“ติ๊งต่อง! ยินดีกับโฮสต์ด้วยที่ทำภารกิจค่าความโด่งดังทะลุหนึ่งพันได้สำเร็จ ได้รับกล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ กล่องสมบัติเงินหนึ่งใบ”
ห้าวันผ่านไป
ในที่สุดหลินเยวียนก็ทำภารกิจค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมได้สำเร็จก่อนเวลาที่กำหนด เมื่อได้ยินการแจ้งเตือนอันรื่นหู ก็นับว่าไม่เสียเปล่าที่โดดเรียนมาชมรมจิตรกรรมติดต่อกันห้าวัน
มีกล่องสมบัติแล้ว!
ไม่ใช่แค่กล่องสมบัติทองแดง
แต่ยังมีกล่องสมบัติเงินอีกใบหนึ่งด้วย
ครั้งก่อนกล่องสมบัติเงินให้เพลงเปียโนกับหลินเยวียน ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเปิดออกมาได้อะไร
ระบบ “จะเปิดหรือไม่”
หลินเยวียน “เก็บไว้ในคลังไอเทมก่อน”
เขาตัดสินใจว่าจะเก็บกล่องสมบัติไว้ก่อน รอมือขึ้นแล้วค่อยเปิด
เรื่องอย่างการเปิดกล่องนั้นเป็นเรื่องลี้ลับสุดๆ ถ้าเกิดเปิดกล่องแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วของที่เปิดมาไม่ดีจะทำยังไงล่ะ
ระบบไม่ยอมให้คืนของซะด้วยสิ
หลังจากภารกิจสำเร็จ
หลินเยวียนก็ผ่อนคลายขึ้นมาก
หลังจากนี้เขาวางแผนจะเขียนเล่มแรกของกระบี่เทพสังหาร
นิยายเรื่องนี้ถูกระบบแบ่งเนื้อหาเป็นทั้งหมดแปดเล่ม ทุกเล่มจะหยุดอยู่ที่ประมาณสองแสนตัวอักษร
ในตอนนี้หลินเยวียนเขียนเสร็จไปแล้วหนึ่งแสนห้าหมื่นตัวอักษร
ด้วยความเร็วในการพิมพ์ของหลินเยวียน จำนวนตัวอักษรที่เหลืออยู่ สองสามวันก็พิมพ์เสร็จแล้ว แถมยังเป็นการพิมพ์ออกมาในช่วงเวลาว่างด้วย
ถ้าหากเป็นการโดดเรียนมานั่งพิมพ์เช่นเดียวกับตอนทำภารกิจละก็ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน หลินเยวียนก็ทำเล่มแรกเสร็จแล้ว
และขณะที่พิมพ์เนื้อเรื่องอยู่นั้น ในห้วงสำนึกของหลินเยวียนก็มีพล็อตของเรื่องกระบี่เทพสังหารสว่างวาบขึ้นมาไม่หยุด
เล่มแรกของนิยายเรื่องกระบี่เทพสังหาร บรรยายจากมุมมองของตัวละครที่ชื่อว่าจางเสี่ยวฝาน
ในฐานะที่เป็นพระเอกของนิยาย จางเสี่ยวฝานและหลินจิงอวี่สหายรักกราบเข้าสำนักเมฆาคราม
จางเสี่ยวฝานพื้นฐานไม่ได้เรื่อง ไม่มีพรสวรรค์อะไร หลินจิงอวี่สหายรักก็มีพรสวรรค์เกินมนุษย์มนา เป็นต้นกล้าชั้นดีในการบำเพ็ญเพียร ดังนั้นเมื่อเข้าประตูไป ผู้อาวุโสในสำนักเมฆาครามก็ล้วนแต่อยากรับหลินจิงอวี่เป็นศิษย์ จางเสี่ยวฝานกลับไม่มีใครสนใจ
เป็นสวัสดิการมาตรฐานที่คนไม่เอาไหนจะได้รับ
และในพล็อตเรื่องหลังจากนั้น จางเสี่ยวฝานกลับค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเพราะการผจญภัยในตอนเปิดเรื่อง รวมไปถึงไม้ดูดวิญญาณที่ครอบครองอยู่
ไม่เพียงเท่านี้
จางเสี่ยวฝานยังหลงรักเถียนหลิงเอ๋อร์บุตรสาวของอาจารย์ และเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์ น่าเสียดายที่เถียนหลิงเอ๋อร์มองจางเสี่ยวฝานเป็นเพียงน้องชาย ไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอเยี่ยงคนรัก
เป็นไปตามนี้
เนื้อเรื่องค่อยๆ ลึกล้ำไปแบบนี้ ทั้งโลกทัศน์ของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็จะเป็นประจักษ์ชัดแก่สายตาของนักอ่านอย่างแช่มช้า นี่เป็นสิ่งที่หลินเยวียนสัมผัสได้มากที่สุดมาตลอดระยะเวลาที่เขียน
ในส่วนท้ายของเล่มแรก
สำนักเมฆาครามกำลังจะจัดการประลองเจ็ดปราณ!
จางเสี่ยวฝานก็จะเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ด้วย แต่ไม่มีใครคาดหวังกับจางเสี่ยวฝาน อาจารย์ให้จางเสี่ยวฝานเข้าร่วม ก็เพียงเพราะอยากให้เขาได้ออกไปเปิดโลกบ้าง
แต่หลินเยวียนรู้
ว่าผู้อ่านไม่คิดแบบนั้นหรอก
ผู้อ่านยืนอยู่บนมุมมองพระเจ้า ฉะนั้นพวกเขาเห็นได้ชัดเจน ว่าจางเสี่ยวฝานไม่ได้อ่อนแอดังเช่นที่เห็นภายนอก
จางเสี่ยวฝานผ่านการผจญภัย
หนำซ้ำยังมีอาวุธวิเศษของตน
ประลองเจ็ดปราณก็เป็นเวทีชั้นดีที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองของจางเสี่ยวฝาน ดังนั้นหลินเยวียนจึงเชื่อว่า ไม่ว่านักอ่านคนไหนที่อ่านกระบี่เทพสังหารจบ จุดที่จะตั้งตารอมากที่สุดเห็นจะเป็นจางเสี่ยวฝานซึ่งแสดงความสามารถอันล้ำเลิศออกมาในการประลองเจ็ดปราณนั่นเอง!
เรื่องมาหยุดชะงักได้จังหวะพอดี
เพราะช่วงแรกของจางเสี่ยวฝานค่อนข้างจะเศร้าสลดอยู่สักหน่อย
ในหมู่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กล่าวได้ว่าเป็นหายนะ พรสวรรค์ในการบำเพ็ญตบะของตนก็ไม่ได้ความอีก ไม่ได้มีใครใส่ใจกับตบะของเขา เมื่อยืนอยู่ในมุมมองของนักอ่าน ก็ย่อมคาดหวังให้ตัวเอกเงยหน้าอ้าปากสักตั้ง
……
หลายวันให้หลัง
ขณะที่หลินเยวียนคิดว่าจะเขียนเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งให้เสร็จรวดเดียวนั้นเอง เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากซย่าฝาน
“พรุ่งนี้ฉันจะไปแข่งแล้ว!”
“งั้นฉันกับเจี่ยนอี้ไปเป็นเพื่อน”
ในวันต่อมาหลินเยวียนหยุดการพิมพ์นิยายเป็นการชั่วคราว
รายการสะพรั่งซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้งของฉินโจวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซย่าฝานในฐานะที่เป็นผู้เข้าแข่งขันก็ไปร่วมการออดิชันด้วย
แม้ลึกๆ จะมั่นใจว่าซย่าฝานจะผ่านรอบออดิชันได้อย่างสบายๆ หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ก็ยังไปสนามออดิชันเป็นเพื่อนซย่าฝานอยู่ดี
สนามออดิชันอยู่ที่สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองซู
ในฐานะที่เป็นรายการประกวดความสามารถที่ใหญ่ที่สุดในฉินโจว วันแรกของการออดิชัน ทั่วทั้งสนามกีฬาจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คน โดยรอบก็จ้อกแจ้กจอแจเสียยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าผู้คนตื่นตัวกับการประกวดรายการนี้มาก!
“ฉันกังวลจังเลย”
สีหน้าของซย่าฝานแลดูหนักใจ
เจี่ยนอี้ยิ้มเอ่ย “เธอกังวลอะไรเหรอ เธอผ่านศึกมาตั้งกี่เวที อีกอย่างดูซะก่อนว่าข้างๆ เธอเป็นใคร!”
ซย่าฝานมองไปยังหลินเยวียน
หลินเยวียนทำได้เพียงเอ่ยปลอบ “ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เธอก็ได้เซ็นสัญญากับสตาร์ไลท์แล้ว เพราะงั้นทำใจสบายๆ ไปแข่งเถอะ ปีหน้าต้องได้เดบิวต์แน่นอน”
ซย่าฝานสูดลมหายใจเข้าลึก “งั้นฉันไปหลังเวทีแล้วนะ”
หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้พยักหน้า ผู้เข้าแข่งขันต้องรออยู่ในพื้นที่ด้านหลังเวที ถ้าหากขึ้นเวทีไม่ตรงเวลา ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการแข่งขัน
ซย่าฝานเดินไปได้ไม่นาน การออดิชันก็เริ่มต้นขึ้น
หลินเยวียนอยู่ด้านล่างเวที คอยฟังอย่างสนอกสนใจ
ในอนาคตเขาอาจมีเพลงหลากหลายแนว ต้องการนักร้องที่แตกต่างกันไปมาขับร้อง
ถ้าหากค้นพบผู้ช่วยงานที่มีคุณสมบัติไม่เลวที่นี่ หลินเยวียนจะได้จำไว้ ภายหลังอาจได้ใช้งาน
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการออดิชัน ทั้งปลาทั้งมังกรปะปนกันไป
หลินเยวียนฟังไปแปดคนติดต่อกัน ยังไม่เจอเสียงที่ทำให้ตะลึงได้เลย
หนึ่งในนั้นถึงกับมีห้าคนที่เพิ่งร้องไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกกรรมการขัดขึ้นมา
ซย่าฝานอยู่ในลำดับที่เก้า นับว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ขึ้นเวทีค่อนข้างเร็ว
เมื่อถึงคิวของเธอขึ้นเวที หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ก็โบกมือสุดแรงเกิดอยู่ด้านล่าง น่าเสียดายที่ตรงนั้นมีคนเยอะเหลือเกิน ซย่าฝานจึงไม่ทันสังเกตเห็น
ทว่าคำพูดสัพยอกของเจี่ยนอี้ก็ไม่ผิด
ซย่าฝานเป็นแม่ทัพซึ่งผ่านศึกมาไม่รู้กี่เวทีแล้วจริงๆ
ในรอบแรกของการออดิชัน เธอร้องเพลงเก่าเพลงหนึ่ง หลังร้องจบกรรมการก็หันไปกระซิบกระซาบกัน ก่อนที่ต่างคนต่างยกป้ายให้ผ่านฉลุย
“ขอบคุณกรรมการทุกท่านค่ะ!”
ซย่าฝานก้มโค้งครั้งหนึ่ง ก้าวลงจากเวทีอย่างปลื้มปีติ เป็นครั้งแรกที่ได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขกับหลินเยวียนและเจี่ยนอี้
“นี่เพิ่งจะเริ่มต้น”
เจี่ยนอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “หลังจากนี้เธอต้องสู้นะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เอาเพลงความฝันแรกออกมาร้องให้กรรมการช็อกตายไปเลย!”
ซย่าฝานยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
เธอไม่คิดจะนำเพลงความฝันแรกออกมาร้อง ถ้าร้องเพลงนี้ในการประกวดแล้วแลกมาได้เพียงโควตาผ่านเข้ารอบก็ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย เธออยากร้องเพลงนี้ตอนเดบิวต์อย่างเป็นทางการมากกว่า
ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว
เจี่ยนอี้เสนอ “พวกเรากลับกัน?”
ซย่าฝานพยักหน้า มองไปยังทั้งสอง กล่าวว่า “วันนี้กลับก่อนเถอะ หลังจากนี้ฉันยังต้องแข่งอีกหลายรอบ แต่พวกนายสองคนไม่ต้องมาเป็นเพื่อนแล้ว”
เธอเพียงแค่รู้สึกกังวลในวันแรก
หลังจากนี้จะรบกวนทั้งสองคนตลอดไม่ได้
สองคนยิ้มตอบตกลง
จะว่าไปแล้ววิทยาลัยก็มีช่วงที่ว่างเหมือนกัน แต่ความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะว่างพร้อมกันพอดีกลับมีไม่มาก
การประกวดของซย่าฝานกินเวลานานสุดๆ หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้ว่างแล้วถึงมาอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ ไม่ว่างก็มาไม่ได้
เมื่อกลับถึงบ้าน
หลินเยวียนมองโทรศัพท์ คืนนี้ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งก่อนจะถึงเวลานอน เขาจึงเปิดเรื่องกระบี่เทพสังหารแล้วลงมือเขียนต่อ
มือของเขาคล่องแคล่วว่องไว เขียนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก
ใกล้ช่วงเวลาสามทุ่ม
ในที่สุดหลินเยวียนก็เขียนเรื่องกระบี่เทพสังหารเสร็จ!