หลายวันต่อมา ในช่วงเวลาว่างจากการเรียน หลินเยวียนก็เสาะหาช่องทางในการสะสมค่าความโด่งดังมาตลอด
อย่างแรกคือข้ามเรื่องนิทรรศการภาพวาดไปก่อน
จัดนิทรรศการภาพวาดต้องมีสปอนเซอร์ ศิลปินตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทั้งผลงานและชื่อเสียงอย่างหลินเยวียนไม่มีทางมีคนโง่เง่าที่ไหนมาสปอนเซอร์ให้หรอก
ส่วนเรื่องออกเงินเองน่ะเหรอ
ชั่วชีวิตนี้หลินเยวียนไม่มีทางจ่ายเงินจัดนิทรรศการภาพวาดเองแน่
อย่างที่สองหาคนมาพาไป ถ้ามีจิตรกรชื่อดังมาพาเข้าวงการก็จะลดความยุ่งยากไปได้มาก ทว่าหลินเยวียนไม่รู้จักจิตรกรแบบนี้เลย
นอกจากสองช่องทางนี้แล้ว วิธีการที่หลินเยวียนนึกออกก็คือ
เก็บค่าความโด่งดังจากนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก่อน
วิทยาลัยศิลปะฉินโจวใหญ่ซะขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจได้ค่าความโด่งดังมายืนพื้นไว้สักหนึ่งพัน ฉะนั้นดูก่อนดีกว่าว่าในวิทยาลัยมีที่ไหนที่สามารถเก็บค่าความโด่งดังได้บ้าง
หลังจากหลินเยวียนตรวจสอบดูแล้วก็พบว่า ในวิทยาลัยมีพวกชมรมจิตรกรรมอะไรทำนองนี้ด้วย
เมื่อเข้าชมรมจิตรกรรม อาจได้รับโอกาสกอบโกยค่าความโด่งดังก็เป็นได้ ถึงอย่างไรสิ่งที่สถานศึกษาอย่างวิทยาลัยศิลปะฉินโจวไม่เคยขาดแคลนก็คือกิจกรรมชมรมต่างๆ
ชมรมประเภทกีฬาก็จะมีชมรมบาสเกตบอล ชมรมฟุตบอล ไปจนถึงชมรมสตรีทแดนซ์เป็นต้น
ประเภทศิลปะก็มีชมรมเปียโน ชมรมจิตรกรรม ชมรมเขียนพู่กัน ชมรมโคลงกลอนเป็นต้น
ชมรมเหล่านี้มีขนาดใหญ่ เพราะวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเองก็เป็นสถานศึกษาด้านศิลปะ และมีสาขาที่เกี่ยวข้อง
แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็เป็นนักศึกษาคณะดนตรี และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคณะอื่น คนนอกคณะดนตรีเพียงคนเดียวที่คุ้นเคยก็คือเจี่ยนอี้ แถมยังเป็นนักศึกสาขาศิลปะการแสดง ไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้จิตรกรรมเทือกนี้เลย
ช่วยไม่ได้
เขาทำได้แค่ดุ่มเข้าไปหาถึงที่ ส่งใบสมัครชมรมในออฟฟิศชมรมจิตรกรรม
“มีพื้นฐานวาดรูปมั้ย”
ชมรมขนาดใหญ่ของวิทยาลัยจะได้รับการสนับสนุนจากทางวิทยาลัย มีออฟฟิศให้ใช้งานโดยเฉพาะ ปกติแล้วจะมีสมาชิกในชมรมประจำอยู่ รูปแบบก็คล้ายกับองค์การนักศึกษา
หลังจากหลินเยวียนอธิบายเหตุผลที่มาอย่างชัดเจน ก็ถูกถามขึ้นมาอย่างที่คาดไว้
“มีครับ”
หลินเยวียนตอบอย่างฉะฉาน
อีกฝ่ายอ่านข้อมูลของหลินเยวียนครู่หนึ่ง “นายเป็นนักศึกษาคณะดนตรีนี่นา ชมรมเราส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์…”
“จำกัดคณะเหรอครับ”
“ก็ไม่ได้จำกัดอะไรหรอก เพียงแต่ถ้านายไม่มีข้อได้เปรียบด้านความรู้เฉพาะทาง ชมรมนี้อาจไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่น่ะ ถึงยังไงในชมรมเราก็มีตัวท็อปสาขาจิตรกรรมอยู่เยอะเลย ปกติก็จะประสานงานกับข้างนอก จัดกิจกรรมพวกนิทรรศการผลงานของนักศึกษา งานพวกนี้จำกัดจำนวน นายแน่ใจใช่มั้ยว่าอยากเข้า”
นิทรรศการผลงาน
หลินเยวียนแววตาเป็นประกาย “ผมอยากเข้า”
อีกฝ่ายหัวเราะด้วยความพอใจ “งั้นนายก็กรอกแบบฟอร์มเถอะ ทางที่ดีกรอกเวลาเรียนของตัวเองลงไปด้วย พวกเราจะพิจารณาว่าจะเรียกนายไปร่วมกิจกรรมด้วยมั้ยจากเวลาของนาย”
เจตนาของเขาไม่ใช่โน้มน้าวให้หลินเยวียนล่าถอย!
ชมรมของวิทยาลัยอยากให้นักศึกษาเข้าร่วมเยอะๆ เพราะยิ่งจำนวนสมาชิกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหมายความว่าเป็นชมรมใหญ่ ทุกชมรมหวังให้ชมรมของตนเป็นชมรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวิทยาลัย ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีคนสมัครเข้าชมรมจิตรกรรม พวกเขาก็ทำได้เพียงอ้าแขนรับด้วยความยินดี
นอกจากนั้นเด็กใหม่ไม่มีทางตกใจกับคำพูดของตนหรอก!
เพราะเมื่อเด็กใหม่ส่วนมากได้ยินว่าชมรมมีนิทรรศการผลงาน ก็มักจะตื่นเต้นดีใจอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้เด็กใหม่บางคนไม่มีโอกาสส่งผลงานของตนไปจัดนิทรรศการเสียด้วยซ้ำ
กรอกข้อมูลสมัครเข้าชมรมเสร็จแล้ว
อีกฝ่ายประทับตราลงไปอย่างเร็วรี่โดยที่ไม่เหลือบมองแม้แต่น้อย คล้ายกลับว่ากลัวหลินเยวียนจะเปลี่ยนใจ “มี
เรื่องหนึ่งลืมบอกกับนายไป หลังจากที่เข้าชมรมแล้วก็อย่าลืมหาเวลามาร่วมกิจกรรมของชมรมให้มากหน่อยนะ ถ้าขาดกิจกรรมหลายครั้ง ชมรมเราก็จะตัดชื่อออก เพราะงั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้นักศึกษาบางคนแค่อยากเข้าชมรมเราเพราะความสนใจแค่ช่วงสั้นๆ ผ่านไปหน่อยก็บอกว่าชมรมเรายุ่งยากมากความ เลยมีหลายเรื่องที่พวกเราต้องพูดให้ชัดเจนเอาไว้ล่วงหน้า”
แล้วนี่มันเรียกว่าลืมบอกตรงไหนกัน
เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าหลินเยวียนฟังจบแล้วจะขวัญหนีดีฝ่อ ก็เลยให้หลินเยวียนกรอกใบสมัครก่อน จากนั้นค่อยแนะนำ
“ไม่มีปัญหาครับ”
วิชาเรียนของสาขาการประพันธ์เพลงไม่ได้หนัก เวลานอกเหนือจากการเรียนนั้นมีถมไป ฉะนั้นหลินเยวียนจึงรับปากไปอย่างสบายอารมณ์ จะว่าไปเรื่องอย่างการเข้าชมรมก็เหมือนจะง่ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้อีกแฮะ
……
หลังจากกรอกใบสมัครเสร็จ นักศึกษาคนที่ปั๊มตราประทับให้หลินเยวียนก็ลุกขึ้นยืน “มีเวลามั้ย ฉันจะพานายไปดูพื้นที่ทำกิจกรรมของชมรมเราสักหน่อยน่ะ”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนเดินตามอีกฝ่ายไป ไม่นานก็มาถึงหน้าอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง “อาคารนี้มีอยู่หลายชมรม ชมรมจิตรกรรมเราอยู่ชั้นหนึ่ง”
เมื่อเดินเข้าไปในอาคาร
หลินเยวียนถึงได้พบว่าพื้นที่กิจกรรมของชมรมจิตรกรรมเป็นถึงห้องเรียนขนาดใหญ่สองสามร้อยตารางเมตรได้ ยามนี้ในห้องเรียนมีสมาชิกในชมรมจำนวนไม่น้อยกำลังถือกระดานวาดภาพ บางคนวาดภาพสเก็ตช์ บางคนวาดภาพสีน้ำ บางคนวาดภาพสีน้ำมัน แล้วก็มีบางคนที่กำลังสร้างสรรค์ภาพเขียนหมึกโบราณอยู่ อากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของสี
“เด็กใหม่?”
ผู้รับผิดชอบคนหนึ่งในชมรมได้รับเอกสารของหลินเยวียน จึงมองมาที่เขา “นักศึกษาปีสองสาขาการประพันธ์เพลง ทำไมนายไม่มาตั้งแต่ปีหนึ่งล่ะ”
นักศึกษาส่วนใหญ่เริ่มเข้าร่วมชมรมกันตอนปีหนึ่ง
หลินเยวียน “ตอนปีหนึ่งผมยังวาดภาพไม่ได้”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว มั่นใจว่าหลินเยวียนเป็นเด็กใหม่แกะกล่องอย่างแน่นอน “ไม่ได้เอาอุปกรณ์วาดภาพมาด้วย งั้นนายก็ปัดกวาดห้องวาดภาพไปก่อนแล้วกัน ทำความสะอาดฝั่งขวาก็ได้ อุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ที่ห้องน้ำข้างๆ”
“อืม”
หลินเยวียนทำตาม
คนที่พาหลินเยวียนมาผุดยิ้ม เด็กใหม่มักจะถูกมอบหมายให้ไปทำความสะอาดกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ชมรมจิตรกรรมที่เป็นแบบนี้ ชมรมอื่นๆ ก็คล้ายคลึงกัน
หลินเยวียนเริ่มก้มหน้าก้มตาลงมือทำความสะอาด
แม้จะบอกว่าให้ทำความสะอาดแค่ฝั่งขวา แต่พื้นที่ก็ยังกว้างมาก บนพื้นมีแต่เศษยางลบ หนำซ้ำยังมีขาตั้งสำหรับวาดรูปวางเกลื่อนไปหมด จึงเป็นงานที่หนักพอตัวสำหรับหลินเยวียน
……
จงอวี๋กำลังสเก็ตช์ภาพคนตามแบบอยู่ ในตอนนั้นกำลังเจอกับความยากลำบาก เกาหูเกาหัวอย่างงุ่นง่าน ทันใดนั้นข้างหูก็มีเสียงดังขึ้น “รบกวนช่วยยกเท้าขึ้นหน่อย”
“ไปกวาดตรงอื่นก่อน”
จงอวี๋เอ่ยปากโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“แป๊บเดียวครับ” หลินเยวียนมองเศษยางลบใต้เท้าของอีกฝ่าย ถ้าปล่อยตรงนี้ไว้ไม่ยอมกวาด คนที่ย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรงอย่างเขาคงทนไม่ไหวหรอก
“เฮ้อ”
จงอวี๋ชักจะทนไม่ไหว เหลือบมองหลินเยวียน พูดด้วยน้ำเสียงไม่ญาติดีนัก “หน้าไม่คุ้นเลย เด็กใหม่ในชมรมเหรอ”
“ครับ”
“ปีไหนอะ”
“ปีนี้ปีสอง”
“วันนี้รุ่นพี่ปีสามจะสอนนายให้รู้จักขอบเขต เวลาชมรมจิตรกรรมของพวกเราทำความสะอาด จะต้องเงียบๆ ไม่ไปรบกวนการสร้างสรรค์ผลงานของรุ่นพี่”
“คุณลอกตามแบบอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
หลินเยวียนสงสัย ลอกตามแบบไม่ใช่การสร้างสรรค์ผลงานซะหน่อย
จงอวี๋ไม่สบอารมณ์ วางมือจากภาพวาด จ้องมองหลินเยวียนพลางเอ่ยด้วยความโมโห “เฮ้ย จะให้เอาดินสอให้นาย แล้วนายมาวาดมั้ยล่ะ”
“ก็ได้”
หลินเยวียนพูด “วาดเสร็จคุณช่วยยกเท้าขึ้นด้วยนะครับ”
จงอวี๋ “…”
รุ่นน้องคนนี้จริงจังเหรอเนี่ย ฟังไม่ออกเหรอว่าฉันโกรธ
หลินเยวียนกลับไม่ได้คิดมาก เพราะเขากำลังรีบร้อนกวาดพื้นที่ที่เหลืออยู่ ฉะนั้นจึงหยิบดินสอด้านข้างขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ เป็นภาพ
รุ่นพี่คนนี้ร่างโครงภาพไว้แล้ว
ถึงแม้ว่าโครงภาพที่อีกฝ่ายร่างจะไม่ได้ดีมากก็เถอะ
จากนั้นเป็นการลงรายละเอียด
‘ดวงตาไม่ได้สัดส่วน…เส้นผมหนาเกินไป…ส่วนเงาที่จมูกเข้มเกินไป…’
หลินเยวียนมองผลงานซึ่งรุ่นพี่ทำไว้ครึ่งๆ กลางๆ ในสมองแทบจะมีแต่จุดบกพร่อง ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะมองไม่ออก แต่จุดบกพร่องเหล่านี้กลับเด่นชัดขึ้นมาไม่รู้กี่เท่าเมื่ออยู่ในสายตาของหลินเยวียน
เขาหยิบยางลบออกมา ลบทิ้งออกไปสองในสามส่วน ก็ยังรู้สึกว่าใช้ไม่ได้ จึงลบส่วนที่ลบได้ไปซะให้หมดเลย
จงอวี๋ห้ามไว้ไม่ทัน จ้องมองหลินเยวียนลบผลงานซึ่งตนใช้เวลาวาดไปหนึ่งชั่วโมงต่อหน้าต่อตา
“นาย…”
หลินเยวียนไม่ได้สนใจเขา โน้มตัวเข้าไป มือเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว แก้ไขจุดบกพร่องมากมายของรุ่นพี่ และแทนที่ด้วยเส้นที่คมกว่า
เมื่อเทียบกับภาพสเก็ตซ์จากความคิด ความเร็วของภาพวาดลอกแบบแผ่นนี้ของหลินเยวียนนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัวมาก
ผ่านไปสิบนาที หลินเยวียนเหยียดหลัง เหลือบมองผลงานซึ่งแทบจะเหมือนกับต้นฉบับทุกกระเบียดนิ้ว กล่าว “ตอนนี้ยกเท้าขึ้นได้แล้วใช่มั้ยครับ”
“หา?”
จงอวี๋มองภาพวาดของตนซึ่งหลินเยวียนปรับแก้ตามอำเภอใจ แววตาแปรเปลี่ยนจากความเดือดดาลเป็นความสับสน ก่อนจะตะลึงงันไปสิบนาทีพอดิบพอดี
มิหนำซ้ำภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบนาที
เห็นกับตาว่าหลินเยวียนแก้ไขภาพวาดของตนถึงระดับที่ไม่กล้ายอมรับ หัวใจดวงไม่เล็กของจงอวี๋ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!
…………………………………………………