฉันคิดมาตลอดเลยว่าเป็นแค่เกมหลอกเด็ก”
หลินเยวียนก็ถามขึ้นด้วยความอิจฉา “นายซื้อที่ร้านไหนเหรอ”
เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าอยากจะลองดูบ้าง
เจี่ยนอี้มองหลินเยวียนอย่างกระหยิ่มใจ “นายอย่าเลย โชคดีแบบนี้น่ะนะไม่ใช่ว่าใครก็มีได้”
“ก็ไม่แน่”
หลินเยวียนยื่นมือออกไปลูบเจี่ยนอี้
เจี่ยนอี้แปลกใจ “ทำอะไรของนายน่ะ”
หลินเยวียนไม่ตอบ มัวแต่ลูบเจี่ยนอี้ ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ พวกนายกินไปก่อนเลย”
พูดจบ หลินเยวียนก็วิ่งออกไป
เจี่ยนอี้กับซย่าฝานมองหน้ากัน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสับสน
เมื่อหลินเยวียนมาถึงห้องน้ำแล้ว ก็พูดกับระบบ “ฉันยังเหลือกล่องสมบัติอยู่อีกใบใช่มั้ย รีบเปิดเลย”
ระบบทำงานอย่างว่องไว กล่องสมบัติใบสุดท้ายก็เปิดออกทันใด “ยินดีด้วยคุณได้รับฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพ”
“จิตรกรรม?”
สีหน้าของหลินเยวียนนิ่งไป
ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นจิตรกรรมล่ะ
ไม่มีนิยาย ต่อให้ให้เพลงมาอีกก็ยังดี อย่างน้อยฉันก็ยังเอาไปใช้หาเงินได้ ทำไมอยู่ๆ ครั้งนี้ก็ดันให้จิตรกรรมมาล่ะ
“จิตรกรรมก็เป็นศิลปะ”
ระบบทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “อีกทั้งมูลค่าของจิตรกรรมระดับมืออาชีพก็สูงกว่านิยายเรื่องหนึ่งหรือเพลงเพลงหนึ่งด้วย หวังว่าโฮสต์จะแยกแยะความสำคัญได้นะ”
“…”
หลินเยวียนกลับไปยังโรงอาหารด้วยความหดหู่ และสิ่งที่ต่างจากก่อนออกมาก็คือ ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความรู้ด้านจิตรกรรมมากมาย ตั้งแต่การสเก็ตช์ไปจนถึงการใช้สีกวอช
เจี่ยนอี้กับซย่าฝานมองเขา “เป็นอะไรเหรอ”
หลินเยวียนส่ายหน้า เริ่มลงมือกินข้าว และปลอบตนเองอยู่ในใจ
ถึงตนจะยังใช้ฝีมือด้านจิตรกรรมระดับมืออาชีพไม่ได้ แต่เมื่อมองจากมุมมองในระยะยาวก็นับว่าดีมาก จะโทษว่าเจี่ยนอี้ไม่ได้เรื่องก็คงไม่ได้ ตนได้ความโชคดีของเจี่ยนอี้ติดมาแค่นิดเดียวจริงๆ
ถึงยังไงก็มีความสามารถทางศิลปะเพิ่มมาอีกหนึ่งด้าน
อีกทั้งอันที่จริงฝีมือด้านนี้ก็ใช้หาเงินได้เหมือนกัน
หรือว่าหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็หาสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน แล้วตั้งแผงสเก็ตช์ภาพให้นักศึกษาดี?
ค่าแรงถึงจะน้อย แต่เก็บรวบรวมไปก็มากขึ้นเอง
ไปสมัครเป็นครูสอนวิชาศิลปะก็ได้ แต่ว่าตนก็มีงานที่แผนกประพันธ์เพลง วันหยุดสุดสัปดาห์ก็อาจปลีกตัวมาไม่ได้ มิหนำซ้ำเงินที่ได้จากแผนกประพันธ์เพลงก็ยังมากกว่างานจิตรกรรมอย่างแน่นอน
หลินเยวียนถลำลึกสู่ห้วงความคิด
……………………………………………