เรื่องกระบี่เทพสังหารเวอร์ชันต้นฉบับมีประมาณหนึ่งล้านห้าแสนตัวอักษร ส่วนเวอร์ชันปรับปรุงโดยระบบกลับทำให้เป็นแปดเล่ม มีทั้งหมดหนึ่งล้านหกแสนตัวอักษร เพราะการแนะนำโลกเซียนกำลังภายในของฉบับปรับปรุงนั้นละเอียดกว่า มีทั้งการลบทิ้งและเพิ่มเติม เพียงพอให้หลินเยวียนส่งตีพิมพ์ติดต่อกันได้เกินครึ่งปี…
ต่างกับปรินซ์ออฟเทนนิส
ครั้งนี้หลินเยวียนต้องลงมือด้วยตนเอง
โชคดีที่ความเร็วในการพิมพ์ของหลินเยวียนนั้นสูงมาก
พักผ่อนมาทั้งคืน วันต่อมาก็ไปเรียนที่วิทยาลัย
คลาสเรียนแรก เป็นวิชาของอาจารย์ที่ปรึกษา
อัตราการเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยนั้นเป็นปัญหาหนึ่ง ปรากฏการณ์การโดดเรียนนั้นจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่ามีเพียงคลาสเรียนของของอาจารย์ที่ปรึกษา ที่เหล่านักศึกษาไม่เคยขาดเรียนต่อให้ต้องฝ่าลมฝ่าฝนมาก็ตาม
ช่วยไม่ได้
อาจารย์ประจำสาขาคนอื่นอาจจำชื่อนักศึกษาไม่ได้ ตอนเช็กชื่อมีคนบีบเสียงสักหน่อยแล้วขานตอบก็ได้แล้ว
แต่งานในแต่ละวันของอาจารย์ที่ปรึกษาก็คือพูดคุยกับนักศึกษาในเซค ในเซคมีนักศึกษากี่คนก็รู้จักดีประหนึ่งเป็นนิ้วมือของตนเอง ใครก็อย่าได้คิดจะมาเช็กชื่อแทนเพื่อน
เมื่อถูกอาจารย์ประจำวิชาเพ่งเล็ง อย่างมากก็แค่ถูกปรับตก แต่การถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเพ่งเล็งนั้นต่างออกไป
“คืออย่างนี้”
ก่อนที่จะเริ่มเรียน อาจารย์ที่ปรึกษามองไปยังนักศึกษาที่นั่งอยู่ “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพูดกันไว้แล้วใช่มั้ยว่าในการประเมินประจำปีของปีสอง ทุกคนต้องเขียนเพลงออกมา เดิมทีวางแผนว่าจะให้เวลาพวกคุณถึงปลายเดือนหน้า แต่ไม่นานมานี้วิทยาลัยมีกฎใหม่…”
นักศึกษาต่างเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย
การประเมินของวิทยาลัยเกี่ยวโยงไปถึงผลการเรียนและโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยน ทุกคนย่อมใส่ใจเป็นธรรมดา
“ขยายเดดไลน์ไปอีกหนึ่งเดือน”
อาจารย์ที่ปรึกษายกนิ้วขึ้น “กำหนดส่งของการประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเดือนมิถุนา ผู้ตรวจไม่ได้มีแค่ในวิทยาลัยเรา ขณะเดียวกันก็จะมีคนจากข้างนอกที่บริษัทบันเทิงส่งมาด้วย รายละเอียดว่าเป็นบริษัทไหนกำลังเจรจากันอยู่ ถ้าพวกคุณผลงานดีจนบริษัทถูกใจ การเซ็นสัญญาโดยตรงก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้…”
จ๊อกแจ๊กๆ!
ทั้งชั้นเรียนคึกคักขึ้นมาทันที
ถ้าหากมีการตัดสินจากคนบริษัทบันเทิงในการประเมินประจำปีการศึกษา ความสำคัญของการประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น!
ทุกคนพยายามกันขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ
ไม่ใช่เพื่ออนาคตที่ดีหลังจากเรียนจบหรอกหรือไง
ในการประเมินของปีการศึกษาครั้งนี้ ถ้าผลงานสามารถทำให้คนจากบริษัทบันเทิงประทับใจได้ ก็เท่ากับก้าวข้ามอุปสรรคนับไม่ถ้วนแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปได้ในก้าวเดียว!
ชั่วขณะนั้นเอง
ทุกคนล้วนแต่ดีอกดีใจ
หลินเยวียนเองก็รู้สึกดีใจ
ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้วเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงตัวต่อโลกภายนอก
“เดี๋ยวเธอลองฟังเพลงของฉันหน่อยสิ…”
“แอกคอม[1]ของฉันยังมีปัญหาอยู่นิดหน่อย…”
“พวกเราแบ่งกันดู ช่วยกันออกความเห็นดีกว่า”
“เพลงนี้ของฉันเขียนเสร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว รอโอกาสมาตลอด ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเอามาใช้ตอนประเมินประจำปีการศึกษา แต่คนจากบริษัทบันเทิงมาก็ต่างออกไปแล้ว ฉันต้องหยิบเพลงนี้ออกมา!”
“…”
เพื่อนในชั้นเรียนพูดคุยกัน
เพื่อนในชั้นเรียนล้วนแต่ชื่นชอบหลินเยวียน ต่างคนต่างกันแย่งกันพูด “เรื่องเรียบเรียงเพลงของฉันยังขาดเปียโนท่อนหนึ่ง หลินเยวียนนายเป็นคนหนึ่งที่ฝีมือเปียโนดีที่สุดในเซคเรา ฉันว่านายเก่งกว่าเด็กสาขาเครื่องบรรเลงที่มาช่วยอีก นายมาช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
“อื้ม”
หลินเยวียนพยักหน้า
เขายังคงพูดน้อยเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่เพื่อนๆ ที่มาขอความช่วยเหลือต่างก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที รีบขอบอกขอบใจกันยกใหญ่
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบในตัวหลินเยวียน
ภายนอกเขาดูท่าทางไม่สนใจหรือคบค้าสมาคมกับใคร ปกติแล้วก็ไม่เห็นใครมาหยอกล้อกับเขา คล้ายกับว่าเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมมากคนหนึ่ง
แต่เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนมีเรื่องเดือดร้อน เขาก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทุกครั้ง
อย่างหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งก่อน อย่างการขอให้เขาช่วยเรื่องเรียบเรียงเพลงจนสำเร็จ ใช้คำพูดที่ทั้งชั้นเรียนเห็นพ้องต้องกันก็คือ
นี่มันหลินเยวียนมาก
นี่ก็คือสไตล์และจุดเด่นของหลินเยวียน เมื่อไหร่ที่เจอปฏิกิริยาเช่นนี้ กลับรู้สึกว่าน่ารักขึ้นมา อย่างน้อยผู้หญิงหลายคนในเซคก็พูดกันแบบนี้
……
หลินเยวียนไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนกระตือรือร้นชอบช่วยเหลือ แต่คนในชั้นเรียนดีกับเขามากทีเดียว
เมื่อก่อนตอนที่อาศัยในหอพักของวิทยาลัย เพื่อนร่วมห้องก็โอนอ่อนผ่อนปรนตามกิจวัตรประจำวันของเขาตลอด
ฉะนั้นแล้วคำขอของทุกคน หลินเยวียนล้วนตอบรับทั้งหมด อีกทั้งหลังจากลังเลอยู่สามวินาที ก็ตัดสินใจว่าไม่เอ่ยถึงเรื่องคิดเงินจะดีกว่า
ใจกว้างสักครั้งน่ะ!
อีกหลายวันต่อจากนั้น เขาก็ช่วยอัดทำนองบรรเลงเปียโนให้เพื่อนร่วมชั้นมาตลอด
เป็นงานหนักครั้งหนึ่งเลย
เพราะทำนองเปียโนไม่ได้เป็นสิ่งที่อัดไปครั้งเดียวแล้วจบ ระหว่างการอัดเสียงนั้นยากที่จะเลี่ยงปัญหา หลินเยวียนต้องพูดคุยและปรับแก้กับเพื่อนๆ ซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็เสนอความเห็นของตนเองบ้าง
แน่นอนละ
ต้องใช้ความเห็นของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเป็นหลัก ถึงยังไงนั่นก็เป็นผลงานของพวกเขาเอง
เมื่อยื่นมือเข้ามาช่วยแบบนี้แล้ว ทุกๆ วันหลินเยวียนแทบจะเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องอัดเสียงกับห้องเปียโนของวิทยาลัย แม้แต่เวลาที่ไปชมรมจิตรกรรมก็ลดน้อยลง
และในวันที่สามที่หลินเยวียนช่วยเพื่อนร่วมชั้นทำดนตรีประกอบ
หลินเยวียนก็พบกับกู้ซีที่ห้องเปียโนโดยบังเอิญ
“คุณนี่เอง!”
กู้ซีเห็นหลินเยวียน ก็พลันเต็มตื้นขึ้นมา ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรทักทายอีกฝ่ายว่าอย่างไร
เรียกพ่อเพลง ก็แปลกไปหน่อย
เรียกท่านเทพ ก็โอเวอร์ไปหน่อย
เรียกหลินเยวียน ก็สนิทสนมเกินไปหน่อย
คิดไปคิดมา เธอก็ทำได้แค่เอ่ยปากหยั่งเชิง “เพื่อนนักเรียนหลิน…”
หลินเยวียนพยักหน้า ก่อนจะเดินผ่านเธอไป
ทุกครั้งที่เจอกู้ซี ก็ไม่เคยมีเรื่องดี รีบหลบออกไปให้ห่างเข้าไว้เป็นดี
“เพื่อนนักเรียนหลิน!”
กู้ซีตะโกนออกมาอย่างตกประหม่า
หลินเยวียนไม่ได้หันหลังกลับไป เพียงแต่หยุดฝีเท้าลง “มีอะไรครับ”
กู้ซีพูดอย่างกระอักกระอ่วน “คือว่า…มีเรื่องอะไรที่ฉันทำได้ คุณบอกฉันได้เลยนะ…”
ช่วงนี้กู้ซีกังวลมาก
เธอครุ่นคิดหาวิธีเข้าใกล้หลินเยวียนมาตลอด
หลินเยวียนมาที่ห้องเปียโนน้อยครั้งมาก เธอจะออกตัวเข้าไปหาก็มองออกว่าจงใจเกินไป หนำซ้ำยังจะพลอยให้อีกฝ่ายไม่พอใจด้วย ดังนั้นเธอจึงลังเลอยู่นาน
“ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า กลับไปยังห้องเปียโน
คนที่ห้องเปียโนในวันนี้ ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นจากวันก่อนๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว
หนึ่งในนั้นเห็นหลินเยวียนเดินมา ก็พูดขึ้นด้วยความเกรงใจ “หลินเยวียน พวกเราก็อยากขอให้นายช่วยอัดเสียงเปียโน เข้าใจว่าหลายวันมานี้นายช่วยทุกคนเยอะมาก ถ้านายไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไรนะ”
หลินเยวียน “…”
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งชั้นเรียนก็จะเฮละโลกันมาหาเขา
หากเป็นเวลาปกติ หลินเยวียนก็มีเวลาช่วยพวกเขาอยู่หรอก
แต่ปัญหาในตอนนี้คือตนยังมีภารกิจค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมที่ยังทำไม่สำเร็จ ถ้าวันๆ เอาแต่แช่อยู่ในห้องเปียโนกับห้องอัดเพลง ความคืบหน้าของภารกิจนั้นก็คงยืดเยื้อได้ง่าย
แต่ถึงอย่างนั้น หลินเยวียนก็เข้าใจเหตุผลที่ทุกคนมาหาถึงที่แบบนี้
หากวัดกันตามฝีมือการเล่นเปียโน ร้อยละ 99 ของคนจากสาขาเครื่องบรรเลงที่มาช่วยนั้นไม่ได้มีฝีมือถึงระดับเชี่ยวชาญแบบตน
จริงๆ ด้วย
เจอกู้ซีทีไร ตนก็จะโชคร้าย
เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเห็นว่าหลินเยวียนลังเล ก็แค่นหัวเราะ “เอาเถอะๆ เป็นแบบนี้ต่อไปหลินเยวียนเหนื่อยตายแน่ พวกเราไปให้คนสาขาเครื่องบรรเลงช่วยเถอะ”
พวกเขาพูดพลางเตรียมตัวเก็บของเดินออกไป
เดิมทีที่ทุกคนมาก็รู้สึกขัดแย้งกันอยู่ในใจ ด้านหนึ่งก็อยากให้หลินเยวียนช่วย อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากรบกวนหลินเยวียนมากเกินไป
คนมากมายขนาดนี้มาขอให้ช่วย หลินเยวียนก็วุ่นวายตัวเป็นเกลียวแล้ว
“เดี๋ยวก่อน”
หลินเยวียนหวนนึกการเอาใจใส่ที่เพื่อนร่วมหอพักมีต่อตน รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่คอยดูแลตน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
ทุกคนชะงักไปชั่วขณะ “แต่พวกเรามีกันตั้งหลายคน…”
หลินเยวียนไม่ได้ตอบ แต่กลับเดินไปที่ปากประตู มองกู้ซีซึ่งยังไม่ได้เดินไปจากระเบียงทางเดิน
ไม่รู้ว่ากู้ซีกำลังคิดอะไร กำลังยืนเหม่ออยู่กับที่
“โอ้โหแม่เจ้าโว้ย”
“นั่นมันกู้ซีไม่ใช่เหรอ”
“เทพธิดาเปียโนในตำนาน!”
“จะเจอกี่ครั้งก็รู้สึกว่าสวยมากเลย”
“ถ้าได้กู้ซีมาช่วยอัดทำนองเปียโนได้ก็คงดี…”
“เพ้อไปแล้ว กู้ซีเป็นคนที่เธอจะไปเรียกมาได้หรือไง อีกอย่างฉันรู้สึกว่าฝีมือหลินเยวียนก็ไม่ได้ด้อยกว่ากู้ซีเลย”
“เทพธิดาก็เย่อหยิ่งกันทั้งนั้น กู้ซียิ่งหยิ่งเข้าไปใหญ่ ท่าทางแบบนั้นก็หมายความว่าคนไม่สนิทเข้าใกล้ไม่ได้หรอก”
“…”
เมื่อเห็นกู้ซี ฝูงชนต่างก็กระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น
กู้ซีเป็นคนดังของวิทยาลัย สาขาประพันธ์เพลงและสาขาเครื่องบรรเลงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเหล่านี้ของหลินเยวียนย่อมรู้จักเทพธิดาเปียโนผู้โด่งดังอย่างกู้ซี ถึงขั้นรู้จักบุคลิกเย่อหยิ่งทระนงตนของเธอด้วย
และขณะที่ผู้คนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้นเอง
จู่ๆ หลินเยวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่วยหน่อยได้มั้ย”
เมื่อได้ยินเสียงของหลินเยวียน กู้ซีเงยหน้าขึ้นมามองทันที
เพื่อนๆ รอบตัวหลินเยวียนตะลึงงัน
อะไรเนี่ย
หลินเยวียนถึงกับกล้าเอ่ยปากให้กู้ซีช่วยเลยเหรอ
เอาเถอะ
นี่มันหลินเยวียนมากๆ
ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน
แต่ขณะที่ซาบซึ้งใจ ทุกคนก็รู้สึกขบขัน หลินเยวียนน่าจะคิดว่ากู้ซีกระตือรือร้นชอบช่วยคนเหมือนกับตนเองล่ะมั้ง?
หลินเยวียนใสซื่อบริสุทธิ์จังเลยนะ
กู้ซีจะไปตอบตกลงได้ยังไงล่ะ
เดิมทีเธอก็มีนิสัยที่ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้อยู่แล้ว แถมยังไม่ไว้หน้าใครด้วย เธอไม่ได้รู้จักคนสาขาประพันธ์เพลงพวกนี้ซะหน่อย อยู่ๆ ไปเรียกคนเขามาช่วย ต้องโดนปฏิเสธกลับมาพร้อมกับเศษหน้าที่ป่นเป็นผงอย่างแน่นอน
ผู้คนคิดแบบนั้น รู้สึกผิดอยู่ในใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงอย่างนั้น ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน เทพธิดาเปียโนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสุดแสนเย่อหยิ่งก็พยักหน้าอย่างแรง น้ำเสียงระคนความตื่นเต้น
“ได้สิ!”
ขณะนั้น นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงงุนงงไปตามกัน ถึงกับนึกสงสัยว่ากำลังเจอกู้ซีตัวปลอม ไหนบอกว่าทระนงตนไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ไง?
บ้าบอ!
ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้เอาซะเลย!
……………………………………………..
[1] แอกคอม มาจากคำว่า accompaniment คือเสียงเพลงคลอหรือทำนองที่ใส่ประกอบกับทำนองหลัก เช่นเสียงนักร้อง หรือเสียงเครื่องดนตรีหลัก