เว่ยหลงสูดลมหายใจเข้าลึก อ่านทวนเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง
อ่านจบรอบที่สอง
สีหน้าของเว่ยหลงซับซ้อนขึ้นมา ปากพึมพำว่า
“อัจฉริยะ”
ตนประเมินฉู่ขวงต่ำไปจริงๆ
นี่มันไม่ใช่นิยายขนาดมินิที่ทำให้คนอ่านแล้วกลั้นขำไว้ไม่อยู่
ในทุกคำของฉู่ขวงดูคล้ายกับว่าจะสอดแทรกอารมณ์ขันชวนผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนขั้นสุด
เสียดสี!
คนผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่โดยไม่ตั้งใจ ต่อให้ผู้ใหญ่จะแสดงออกว่าเข้าอกเข้าใจ ผู้น้อยกลับยากที่จะหลีกหนีความรู้สึกหวั่นผวาและตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา เพราะผู้ใหญ่มีความสามารถเช่นนี้ ก็ย่อมลิขิตชะตาชีวิตของผู้น้อยรอบตัวได้อย่างง่ายดาย
นี่คือความทุกข์ตรมของคนที่อยู่ในสถานะผู้น้อย
ฉู่ขวงไม่ได้บรรยายฉากของเรื่องไว้แน่ชัด
แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ว่าเป็นยุคสมัยซึ่งนายพลสามารถควบคุมความเป็นความตายของข้าราชการชั้นผู้น้อยได้ เขาสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อตำหนิการกดขี่ชนชั้นล่างของระบอบเผด็จการศักดินาในยุคสมัยนั้น…
อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจแบบนี้ผิวเผินมาก
เมื่ออ่านจบอย่างละเอียดก็ใคร่ครวญอีกครั้ง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแค่ในอดีตซะที่ไหนกันล่ะ ยุคปัจจุบันที่พวกเราอยู่ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
คนที่มีตำแหน่งต่ำกว่ามักจะเกิดความคิดหวาดระแวงผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า จากนั้นก็จะทึกทักไปว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง เพียงแค่ถูกหัวหน้าจ้องมอง พนักงานก็จะเริ่มใคร่ครวญด้วยความอึดอัดใจแล้วว่าตนทำอะไรผิดไปกันแน่
ถ้าเกิดมีคนไม่ทันระวัง ไปล่วงเกินหัวหน้าเข้า ในสมองก็คงจะอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวว่า ‘ต้องโดนลงโทษแน่ๆ’
ก็เหมือนกับครั้งก่อนที่เว่ยหลงเห็นในหนังสือพิมพ์
เป็นแค่หัวหน้าในบริษัทขายสินค้าแห่งหนึ่ง แต่ถึงขั้นที่สามารถทำให้พนักงานลงไปคลานกับพื้น ใช้วิธีลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการลงโทษพนักงานที่ทำผลงานได้ไม่ถึงเป้า…
เว่ยหลงรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะ
สิ่งที่ทำให้เขางุนงงยิ่งกว่าก็คือ พนักงานเหล่านั้นไม่ได้ต่อต้านด้วยซ้ำ แต่กลับทำตามอย่างว่าง่าย นี่ก็เหมือนกับการที่นายพลชี้เป็นชี้ตายเสมียนได้ไม่ใช่หรือ
ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีวันถูกถอนรากถอนโคนไปจากโลกนี้
ดังนั้นถึงได้มี ‘เสมียนรัฐ’ มากมายที่จบชีวิตลง
เมื่อคาดเดาความคิดของผู้ใหญ่ได้ ก็จะได้รับการชื่นชมจากคนเหล่านั้น ทว่าหากเข้าใจเจตนาผิดขึ้นมา อนาคตก็อาจตกอยู่ในภาวะลำบากแล้ว
มีหลายครั้งที่เหล่าเสมียนก็สวมพันธนาการแห่งความเป็นทาสให้ตนเอง
ทำไมตนถึงรู้สึกว่าน่าขัน
ทำไมตนถึงไม่รู้สึกว่าเรื่องราวนั้นเกินจริง
ก็เพราะสถานการณ์พรรค์นี้ พบเห็นได้จนชินตาในยุคปัจจุบันอย่างไรล่ะ
เจตนารมณ์ของฉู่ขวงนั้นสูงส่ง
นิยายสั้นเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการหยิบยืมอดีตมาเสียดสีปัจจุบัน!
บริภาษปรากฏการณ์ทางสังคมปัจจุบันผ่านหนึ่งพันกว่าตัวอักษรสั้นๆ ถ่ายทอดความคิดของตน นี่เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานที่ล้ำเลิศมาก
นี่คือศิลปะในการเสียดสี!
ยากที่จะจินตนาการว่า ขณะที่เรื่องสั้นซึ่งเข้าประกวดจำนวนมากยังคงมุ่งเน้นเนื้อเรื่องและอรรถรส
ฉู่ขวงได้เริ่มมุ่งเน้นการแสดงออกถึงความคิดของตนผ่านตัวอักษร นี่คือเหตุผลที่เว่ยหลงรู้สึกตกใจ…
แต่ถึงอย่างนั้นนักอ่านจะชอบด้วยหรือเปล่า
เว่ยหลงคาดเดาไม่ค่อยได้ ถึงอย่างไรรสนิยมในการเสพสุนทรีย์ของแต่ละคนก็ต่างกัน เจตจำนงของเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐอาจอยู่ในขั้นสูงที่สุดในบรรดานิยายทั้งหมด ทว่าเจตจำนงไม่ใช่ทั้งหมดของนิยาย
“คิดเยอะขนาดนั้นไปทำไมนะ” เว่ยหลงหัวเราะเบาๆ
ไม่ว่าผู้อ่านจะชอบหรือไม่ การคัดเลือกผลงานในครั้งนี้ จะขาดเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐไปไม่ได้ เว่ยหลงคิดว่าการมีอยู่ของเรื่องนี้ได้ยกระดับความยอดเยี่ยมของการแข่งขันในครั้งนี้ไปแล้ว
……
ช่วงเวลาหลังจากนั้น หลินเยวียนก็จะไปที่ชมรมจิตรกรรมทุกวัน
ตนสเก็ตช์ภาพ และสอนคนอื่นสเก็ตช์ภาพ ได้ทั้งเงินทั้งชื่อเสียง
นั่นทำให้หลินเยวียนมีรายรับอย่างน้อยหนึ่งพันหยวนต่อวัน รวมกันแล้วมากกว่าเงินเดือนที่ได้จากแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ซะอีก เป็นช่องทางใหม่เอี่ยมในการหาเงิน!
ในขณะเดียวกัน
นักศึกษาที่ผ่านการติวตัวต่อตัวกับหลินเยวียน และฝีมือการสเก็ตช์ภาพรุดหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องราวแพร่สะพัดไปถึงระดับนี้ จนแม้แต่อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวก็ยังรู้เรื่องที่มีขั้นเทพคนหนึ่งในชมรมจิตรกรรมเปิดสอนการสเก็ตช์ภาพ
จะไม่สังเกตเห็นก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง
วันดีคืนดี อยู่ๆ ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของนักศึกษาบางคนในคลาสก็ก้าวกระโดดขึ้นมา
อย่างกับเป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติไม่มีผิดเพี้ยน
มีอาจารย์บางคนไปสืบความจากนักศึกษา ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วในชมรมจิตรกรรมมีเทพแห่งการสเก็ตช์ภาพซึ่งรับติวโดยเก็บค่าเรียนคนหนึ่ง และที่ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของเหล่านักศึกษาดีขึ้น ก็ล้วนเป็นเพราะความดีความชอบของเทพคนนี้นี่เอง
เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ คณาจารย์ต่างก็งงงันไปตามกัน
โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าขั้นเทพคนนี้เป็นเพียงนักศึกษาปีสองสาขาการประพันธ์เพลง
แต่ว่าอาจารย์ก็ย่อมไม่เข้าไปขัดขวางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
ฝีมือการสเก็ตช์ภาพของนักศึกษาที่พัฒนาขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี การจ่ายเงินเรียนนั้นไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือจ่ายเงินไปแล้วแต่ไม่เห็นผล
ด้วยความสามารถในการสอนขั้นเทพด้านการสเก็ตช์ภาพที่สำแดงออกมา เห็นได้ชัดว่านักศึกษาที่จ่ายเงินเหล่านี้ได้กำไรเต็มๆ!
ถึงขั้นที่มีอาจารย์บางคนยังแนะนำให้นักศึกษาที่ผลคะแนนการสเก็ตช์ภาพไม่ดีไปชมรมจิตรกรรม เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนศิลปะกับท่านเทพ
เมื่อเป็นเช่นนี้
นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ซึ่งมาสมัครเข้าชมรมจิตรกรรมในช่วงนี้จึงเยอะขึ้นมากทีเดียว เมื่อถามเหตุผล ต่างก็ตอบว่ามาเพราะเทพการสเก็ตช์ภาพ
เรื่องนี้ทำเอาเสิ่นเลี่ยงรองประธานชมรมจิตรกรรมหัวเราะจนกรามแทบค้าง
นึกไม่ถึงว่าพอมีหลินเยวียนมาประจำการในชมรมจิตรกรรมแล้วจะได้ผลชะงัด เป็นโฆษณาในร่างคนดีๆ นี่เอง!
ชมรมมีหลินเยวียน ประหนึ่งมีสมบัติล้ำค่า!
หลินเยวียนก็ยังคงนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ บุคลิกของเขาก็ยังเหมือนเดิม
ในวันนี้
หลังเลิกเรียน หลินเยวียนก็ไปชมรมจิตรกรรมอีกครั้ง
ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูไปก็มีคนตระเตรียมกระดานวาดภาพ เก้าอี้ ดินสอที่เหลาแล้ว รวมไปถึงเครื่องดื่มที่เขาชื่นชอบไว้ให้เสร็จสรรพ
ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ชมรมจิตรกรรมปฏิบัติต่อหลินเยวียน
และจากการมาประจำการของหลินเยวียน รอบข้างถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย มีผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านเทพ วันนี้ถึงคิวฉันแล้ว”
“ท่านเทพ ยืนยัน”
จงอวี๋มองตารางบันทึกในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะพยักหน้าให้หลินเยวียน
เนื่องจากคนที่มาเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียนมีมากเกินไป หลินเยวียนดูแลไม่ไหว
ดังนั้นจงอวี๋ผู้ซึ่งขนานนามตนเองว่าเป็นศิษย์เอกของหลินเยวียนก็ออกตัวรับหน้าที่ ให้สมาชิกในชมรมใช้ระบบจองคิวล่วงหน้า ทุกคนที่อยากเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียน จำต้องมานัดหมายล่วงหน้า!
หลินเยวียนก็ตกลง
จวบจนวันนี้ วิธีการนี้ถูกนำมาใช้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นคนที่มาเรียนสเก็ตช์ภาพกับหลินเยวียนก็มีมากจนเหลือรับ ทุกคนต่างก็ต่อคิวรอโอกาสของตนมาถึง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ผู้หญิงคนนั้นตื่นเต้นหลังจากที่ถึงคิวของตนเอง คลาสเรียนของหลินเยวียนจองคิวยากเสียจริง
ใช้เวลาไปสองชั่วโมง
หลินเยวียนก็สอนสุภาพสตรีคนนั้นเสร็จ
จงอวี๋หยิบถือกาแฟมารออยู่นานแล้ว ยิ้มตาหยี “แก้วเมื่อกี้เย็นแล้ว นี่แก้วใหม่ ท่านเทพเชิญรับประทาน”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนดื่มกาแฟที่อุณหภูมิกำลังพอดีซึ่งอีกฝ่ายยกมาให้
ในตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทของเขา “อาจารย์ มีไว้เผยแผ่วิชาวิสัชนาข้อสงสัย[2] ช่วงนี้โฮสต์ชี้แนะนักเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้รับความสำเร็จในฐานะ ‘อาจารย์’ ชั่วนิรันดร์ ”
หลินเยวียนชะงักไป “หมายความว่ายังไง”
ระบบอธิบาย “อาจารย์เป็นความสำเร็จประเภทพิเศษ โดยทั่วไปจะได้รับเมื่อโฮสต์แตะถึงมาตรฐานบางอย่างที่ระบบซ่อนไว้ จากนี้นักเรียนซึ่งได้รับคำชี้แนะจากโฮสต์จะเรียนรู้ได้มากขึ้นสองเท่าในระยะเวลาที่เรียน เพราะคนที่โฮสต์สอนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่อาจารย์มีต่อลูกศิษย์ก็จะเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!”
หลินเยวียน “…”
ระบบมีวิธีการแบบนี้ด้วยเหรอ
อยากให้ฉันเป็นครูสอนศิลปะหรือไงเนี่ย
………………………………………………
[1] บัฟ (buff) เป็นศัพท์แสลงในเกม หมายถึงเพิ่มความแข็งแกร่งหรือความสามารถให้บางสิ่งอย่างรวดเร็ว
[2] อาจารย์ มีไว้เผยแผ่วิชาวิสัชนาข้อสงสัย มาจากบทประพันธ์เรื่อง ‘คำสอนอาจารย์’ ของหานอวี้ กวีและนักเขียนสมัยราชวงศ์ถัง