วิทยาลัยศิลปะฉินโจว
ปิดภาคเรียนฤดูร้อนกำลังใกล้เข้ามา ในออฟฟิศใหญ่ของชั้นปีที่สองสาขาการประพันธ์เพลง คณาจารย์กำลังเร่งรีบตรวจผลงานในการประเมินประจำภาคเรียนของนักศึกษา
ในขณะนั้นเอง
จู่ๆ หน้าประตูก็มีเสียงดังมา “ว่ากันว่าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ คณบดีซือน่าจะไม่รังเกียจที่คณะอาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเรียนรู้จากสถาบันของคุณ…”
วิทยาลัยศิลปะฉินตง?
บรรดาอาจารย์ในออฟฟิศใหญ่ได้ยินเสียงจากหน้าประตู ก็แทบจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน และมองไปยังประตูออฟฟิศ
ชื่อย่อของวิทยาลัยศิลปะฉินตงก็คือ ‘ตงอี้’
พวกเขาเป็นสถาบันศิลปะซึ่งจัดอยู่อันดับสองของฉินโจว
ว่ากันว่าเดิมทีวิทยาลัยศิลปะฉินตงก็อยากใช้ชื่อย่อว่า ‘ฉินอี้’
แต่ก็ช่วยไม่ได้
ความสามารถของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั้นเหนือกว่า ดังนั้นชื่อเรียก ‘ฉินอี้’ จึงกลายเป็นของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวไปโดยปริยาย
วิทยาลัยศิลปะฉินตงจึงใช้ได้เพียงชื่อ ‘ฉินตง’
เรื่องนี้ทำให้วิทยาลัยศิลปะฉินตงคิดไม่ตกมาโดยตลอด ผ่านมาหลายปีก็ยังคงจ้องจะงาบตำแหน่งพี่ใหญ่ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
เหล่าอาจารย์รู้เรื่องที่วันนี้วิทยาลัยศิลปะฉินตงจะมาเยี่ยมเยือน
แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาที่สาขาการประพันธ์เพลงกะทันหันแบบนี้ มาแบบมีเจตนาไม่ดีนะเนี่ย
“ทุกท่าน”
ซือเฉิงและบรรดาศาสตราจารย์นำคณะอาจารย์สาขาการประพันธ์เพลงจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงเข้าไปยังสาขาการประพันธ์เพลง
หลังจากเดินเข้าประตูไป ซือเฉิงก็พูดว่า “ทุกคนปรบมือต้อนรับศาสตราจารย์จางเหวินอู่ซึ่งเป็นตัวแทนจากสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะตงฉิน เป็นแขกมาเยี่ยมชมสาขาการประพันธ์เพลงของเรา”
แปะๆๆ
อาจารย์จากสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวปรบมือดังเกรียวกราว
“ทุกท่านเกรงใจแล้ว”
จางเหวินอู่ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยศิลปะตงฉินกล่าว “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวมีมานับร้อยปี สาขาการประพันธ์เพลงเปี่ยมไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ วันนี้พวกเราจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเยี่ยมเยือนสถาบันของท่าน เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์โดยเฉพาะ”
ฝูงชนปรบมืออีกครั้ง ในใจกลับพึมพำว่า เชื่อก็บ้าแล้ว!
“ทุกคนตรวจงานต่อเถอะ”
ซือเฉิงขยับไม้ขยับมือบอก ก่อนจะกล่าวกับจางเหวินอู่และคนอื่นๆ “เชิญทางนี้ครับ ทุกคนไปนั่งดื่มชากันก่อนได้”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากจางเหวินอู่และอาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงคนอื่นๆ นั่งลง ก็เริ่มสนทนาเรื่อยเปื่อยกับซือเฉิง “วันนี้วิทยาลัยของคุณกำลังตรวจผลงานประเมินประจำปีของนักศึกษาเหรอครับ”
ซือเฉิงพยักหน้า
จางเหวินอู่ยิ้มเอ่ย “วิทยาลัยพวกเราตรวจเสร็จไปเมื่อวาน แถมยังเชิญหัวหน้าแผนกประพันธ์เพลงจากเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงมานั่งในที่ประชุมด้วย สรุปแล้วแผนกประพันธ์เพลงของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงเซ็นสัญญากับนักศึกษาปีสองไปคนหนึ่ง แถมยังให้นักศึกษาคนนั้นไปทำงานช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์”
ซือเฉิงหนังตากระตุก
เขากับจางเหวินอู่นับว่าเป็นคู่แข่งเก่าแก่ ต่างคนต่างเข้าใจกันและกัน ในตอนนี้เพิ่งจะสนทนากัน เขาก็คาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายออกแล้ว
มิน่าล่ะจางเหวินอู่ถึงไม่ติดตามไปกับคณะของวิทยาลัยตัวเอง จะต้องดึงดันมาเป็นแขกที่สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวให้ได้
กล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าเขาเรอะ
จำต้องยอมรับ
ว่าแค่ปีสองก็ได้เซ็นสัญญากับสามบริษัทยักษ์ใหญ่ของฉินโจว แถมยังได้เข้าไปนั่งทำงานช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้
“จริงสิ”
“ทางพวกคุณก็น่าจะเชิญคนจากบริษัทบันเทิงมาด้วยสินะครับ” จางเหวินอู่ไต่ถามด้วยท่าทางห่วงใย
ซือเฉิงพยักหน้า “พวกเราเชิญแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์มาครับ”
จางเหวินอู่จุ๊ปาก “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวหน้าใหญ่จังเลยนะครับ”
ซือเฉิงโบกมือ “เหมือนกันนั่นแหละครับ”
จางเหวินอู่หัวเราะ “ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวผมจะขอฟังผลงานของนักศึกษาเก่งๆ ของฉินโจวได้ไหม จะได้ดูไว้ว่าวิทยาลัยศิลปะฉินตงของพวกเรายังห่างไกลกับวิทยาลัยของคุณอีกมากแค่ไหน”
ซือเฉิงก็หัวเราะ “ได้อยู่แล้วครับ”
เขาเรียกผู้ช่วยมา พูดต่อหน้าจางเหวินอู่ ว่าให้ผู้ช่วยไปแจ้งคณาจารย์ที่ตรวจสอบผลงาน ว่าตรวจสอบแล้วให้ส่งผลงานที่ยอดเยี่ยมมากพอมา
หลังจากที่ผู้ช่วยออกไป
จางเหวินอู่ก็เปลี่ยนไปอยู่ในท่าทีสบายยิ่งกว่าเดิม “หรือไม่พวกเราก็อย่านั่งเฉยๆ เลย พอดีผมเอาผลงานที่ดีที่สุดของนักศึกษาปีสองสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยเรามา หลังจากที่เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงได้ฟังเพลงนี้แล้ว ก็เซ็นสัญญากับนักศึกษาคนนั้นทันที พวกคุณจะลองฟังมั้ยครับ”
ซือเฉิงตอบ “แน่นอนอยู่แล้วครับ”
เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเป็นผลงานแบบไหน ถึงทำให้เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงตกลงเซ็นสัญญาตรงนั้นเลย
จางเหวินอู่ส่งเพลงให้ซือเฉิงและคณาจารย์สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
ทุกคนต่างหยิบหูฟังขึ้นมาสวมเพื่อฟังเพลง
จางเหวินอู่ส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาฉายแววได้ใจอย่างไม่อาจปิดบัง
ไม่ผิดหรอก!
เขามาในวันนี้เพราะอยากหาเรื่องในอาณาเขตวิทยาลัยศิลปะฉินโจวสักหน่อย
ไหนเลยจะยอมให้วิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้ทรัพยากรด้านการศึกษาระดับสูงไปทุกปี
ศักยภาพโดยภาพรวมของตงอี้ไม่ได้ด้อยกว่าฉินอี้เท่าไหร่หรอกน่า!
เมื่อฟังเพลงจบ ซือเฉิงก็เงียบกริบ
ศาสตราจารย์วิทยาลัยศิลปะฉินโจวด้านหลังของซือเฉิงก็ตกตะลึงเช่นกัน
นี่เป็นผลงานที่เด็กปีสองเขียนออกมาอย่างนั้นเรอะ
หนังตาของซือเฉิงกระตุก กัดฟันพูดออกไป “ไม่เลวเลยครับ มิน่าล่ะถึงเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง”
จางเหวินอู่มองไปยังศาสตราจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
ศาสตราจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวทำได้เพียงกล่าวว่า “เป็นเพลงที่ดีจริงๆ ครับ”
ทุกคนล้วนเป็นบุคลากรในสายอาชีพ ไม่มีทางฝืนความรู้สึกแล้วตอบไปว่าเพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ดีหรอก แต่เมื่อพิจารณาถึงบรรยากาศการแข่งขันของทั้งสองสถาบันแล้ว ในใจก็รู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่
“ฮ่าๆ”
จางเหวินอู่กับคณาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงหัวเราะออกมา “ศาสตราจารย์ซือลองเดาดูสิครับว่านักศึกษาที่เขียนเพลงนี้คือใคร”
ซือเฉิงชะงักไป “ผมรู้จักด้วยเหรอ”
จางเหวินอู่พูด “โจวอวี๋ พอจะคุ้นหูบ้างมั้ยล่ะครับ”
ซือเฉิงสีหน้าดำทะมึนทันใด
เขารู้จักโจวอวี๋คนนี้
โจวเหวินพ่อของโจวอวี๋ เป็นพ่อเพลงตัวท็อปของฉินโจว เกิดมาในวงการดนตรี!
พ่อเป็นพยัคฆ์ ลูกไม่มีทางเป็นสุนัขไปได้
ได้รับการชี้แนะจากบิดา โจวอวี๋เป็นที่รู้จักจากพรสวรรค์ด้านประพันธ์เพลงมาตั้งแต่เด็ก ตอนมัธยมปลายปีสามก็ปล่อยผลงานดังชิ้นหนึ่ง
หลังจากนั้น
โจวอวี๋ก็สอบเกาเข่าได้เป็นอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงความอัจฉริยะสะเทือนวงการ ทุกสถาบันในฉินโจวล้วนยื่นข้อเสนอให้โจวอวี๋
แต่ผลคือ
โจวอวี๋กลับเลือกไปวิทยาลัยศิลปะฉินตง
วิทยาลัยศิลปะฉินโจวในฐานะสถาบันการศึกษาอันดับหนึ่งในฉินโจว ในตอนนั้นเสียหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว นึกไม่ถึงว่าจนกระทั่งทุกวันนี้ ฝีมือด้านการประพันธ์เพลงของโจวอวี๋ จะรุดหน้าไปถึงระดับนี้แล้ว!
ถ้าหากจางเหวินอู่เพียงแค่อวดเบ่งผลงานอันยอดเยี่ยมของวิทยาลัยพวกเขา ซือเฉิงยังจะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บใจเท่าไหร่
แต่ผลงานชิ้นนี้โจวอวี๋เป็นคนเขียน ซือเฉิงปวดใจเหลือเกิน
นักเรียนชั้นยอดเช่นนี้ ตอนนั้นวิทยาลัยศิลปะฉินโจวปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงกัน
จางเหวินอู่พึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของซือเฉิงมาก เขาสัพยอก “วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเต็มไปด้วยผู้มากพรสวรรค์ คิดดูแล้วต้องมีนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมกว่าโจวอวี๋อย่างแน่นอน ตอนนี้ผมคาดหวังมากเลยละครับ!”
คาดหวังบ้านเอ็งน่ะสิ!
โจวอวี๋เจ้าเด็กปีศาจเอ๊ย!
วิทยาลัยฉันใครจะไปสู้ได้
ซือเฉิงค่อนข้างรู้จักนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงในวิทยาลัย ในใจของเขารู้ดีว่าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวปัจจุบันนี้ไม่มี
นักศึกษาที่โดดเด่นกว่าโจวอวี๋
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้
บางทีหลังจากนี้อาจต้องรอให้เหล่านักศึกษาเติบโตขึ้น ไม่แน่ว่าอาจมีนักศึกษาที่พอจะเทียบเคียงกับโจวอวี๋ได้ล่ะมั้ง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่อัจฉริยะทุกคนที่จะเฉิดฉายในช่วงมหาวิทยาลัย
ในตอนนั้นเอง
ผู้ช่วยของซือเฉิงก็ส่งเพลงมา “นี่เป็นผลงานของเหยียนเมิ่งเจียเซคห้า อาจารย์ให้คะแนนมากที่สุดในตอนนี้ครับ”
จางเหวินอู่พูด “ผมขอฟังได้มั้ยครับ”
ซือเฉิงไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงส่งเพลงให้ทุกคนฟัง
หลังจากที่ฟังจบ จางเหวินอู่พยักหน้า “ไม่เลวเลย!”
ไม่เลวจริงๆ!
เหยียนเมิ่งเจียความสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงปีสอง เพลงที่เธอเขียนนั้นโดดเด่น ถึงขั้นมีคุณสมบัติมากพอให้ปล่อยได้เลย!
แต่เห็นได้ชัด
เมื่อนำผลงานเช่นนี้มาเทียบกับเพลงนั้นของโจวอวี๋ ก็ยังคงต่างชั้นกันไม่น้อย ดังนั้นคำชมของจางเหวินอู่ไม่เพียงไม่ได้ทำให้ซือเฉิงดีใจ แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนเอามีดมาปักอกเขาเสียมากกว่า
“ยังมีอีกไหม”
เสียงของซือเฉิงแฝงด้วยอารมณ์อ่อนไหว
ผู้ช่วยพยักหน้าว่าเข้าใจ เดินออกไปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเขาเองรู้อยู่เต็มอกว่า ศาสตราจารย์ซือไม่พอใจแล้ว
ไม่นาน
ก็มีเพลงส่งมาอีกหลายเพลง ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานที่ค่อนข้างโดดเด่น ทุกครั้งที่จางเหวินอู่ฟังก็แสดงการยอมรับ แต่ท่าทีก็ยังเหมือนเดิม
สู้โจวอวี๋ไม่ได้!
เป็นถึงนักศึกษาปีสองของสาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจว แต่ถูกโจวอวี๋จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงกดหัวจนเงยหน้าไม่ขึ้น
“เฮ้อ”
หลังจากที่จางเหวินอู่เล่นใหญ่ไปหลายรอบ จู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมา “ศาสตราจารย์ซือทำไมต้องซ่อนของดีเอา ไว้ด้วยล่ะ ผมยอมรับนะว่าเพลงเมื่อกี้เขียนได้ไม่เลวเลย แต่ผมเชื่อว่าด้วยความสามารถของสถาบันศิลปะอันดับหนึ่งอย่างวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ต้องยังมีเพลงที่ดีกว่านี้ที่ยังไม่ได้หยิบออกมาแน่!”
ไว้หน้ากันหน่อยไม่ได้หรือไง
แดกดันแต่ไม่ตบหน้าฉาด ต่อไปจะได้มองหน้ากันติด!
ซือเฉิงกลอกตาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าวันนี้ฉันไม่มีเพลงที่ดีกว่าเพลงนั้นของโจวอวี๋ ฉันจะต้องยอมรับว่าฝีมือของสาขาประพันธ์เพลงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวสู้วิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ได้หรือไง
“จริงด้วยครับ”
อาจารย์วิทยาลัยศิลปะฉินตงที่มาพร้อมกับจางเหวินอู่ก็เอ่ยขึ้น “เพลงพวกนี้ดีก็ดีอยู่หรอก แต่เทียบกับโจวอวี๋แล้ว เห็นได้ชัดว่ายังห่างกันอยู่”
“ฉันล่ะไม่อยากเชื่อเลยว่าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะมีฝีมือแค่นี้”
“ต้องซ่อนมือสังหารเอาไว้แน่”
“ศาสตราจารย์ซือคุณนำออกมาให้เราดูหน่อยเถอะ”
“ทรัพยากรแต่ละปีของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว คิดเป็นสองเท่าของวิทยาลัยศิลปะฉินตง เมื่อเทียบกับวิทยาลัยศิลปะฉินโจวแล้ว วิทยาลัยศิลปะฉินตงลำบากกว่ามาก ห้องเปียโนของวิทยาลัยมีแค่ไม่กี่ห้อง อุปกรณ์สาธารณะที่นักศึกษาต้องใช้ก็ต้องลงชื่อต่อคิวกัน”
“…”
ซือเฉิงทำได้เพียงเรียกผู้ช่วยมา “ให้พวกเขาตรวจเร็วหน่อย ส่งเพลงมาอีก มิตรสหายจากวิทยาลัยศิลปะฉินตงยังรออยู่”
“ได้ครับ”
ผู้ช่วยรีบเร่งฝีเท้า
คณาจารย์ที่รับผิดชอบตรวจผลงานของนักศึกษาเข้าใจสถานการณ์ที่ซือเฉิงกำลังเผชิญหน้าอยู่ ในครั้งนี้วิทยาลัยศิลปะฉินตงมาด้วยเจตนาหาเรื่อง
วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะแพ้ไม่ได้!
เรื่องนี้จะมองอย่างไรก็เป็นปัญหาของหน้าตาสถาบัน
แต่วิทยาลัยศิลปะฉินตงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น จงใจรุดมาถึงที่เพียงเพื่ออวดเบ่ง
ถ้าหากวิทยาลัยศิลปะฉินตงกลับไปป่าวประกาศว่าสาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวสู้พวกเขาไม่ได้ จะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง
จำต้องโต้กลับ
แต่ปัญหาก็คือ ผลงานที่วิทยาลัยศิลปะฉิงตงแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด เพลงที่เปิดให้ฟังเมื่อครู่แทบหมดความน่าสนใจไปเลย
ทุกคนตรวจผลงานไปเกินครึ่งแล้ว
หลังจากนี้จะมีผลงานที่พอให้นำมาตอบโต้ได้ไหม
บรรดาอาจารย์สาขาการประพันธ์เพลง ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย
“จริงสิ”
จางเหวินอู่พูดกับซือเฉิงอย่างยิ้มแย้ม “เพลงนี้ของโจวอวี๋อาจได้ปล่อยอย่างเป็นทางการในอีกไม่ช้า คนขับร้องก็เลือกเรียบร้อยแล้วด้วยครับ ได้ยินว่าเป็นเฉินจื้ออวี่นักร้องแถวหน้าของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง”
ซือเฉิงฝืนยิ้ม “ยินดีด้วยนะครับ”
ถึงขั้นไปถูกตาต้องใจนักร้องแถวหน้าเข้า เห็นได้ชัดว่าเพลงนี้ของโจวอวี๋ยอดเยี่ยมจริงๆ
จางเหวินอู่ยักไหล่ “ได้ยินว่าช่วงนี้มีแต่คนมาเสนอเพลงให้เฉินจื้ออวี่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเพลงถูกใจเลย ปรากฏว่าฟังเพลงของโจวอวี๋แล้วก็ตัดสินใจร้องเพลงตรงนั้นเลย และสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ น้อยนักที่นักร้องแถวหน้าอย่างเฉินจื้ออวี่จะเลือกผลงานของหน้าใหม่…”
อวดเบ่งจังเลยฟระ ตะบี้ตะบันอวดเบ่งเข้าไป
ซือเฉิงพลันรู้สึกว่าโซฟาที่นั่งอยู่นั้นแข็งขึ้นมาเล็กน้อย ปรับท่านั่งอยู่หลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกสบายสักเท่าไหร่ แต่เขาสงสัยยิ่งกว่าว่าคงจะเป็นเพราะจางเหวินอู่นั่งข้างๆ ถึงทำให้เข้าอึดอัดได้ขนาดนี้
ในตอนนั้นเอง
ไกลออกไปก็มีเสียงดังขึ้นฉับพลัน
ซือเฉิงซึ่งเดิมทีหัวเสียอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด “โหวกเหวกอะไรกัน จะให้แขกเขาหัวเราะเยาะหรือไง”
ศาสตราจารย์ซือพูดอย่างมีนัยยะนี่นา
จางเหวินอู่เองก็ฟังออก แต่ก็ไม่ได้มีโทสะ เพียงแต่โบกมืออย่างใจกว้าง “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องโมโห”
“คือว่าทางนั้นมีเพลงหนึ่ง อาจารย์กำลังปรึกษากันอยู่ครับ”
ผู้ช่วยรีบวิ่งเข้ามากระซิบอธิบาย
จางเหวินอู่ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว “มีเพลงมาสักทีนะครับ ผมว่าแล้วเชียว สาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวใหญ่ซะขนาดนี้ จะไม่มีเพลงดีๆ ที่จะหยิบออกมาได้เลยหรือไง”
ซือเฉิงไม่ได้ตอบ
เขาหวังให้จางเหวินอู่กับพรรคพวกรีบออกไป เพราะต่อไปจะหยิบเพลงอะไรออกมาก็ไร้ประโยชน์ เอามาวางประจันหน้ากับผลงานของโจวอวี๋ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้า
“ลองฟังดูก่อนสิครับ”
จางเหวินอู่ยิ้มเอ่ย “พี่ซือคงไม่ได้ขี้งกหรอกใช่ไหม พวกเราสองคนสนิทกัน ใช่มั้ยครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว…”
ซือเฉิงลอบกลอกตาใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว กัดฟันกรอด “ยืนนิ่งอยู่ทำไม ไปเอาเพลงมา”
ผู้ช่วยตอบรับ ไม่นานก็ส่งเพลงมา ขณะเดียวกันก็กระซิบอธิบายประโยคหนึ่ง “ผลงานของหลินเยวียนเซคห้าสาขาการประพันธ์เพลงครับ”
“หลินเยวียน?”
ซือเฉิงแอบทอดถอนใจ
สาขาการประพันธ์เพลงมีนักศึกษาคนไหนที่ฝีมือไม่เลว เขาย่อมจำได้ ส่วนชื่อหลินเยวียนนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
ในเมื่ออาจารย์ชื่นชม ก็น่าจะเป็นเพราะหลินเยวียนคนนี้ทำผลงานได้เหนือกว่าปกติ
ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี
ทว่าในวันนี้ ซือเฉิงกลับดีใจไม่ออก
นักศึกษาที่พรสวรรค์มีจำกัด ต่อให้ทำดีเกินกว่าปกติ ก็คงไปเทียบเคียงกับโจวอวี๋ไม่ได้
จางเหวินอู่เลิกคิ้ว “ดูเหมือนคุณจะไม่มั่นใจในนักศึกษาของตัวเองนะครับ”
ซือเฉิงเหลือบมองอีกฝ่าย “ผมเชื่อมั่นในนักศึกษาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวทุกคนอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าของวิทยาลัยเรา!”
ประโยคนี้ ซือเฉิงพูดออกมาจากใจจริง!
เขาไม่มีทางกล่าวโทษนักศึกษาเพียงเพราะพวกเขาเขียนเพลงที่ดีกว่าโจวอวี๋ไม่ได้ เรื่องในอนาคตไม่มีใครบอกได้ การช้าว่าเพียงช่วงหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะช้ากว่าไปตลอดชีวิต!
“งั้นก็ดี”
จางเหวินอู่ไม่ได้ยั่วยุซือเฉิงอีก ถ้าหากยั่วยุมากกว่านี้ ซือเฉิงกับเขาอาจแตกหักได้ และนั่นก็มากเกินไป
“ฟังเพลง ฟังเพลงกันครับ”
อาจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเข้ามาประนีประนอม
จางเหวินอู่พยักหน้า สวมหูฟังและเริ่มฟังเพลง สีหน้าของเขาผ่อนคลาย เขาไม่คิดว่าจะมีผลงานของใครที่เหนือกว่าโจวอวี๋แล้ว
ซือเฉิงและคณาจารย์ของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเองก็สวมหูฟัง แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แลดูหนักอึ้งอยู่สักหน่อย
ในหูฟัง
เสียงเพลงก็ดังขึ้นแล้ว
ท่วงทำนองเป็นธรรมชาติ เสียงบีตชัดเจน ค่อยๆ ส่งช่วงอินโทรจากความรู้สึกอึดอัดเป็นฮึกเหิม ทำให้ได้ยินเนื้อร้องชัดถ้อยชัดคำทุกประโยค
“เพลงนี้…”
ขณะที่อารมณ์ในท่วงทำนองเพิ่มขึ้น อาจารย์ด้านข้างของซือเฉิงก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง ทุกคนต่างสบตากัน มองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของกันและกัน
ขณะเดียวกันนั้นเอง
รอยยิ้มของจางเหวินอู่ก็ค่อยๆ เลือนไป
เสียงเพลงในหูฟังยังคงดำเนินต่อไป ท่วงทำนองต่อเนื่องสอดประสานเข้าด้วยกัน ถึงขั้นทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอยากเคาะจังหวะตามไปด้วย
ทันใดนั้นเขาก็ขยับก้นอย่างไม่เป็นสุข
รู้สึกว่าโซฟาของวิทยาลัยศิลปะฉินโจวนั่งแล้วแข็งแปลกๆ?
ในหูฟัง บทเพลงดำเนินมาถึงท่วงทำนองในท่อนคอรัส การงับคำของเนื้อเพลงยังคงชัดเจน ทุกคำประหนึ่งลูกกระสุนยิงตรงเข้าทะลวงหัวใจของจางเหวินอู่เป็นโพรงใหญ่
ส่งต่ออย่างตื่นเต้น เปลี่ยนผ่านอย่างสมบูรณ์แบบ!
ซือเฉิงอ้าปากค้าง ในดวงตาประกายวับด้วยความตะลึง ในห้วงสำนึกปรากฏคำชมเชยนับไม่ถ้วน แทบอดรนทนไม่ไหวกล่าวยกย่องเสียตรงนั้น!
และคณาจารย์ทั้งสองข้าง ถึงขั้นที่มีคนฟังแล้วอดลุกขึ้นมาขยับแข้งขาอย่างประดักประเดิด
อันที่จริงเพลงนี้มีความยาวทั้งหมดสี่นาที
ท่อนเวิร์ส ท่อนคอรัส วนซ้ำหนึ่งรอบ เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป
ทว่าเพราะต้องเผชิญหน้ากับรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่นนี้ กลับทำให้จางเหวินอู่รู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าสี่นาทีนี้แสนยืดยาว ถึงกับที่เขาค่อยๆ รู้สึกว่าโซฟาใต้ก้นของตนนั้นแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมวิทยาลัยศิลปะฉินโจวไม่ใช้โซฟาที่นุ่มหน่อยฟระ!
ไม่เพียงจางเหวินอู่ ในตอนนี้คณาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงฟังเพลงไป ก็รู้สึกลนลานเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นยืนหรอก
เมื่อตั้งสติได้ว่าไม่เหมาะสมจึงรีบนั่งลง
ผ่านไปสี่นาที
ทุกคนฟังเพลงจบแล้ว
บริเวณนั้นก็พลันเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด จนแทบได้ยินเข็มตก ไม่รู้ว่าทุกคนกำลังหวนระลึกถึงเพลงอย่างอ้อยอิ่ง หรือว่ากำลังนึกถึงเรื่องอื่น สรุปแล้วไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใด
จางเหวินอู่กลับอยากพูดออกมา
แต่อ้าปากพะงาบ กลับรู้สึกว่าลำคอคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างปิดกั้นไว้ ทำให้พูดอะไรไม่ออก
ความรู้สึกนี้ทรมานเหลือเกิน
ตามหลักแล้ว ในตอนนี้ซือเฉิงควรพูดออกมา ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ถูกกวนโทสะซะเจ็บแสบ
ทว่าซือเฉิงเองก็ยังไม่ได้สติกลับมาครบนัก ในสมองแทบจะเต็มไปด้วยความฝันแรก จนกระทั่งผ่านไปหลายวินาที เขาถึงหยิกหน้าขาของตนอย่างแรง ความเจ็บปลาบทำให้เขาได้สติกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์
แม่เจ้าโว้ย!
นี่มันเพลงอะไรเนี่ย!
โหดกว่าโจวอวี๋อีก!
หลินเยวียนอยู่วิทยาลัยเราหรือ
ทำไมเมื่อก่อนไม่ยักเคยได้ยินชื่อเขา!
ยามนี้ในใจของซือเฉิงลำพองขึ้นมาแล้ว!
เขาข่มกลั้นความบ้าคลั่งในหัวใจ พยายามวางท่าเยือกเย็น น่าเสียดายที่เสียงกลับสั่นเครือ “เพลงนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนจะใช้ได้นะครับ”
“ศาสตราจารย์จางคิดเห็นว่าอย่างไรครับ”
“เทียบกับโจวอวี๋แล้วเป็นอย่างไรคะ”
“ผมรู้สึกว่าเหมือนจะด้อยกว่าโจวอวี๋อยู่สักหน่อยนะ”
“นั่นสินะคะ เพลงของโจวอวี๋ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“วิทยาลัยศิลปะฉินตงลำพังโจวอวี๋คนเดียวก็ทำเอาวิทยาลัยศิลปะฉินโจวพูดไม่ออกเลย ศาสตราจารย์จางมีนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ น่าปลื้มใจมากเลยนะคะเนี่ย”
“…”
ก่อนหน้านี้จางเหวินอู่กล่าววาจาประชดประชันเหน็บแนมไปกองโต ตอนนี้บรรดาอาจารย์ฝั่งวิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้ทีก็ทำบ้าง ลูกรับลูกคู่พูดต่อกันไป ชักธงรบเริ่มการโต้กลับ
เทียบกับโจวอวี๋?
ขอโทษด้วยนะ ไม่ได้ดูถูกโจวอวี๋ แต่เพลงนี้ของหลินเยวียนโหดกว่าเพลงนั้นของโจวอวี๋จริงๆ!
“ไม่เลว…ไม่เลว…”
จางเหวินอู่พลันสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ
อาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงรอบตัวเขา ถ้าไม่เงยหน้ามองเพดาน ก็ก้มหน้ามองพื้น ราวกับค้นพบสิ่งมีชีวิตน่าสนใจอยู่ตรงนั้น ส่งเสียงกระแอมออกมาเป็นบางครั้งบางคราว
บรรยากาศกระอักกระอ่วนเหลือเกิน
จางเหวินอู่อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เขาฝืนยิ้มลุกขึ้นยืน พร้อมกล่าวว่า “พี่ชาย ทางผมอยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ เหมือนว่าจะมีงานยังจัดการไม่เสร็จน่ะครับ”
“งั้นเหรอครับ”
ซือเฉิงเองก็ลุกขึ้น เหยียดหลังตรง ทั้งที่ส่วนสูงเทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กลับยืนตระหง่านด้วยท่าทางราวขุนเขาขนาดย่อม “ศาสตราจารย์จางไม่วิจารณ์ต่ออีกหน่อยเหรอครับ”
“รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนครับ!”
จางเหวินอู่พาคณาจารย์จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงเดินออกไป ทว่าซือเฉิงและคนอื่นๆ เห็นว่า มือขวาด้านหลังของเขาแอบยกนิ้วโป้งขึ้นมา
ท้ายที่สุดเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของวิทยาลัยศิลปะฉินตง!
………………………………………………….