เมื่อต่อสายติด หลินเยวียนพูด “ตอนนี้พี่มีเวลามั้ยครับ”
จงอวี๋หนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างหูกับไหล่ “ฉันกินข้าวอยู่ที่โรงอาหาร ท่านเทพมีเรื่องอะไรบัญชามาได้”
หลินเยวียนพูด “กินข้าวเสร็จ รบกวนพี่ช่วยหยิบอุปกรณ์สีกวอชมาที่ห้องห้าสิบสอง อาคารตะวันออกหน่อยนะครับ”
“ไปทำอะไร”
“ทำหนังสือพิมพ์กระดานดำ”
จงอวี๋ชะงักไป ก่อนจะตอบทันควัน “ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบ จงอวี๋ก็วางมือจากข้าว ลุกพรวดขึ้นมา “พวกนายไปกับฉันเร็ว”
“ฮะ?”
ข้างๆ จงอวี๋มีเพื่อนอยู่อีกไม่น้อย ต่างก็เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
จงอวี๋บอก “ทางท่านเทพเหมือนจะอยากทำหนังสือพิมพ์กระดานดำน่ะ”
ทุกคนล้วนแต่อึ้งงันไปชั่วขณะ “ท่านเทพอยู่กลุ่มปีสองสินะ หนังสือพิมพ์กระดานดำของกลุ่มปีสองตัดสินช่วงบ่ายแล้วนะ เวลากระชั้นเกินไปหรือเปล่า”
จงอวี๋พูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “แล้วยังจะกินอยู่ทำไมล่ะค้าบ”
ทุกคนพลันได้สติ หลุดหัวเราะออกมา “นั่นสิ พวกเราเด็กอาร์ตมารวมกลุ่มกันแบบนี้ หนังสือพิมพ์กระดานดำจะไปคณามือได้ไง ท่านเทพเตรียมจะทำหนังสือพิมพ์กระดานดำด้วยสีกวอชเหรอ”
“อื้ม เก็บของเร็ว”
จงอวี๋ขยับตัว พลางส่งข้อความเข้ากลุ่ม ‘คลาสของท่านเทพจะทำหนังสือพิมพ์กระดานดำ คนที่เก่งสีกวอชไปที่สาขาประพันธ์เพลงกันหน่อย ห้องห้าสิบสอง อาคารตะวันออก’
พรึ่บๆๆ
ปฏิกิริยาตอบรับในกลุ่มแสนคึกคัก
‘รอแป๊บ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!’
‘ท่านเทพขอมา จะไม่ไปได้ยังไงล่ะ’
‘ท่านเทพจะออกหนังสือพิมพ์กระดานดำ ยังต้องใช้ไก่อ่อนอย่างพวกเราด้วยเหรอ’
‘แกจะงงอะไร ท่านเทพเชี่ยวชาญการสเก็ตช์ ไม่ใช่สีกวอช สองอย่างนี้มันคนละทางกันเลย’
สีกวอชคือสีกวอช
สเก็ตช์คือสเก็ตช์
วาดสีกวอชเป็นอย่างไร วาดสเก็ตช์ได้ดีหรือไม่ นั้นเป็นคนละเรื่องกัน จิตรกรรมสองประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
‘จริง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ท่านเทพต้องการพวกเรา’
‘ถึงเวลาแสดงให้ท่านเทพเห็นฝีมือการวาดสีกวอชของฉันแล้วว้อย ฉันจะใช้สกิลสีกวอชมากอบกู้ภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีที่หายไปต่อหน้าท่านเทพตอนเรียนสเก็ตช์’
‘พวกแกใจเย็นก่อนนนน หนังสือพิมพ์กระดานดำไม่ได้ใช้คนเยอะขนาดนั้น’
‘ก็ได้ งั้นก็ไปน้อยหน่อย ให้พวกที่คะแนนสีกวอชดีที่สุดในคลาสไปแล้วกัน’
‘ยังเหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนตัดสินหนังสือพิมพ์กระดานดำ เจ็ดแปดคนก็พอแล้ว’
‘…’
ในกลุ่มนั้นแสนคึกคักอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะชื่อของกลุ่มนี้ ก็คือตัวอักษร ‘L’
คนที่เหลือในโรงอาหารไม่กินข้าวกันแล้ว ต่างคนต่างตามจงอวี๋ไป พวกเขาก็เป็นนักเรียนการสเก็ตช์ภาพของหลินเยวียนเหมือนกัน
“นายเรียกใครมาเหรอ”
ในห้องเรียนของสาขาการประพันธ์เพลง เฉาปินมองหลินเยวียนโทรศัพท์อย่างอึ้งงัน
หลินเยวียนตอบ “เพื่อนสาขาจิตรกรรม”
“อยู่ปีไหน”
“ปีสาม”
เฉาปินอ้าปากค้าง ชั่วขณะนั้นก็พลันดีอกดีใจขึ้นมา “ใช่แล้วละ ถ้าถามว่าใครที่จะทำข่าวหนังสือพิมพ์ได้ในเวลาที่สั้นขนาดนี้ ก็มีแค่คนสาขาจิตรกรรมแล้วสินะ แถมยังเป็นรุ่นพี่ปีสามที่มีประสบการณ์อีก! นายเรียกคนมาเยอะๆ เลยนะ พวกเรายังมีความหวังอยู่!”
หลินเยวียนบอก “ฉันเรียกมาคนแค่คนเดียว”
เฉาปินกระวนกระวายขึ้นมาทันที “คนเดียวจะไปพอที่ไหนล่ะ ต้องเรียกมาอีกหน่อยสิ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทันเวลา
นายโทรไปใหม่ได้มั้ย ให้เพื่อนนายขอร้องพวกรุ่นพี่สาขาจิตรกรรม ถึงยังไงกระดานดำก็ใหญ่ซะขนาดนี้ แถมนายอาจไม่รู้เรื่องความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ เมื่อเทอมที่แล้วเหยียนเมิ่งเจียดร็อปเรียนไปเพราะปัญหาสุขภาพ หน่วยกิตเลยไม่ค่อยพอ ตอนนี้เธอเป็นกำลังหลักของหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งนี้ ถ้าหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งนี้ทำผลงานได้ดี เธอก็จะได้หน่วยกิตเป็นรางวัล นายก็รู้กฎของวิทยาลัยเรา หน่วยกิตไม่พอไม่ยอมให้จบแน่ หนังสือพิมพ์กระดานดำเกิดปัญหาในครั้งนี้ที่จริงแล้วทำให้เหยียนเมิ่งเจียเสียใจมาก แต่เธอก็ไม่ได้โทษเพื่อนคนที่เป็นเวรเมื่อวานหรอก…”
เฉาปินยิ่งพูดยิ่งกระวนกระวานใจ
เขาเป็นหัวหน้าห้องที่ดีจริงๆ
ทว่าขณะกำลังพูดอยู่นั้น เสียงของเฉาปินก็หยุดลงฉับพลัน มองไปทางหน้าต่างอย่างอึ้งงัน
ทันใดนั้นที่ระเบียงทางเดินก็ปรากฏกลุ่มคนมืดฟ้ามัวดิน พวกเขากรูกันเข้ามาทางประตูใหญ่ของห้องเรียน เป็นเพราะจำนวนคนเกินกว่าที่คาดไว้สักหน่อย ท้ายที่สุดแล้วประตูหน้าห้องจึงดูเบียดเสียดขึ้นมาถนัดตา
“แบบนี้นายเรียกว่าคนเดียวเหรอ”
เฉาปินเหลือบมองหลินเยวียนด้วยความสับสน
หลินเยวียนเองก็ประหลาดใจ หัวโจกคือจงอวี๋ ทว่ากลุ่มคนด้านหลังของจงอวี๋คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นนักศึกษาชมรมจิตรกรรมที่หลินเยวียนเคยสอน
จงอวี๋ยิ้มแย้ม “ท่านเทพ”
หลินเยวียนพยักหน้า ไม่พูดให้มากความ “เวลากระชั้นมาก รบกวนพี่ช่วยจัดสีให้ผมหน่อยครับ”
ในตอนนั้นจงอวี๋กำลังคิดโครงภาพของหนังสือพิมพ์กระดานดำ จนไม่ทันได้ฟังคำพูดของหลินเยวียนให้ชัดเจน
รีบพูดขึ้นมาว่า “เวลากระชั้นมาก ใครก็ได้มาเตรียมสีที อีกอย่างอย่าลืมรองน้ำมาหน่อยด้วย แต่ละฝ่ายเร่งมือหน่อย…”
ระหว่างที่พูด
จงอวี๋ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาภาพจากอินเทอร์เน็ต อันที่จริงหนังสือพิมพ์กระดานดำจัดอยู่ในศิลปะประเภทคัดลอกภาพ ตราบใดที่หารูปต้นฉบับออกมาได้ดีก็ใช้ได้แล้ว
ผ่านไปไม่กี่นาที
จงอวี๋ก็หาภาพที่ค่อนข้างถูกใจได้ภาพหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเขาหันหลังไป กลับพบว่าทุกคนยืนอึ้งจ้องมองไปยังกระดานดำ ประหนึ่งนิ่งค้างไปแล้ว
“เป็นอะไรกัน”
จงอวี๋จึงมองไปยังกระดานดำบ้าง จากนั้นเขาก็เห็นภาพอันน่าตกตะลึงอย่างสุดแสน
เพียงแค่เห็นหลินเยวียนกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ซึ่งจัดวางอย่างมั่นคง หยิบแปรงขนาดใหญ่ออกมา ทาสีพื้นลงไปหนึ่งชั้นด้วยความเร็วสูง แม้แต่ขั้นตอนการสเก็ตช์โครงภาพด้วยชอล์กก็ถูกข้ามไปเลย จากนั้นก็ใช้พู่กันขนาดใหญ่ตวัดวาดโครง ร่างของทิวเขาทอดยาวสีเทาแกมเขียวเส้นคมชวนมองอย่างรวดเร็ว!
นักศึกษาทั้งสองคนรับผิดชอบถือจานสี
หลินเยวียนเปลี่ยนเป็นพู่กันที่หนาขึ้น ราวกับไม่จำเป็นต้องขบคิด ตวัดพู่กันจากนั้นก็จุ่มสีอีกหลายสี ผสมสีออกมาอย่างแม่นยำ สีชั้นแล้วชั้นเล่าถูกระบายลงไป ก็ถ่ายทอดรายละเอียดของทิวเขาออกมาได้อย่างแจ่มชัด!
สามนาที…
เจ็ดนาที…
สิบห้านาที…
สามสิบสองนาที…
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา ทุกคนล้วนมองดูหลินเยวียนแต่งแต้มสีสันลงบนกระดานดำ ในยามนี้กลุ่มคนที่เชี่ยวชาญสีกวอชในคณะวิจิตรศิลป์ทำได้เพียงอยู่ในฐานะตัวละครซึ่งถือจานสีให้หลินเยวียน กระนั้นแล้วก็ไม่มีใครไม่พอใจ สายตาของพวกเขาแลดูราวกับมีแสงประกาย!
“พรึ่บๆๆ”
หลินเยวียนใช้ความเร็วสูงสุดวาดภาพที่หยาบที่สุด เขาประหนึ่งว่าสามารถท่องจำได้ว่าสีใดสามารถผสมออกมาได้เป็นสีใด เขาคล้ายกับว่าจะไม่สนใจโครงร่างชั้นล่าง ทุกการจรดพู่กันนั้นแม่นยำราวกับว่าได้วาดโครงภาพไว้ชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว
“ตึ้ง”
มีคนเปลี่ยนจานสี นักศึกษาที่ถือจานสีก็เปลี่ยนกันอีกสองคน ถึงอย่างไรการยกจานสีไว้สูงๆ แบบนี้ก็เมื่อยมากทีเดียว
หลินเยวียนสมาธิแน่วแน่
เมื่อกำหนดโทนสีแล้ว ขนาดของพู่กันที่ใช้ก็เล็กลงเรื่อยๆ ในทะเลมีแพไม้ไผ่ บนแพไม้ไผ่มีคนสวมหมวกฟางสาน ด้วยความแตกต่างระหว่างความเข้มและสว่างของแสง ภาพนี้คล้ายกับว่ามีไดนามิกขึ้นมา
ทิวเขาเขียวชอุ่ม!
น้ำตกเร่งเร็ว!
กระแสน้ำเชี่ยวกราก!
ดิ่งลงรุนแรง!
เวหาสูงเมฆาล้ำ!
การแสดงฝีมือของของหลินเยวียนอลังการงานสร้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในวงแขนของเขามีพู่กันสามด้าม ปากคาบพู่กันหนึ่งด้าม มือซ้ายขวายังถือพู่กันอีกหนึ่งด้าม ใช้เสร็จด้ามหนึ่งก็โยนทิ้งไป นอกจากผสมสีแล้ว สายตาของเขาแทบไม่ได้ละไปจากกระดานดำเลย
ริมฝั่งมีสิ่งก่อสร้างไร้นาม
ในน้ำมีปลาไม่ทราบสายพันธุ์แหวกว่าย
บนหาดทรายมีปูเดินไปมา
บนเส้นขอบฟ้ามีเรือใบสีขาวแล่นฉิวตามแรงลม
เมื่อพู่กันขนาดเล็กตัดเส้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนรู้สึกว่าทั้งคอและมือล้วนเมื่อยขบ ทั้งร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนล้า
และบนกระดานดำ
ขุนเขาและท้องทะเลเชื่อมโยงถึงกันแล้ว ต้นสนเร้นในเมฆหมอกกลางเชิงเขา ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงส่องรัศมี หมู่นกนางนวลและสายธารแห่งสารทฤดูหลอมรวมเป็นสีเดียวกับท้องนภา
จรดพู่กันสะท้านปฐพี!
ในตอนนั้น นักศึกษาที่รับผิดชอบการผสมสีให้หลินเยวียน รับผิดชอบการถือจานสีให้หลินเยวียน รับผิดชอบการรองน้ำให้หลินเยวียน และรับผิดชอบการล้างจานสีให้หลินเยวียน ก็เกิดความรู้สึกสองอย่างกำลังโรมรันพันตูกันอยู่ในใจ
เป็นเกียรติ และน้อยใจ
…………………………………………………..