วิลล่านั้นเป็นบ้านเปล่า จำเป็นต้องตกแต่ง วันที่ส่งมอบบ้านนั้นกระชั้นมาก ช่วงนี้พวกหลินเยวียนยังต้องอาศัยอยู่บ้านเดิมไปก่อน…
หลังจากตกลงเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย
ทั้งสามคนก็ไปหาร้านอาหารในละแวกใกล้เคียงเพื่อกินข้าว
ระหว่างกินอาหาร หลินเยวียนก็บอกกับซุนเย่าหั่ว “รุ่นพี่ ผมจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่วิทยาลัยศิลปะฉีโจวหนึ่งปี”
หลินเยวียนเห็นซุนเย่าหั่วเป็นเพื่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ เขาก็จำเป็นต้องบอกซุนเย่าหั่ว
“ฉีโจว?”
ซุนเย่าหั่วชะงักไป ในใจรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นมาคิดสะระตะดูแล้วก็แค่ปีเดียว ในใจของเขาจึงรู้สึกรับได้ขึ้นมาบ้าง “งั้นก็หวังว่ารุ่นน้องจะมีความสุขกับเวลาหนึ่งปีนี้นะ ถ้าฉันมีเวลาจะไปเยี่ยมนาย!”
“อื้ม”
ซุนเย่าหั่วเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “แต่ถ้ารุ่นน้องไปฉีโจว บริษัทก็จะไม่ส่งมอบงานของบริษัทย่อยให้นายใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ”
ซุนเย่าหั่วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นายรู้สถานการณ์ที่นั่นหรือเปล่า”
“สถานการณ์อะไรครับ”
หลินเยวียนเกิดความสงสัยขึ้นมา
ซุนเย่าหั่วทอดถอนใจ “สภาพแวดล้อมด้านดนตรีของฉีโจวสู้ฉินโจวเราไม่ได้เลย ถึงยังไงฉินโจวของพวกเราก็เป็นมาตุภูมิแห่งดนตรี ชีวิตคนแต่งเพลงที่นั่นไม่ง่ายเท่าไหร่…”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะฮะ”
ผู้คนมากมายล้วนบอกว่าฉีโจวเป็นขุมนรก หลินเยวียนไม่เคยเข้าใจเลย
ซุนเย่าหั่วเอ่ย “เพราะทางฉีโจวนับเป็นเป็นดินแดนแห่งภาพยนตร์และละคร แถมอุตสาหกรรมเกมก็ยังเจริญมากด้วย ดนตรีของทางนั้นโดยทั่วไปแล้วก็เลยเป็นรูปแบบการสั่งทำที่วนอยู่กับพวกหนัง ละคร แล้วก็เกม การสร้างสรรค์ผลงานก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ว่าจ้างรีเควสมา”
“สั่งทำ?”
หลินเยวียนเริ่มเข้าใจแล้ว
ต่างจากการสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ บทเพลงที่สั่งทำล้วนเป็นการทำเพลงประกอบ มีหลายอย่างที่เป็นข้อจำกัดการแสดงฝีมือ
ก็เหมือนกับภาพยนตร์ที่ชื่อว่ามังกรมัจฉาเริงระบำของฉีโจว ซึ่งสั่งทำเพลงซาวด์แทร็กกับสตาร์ไลท์ก่อนหน้านี้
หลินเยวียนจะส่งเพลงกุหลาบแดงให้ก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่เพลงกุหลาบแดงยอดเยี่ยมหรือไม่เลยสักนิดเดียว!
คนเขาต้องการดนตรีประกอบซึ่งเข้ากันกับธีมของภาพยนตร์เรื่องมังกรมัจฉาเริงระบำ ถึงขั้นที่กำหนดสไตล์ของเพลงมาชัดเจน
ในตอนนั้นนักประพันธ์เพลงไม่น้อยของชั้นสิบทำออเดอร์นี้ไม่สำเร็จ หลินเยวียนเองก็มีเพลงปลายักษ์อยู่ในมือพอดี จึงทำออเดอร์นี้ได้สำเร็จ
มิน่าล่ะนักประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ถึงไม่อยากไปฉีโจว
นักประพันธ์เพลงส่วนใหญ่ก็ยังชอบการสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ เลือกเขียนเพลงออกมาจากแรงบันดาลใจมากกว่า ไม่ใช่การถูกผู้ว่าจ้างบอกให้สร้างสรรค์ผลงานตามความต้องการ ราวกับเป็นการเขียนเพลงเพื่อเขียนเพลง!
แต่ถึงอย่างนั้น…
หลินเยวียนซึ่งสามารถสั่งทำเพลงได้ย่อมไม่กลัวเรื่องแบบนี้ ในคลังเพลงของระบบมีเยอะแยะไป!
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย”
ซุนเย่าหั่วเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “รุ่นน้องนายพูดภาษาถิ่นฉีโจวได้มั้ย”
หลินเยวียนชะงักไป “คนที่นั่นพูดภาษากลางไม่ได้เหรอครับ”
ภาษาของซิลเวอร์บลูไม่ได้มีภาษาเดียวหรอกเหรอ?
ซุนเย่าหั่วส่ายหน้า “แน่นอนว่าคนที่นั่นพูดภาษากลางได้ บนบลูสตาร์มีใครบ้างที่พูดภาษากลางไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่เพลงฮิตของที่นั่น ส่วนมากจะร้องด้วยภาษาถิ่น ฉันจะร้องให้นายฟังสองประโยค…”
ซุนเย่าหั่วกระแอม ร้องว่า “หงอเหยฟุนเหนย เหนยเหยฟุนหงอเหม่า[1]”
หลินเยวียน “…”
พูดไปก็อาจไม่เชื่อ
นี่มันภาษากวางตุ้งไม่ใช่เหรอ
สิ่งที่เรียกว่าภาษาถิ่นของฉีโจว แท้จริงแล้วก็คือภาษากวางตุ้ง?
จะคิดสะระตะมากเกินไปก็ไม่ดี
เป็นโลกคู่ขนานอย่างที่คาดไว้
ซุนเย่าหั่วร้องจบ มองไปยังหลินเยวียน เอ่ยว่า “นายทำทั้งเนื้อร้องทั้งทำนอง อาจต้องทำตามสไตล์ของคนที่นั่น กลัวก็แต่ว่านายจะต้องร่วมงานกับนักแต่งเนื้อเพลงฝีมือดีแล้วแหละ”
หลินเยวียนไม่ได้แสดงความเห็น
ซุนเย่าหั่วสวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง แกะกุ้งให้หลินเยวียน “แน่นอนว่าทางนั้นก็มีเพลงภาษากลาง เพลงปลายักษ์ของนายก็ได้รับฟีดแบ็กจากทางนั้นดีทีเดียว เจียงขุยได้ไปออกอีเวนต์ที่นั่น เพลงที่ร้องก็คือเพลงนี้ แต่สรุปแล้ว เพลงภาษากลางที่ดังมีไม่มาก เมื่อเทียบกันแล้วภาษาถิ่นของฉีโจวจะได้เปรียบกว่า”
หลินเยวียนพยักหน้า
ถ้าหากมีเพียงเรื่องเหล่านี้ สำหรับหลินเยวียนแล้ว ฉีโจวก็ไม่ได้เป็นขุมนรกแต่อย่างใด
“แต่นายไปอยู่ตรงนั้นก็ไม่ต้องไปเครียดมาก”
ซุนเย่าหั่วเอ่ยเตือน “นักร้องตัวเล็กๆ อย่างฉันเข้าใจสถานการณ์ของบริษัทย่อยไม่มาก แต่จากเท่าที่ฉันรู้ เรียกว่าวุ่นวายทีเดียวเลยล่ะ ได้ยินว่าทางนั้นมีคดีความกับทางผู้ว่าจ้างตั้งหลายครั้ง เพราะรับเพลงสั่งทำมา แต่กลับทำผลงานที่ตรงกับความต้องการของผู้ว่าจ้างไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องขอความช่วยเหลือมาทางสำนักงานใหญ่ของเรา ให้มือทองออกโรง ในที่สุดก็แก้ปัญหาได้…”
หลินเยวียนพยักหน้าอีกครั้ง พลางงับกุ้งเข้าปาก
ซุนเย่าหั่วก็รีบแกะกุ้งอีกหลายตัว หลินเซวียนซึ่งมองดูอยู่ก็งงงันไป
เมื่อก่อนก็เคยมีคนทำแบบนี้ให้หลินเซวียน
ในตอนนั้นผู้ชายคนนั้นตามจีบหลินเซวียน แต่ก็ยังไม่ได้ละเอียดลออเอาใจใส่อย่างซุนเย่าหั่ว แม้แต่ถุงมือก็ยังลืมใส่…
“พี่ก็กินด้วยสิครับ”
ซุนเย่าหั่วแกะกุ้งให้หลินเซวียนอีกหลายตัว
เมื่อเห็นสายตางุนงงของหลินเซวียน ซุนเย่าหั่วก็กระแอมออกมาเบาๆ เอ่ยว่า “ประเด็นคือผมชอบแกะกุ้งให้คนอื่น ใช่ๆ ผมชอบแกะกุ้ง”
หลินเซวียน “…”
ความสนใจของซุนเย่าหั่วเบนกลับไปอยู่ที่หลินเยวียนอย่างรวดเร็ว พูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น “ถึงยังไงที่ฉีโจว ที่ไหนก็มีแต่ผู้ว่าจ้าง นักประพันธ์เพลงในบริษัทที่เคยไปฉีโจวมาก็เคยบ่นกันทุกคน บอกว่าที่นั่นมีแต่ท่านพ่อผู้ว่าจ้าง พวกนั้นไม่รู้เรื่องการสร้างสรรค์ผลงานเลย แต่ดันชอบชี้นิ้วสั่ง ชี้โบ้ชี้เบ้ให้นักแต่งเพลงทำผลงาน พอถึงตอนนั้นรุ่นน้องก็ต้องเจอผู้ว่าจ้างที่เอาใจยาก ไม่ต้องไปใส่ใจมากหรอก ไม่ต้องไปโมโห คิดซะว่าพวกเขาเป็นลูก…ไม่สิ คิดซะว่าพวกเขาเป็นหลานก็แล้วกัน!”
“อ้อ”
หลินเยวียนถามด้วยความสงสัย “งั้นทำไมก่อนหน้านี้หยางจงหมิงต้องไปฉีโจวด้วยล่ะครับ”
“จะพูดยังไงดีล่ะ…”
ซุนเย่าหั่วครุ่นคิด ก่อนตอบว่า “ถึงแม้ที่ฉีโจวจะไม่ได้เป็นมิตรกับนักแต่งเพลงเท่าไหร่ แต่เพลงภาษาฉีเพราะมาก น่าจะเป็นเพราะตัวภาษาเองเก้าเสียงหกโทน มีเสียงหลากหลายกว่าภาษากลางทั่วไป อาจารย์หยางคงไปเรียนภาษาฉีนั่นแหละ เขาก็ชอบการสร้างสรรค์ผลงานที่ทำทั้งเนื้อร้องทำนองเหมือนนาย ที่จริงแล้วมีนักประพันธ์เพลงหลายคนที่เรียนเขียนเนื้อเพลงนะ นักประพันธ์เพลงอย่างพวกนายคิดว่าตัวเองเข้าใจดีที่สุดว่าทำนองเพลงของตัวเองเหมาะกับเนื้อเพลงแบบไหนใช่มั้ยล่ะ”
ท่านพ่อผู้ว่าจ้าง?
หลินเยวียนพยักหน้า ผู้ว่าจ้างเอาใจยากจริงๆ นั่นแหละ
อีกอย่าง ซุนเย่าหั่วพูดไว้ไม่ผิด
ทั้งนักแต่งทำนองเพลงและนักแต่งเนื้อเพลงส่วนมากจะแยกกัน
แต่บนบลูสตาร์แห่งนี้ คนทำเพลงจำนวนมากล้วนแต่ชอบการเขียนทั้งทำนองและเนื้อเพลงของตนเอง
หลักการของพวกเขาก็คือ
ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าพวกเขาว่าบทเพลงของพวกเขาเหมาะสมกับเนื้อเพลงแบบไหน
แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเพลงของนักแต่งทำนองเพลงก็มักจะเขียนออกมาได้ไม่โดดเด่น ในตอนนั้นบริษัทก็จะยื่นมือเข้ามา สั่งการให้นักแต่งเนื้อเพลงมืออาชีพมาเขียนเนื้อร้องให้
นักแต่งทำนองเองก็จนหนทาง เขียนเนื้อเพลงไม่ดีพอจะทำอย่างไรได้
ดังนั้น การเขียนเนื้อร้องและทำนองให้ตัวเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่
หลินเยวียนเขียนได้ทั้งเนื้อร้องและทำนองให้เพลงของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่บริษัทส่งคนมาเขียนเนื้อเพลงให้ ก็เพราะเนื้อเพลงของเขาดีมากมาโดยตลอด ทางแผนกตรวจสอบของบริษัทไม่พบปัญหาอะไร อัตราความเข้ากันได้ของเพลงนั้นสูงมาก
ส่วนที่ซุนเย่าหั่วบอกว่าภาษาฉีมีเก้าเสียงหกโทน…
นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
ในความทรงจำของหลินเยวียน ระบบเสียงในภาษากวางตุ้งนั้นซับซ้อนกว่าภาษาจีนกลางมาก
ภาษาจีนกลางมีวรรณยุกต์เพียงสี่เสียง
แต่ภาษากวางตุ้งมาตรฐานยังคงรักษาเสียงรู่[2]ไว้
โดยแบ่งเป็นเสียง ‘อินกลาง หยางกลาง หยางบน อินบน หยางชวี่ อินชวี่ รู่กลาง หยางรู่’ ทั้งหมดเก้าเสียง
ภาษากวางตุ้งมีพยัญชนะต้น 19 ตัว
‘ริมฝีปาก ลิ้น ฟัน เพดาน คอ’
มีห้าฐานกรณ์ในการออกเสียงทั้งห้าเสียง
ตัวสะกด 59 ตัว
เรื่องนี้น่าจะทำให้ส่วนหนึ่งรู้สึกว่าเพลงภาษากวางตุ้งไพเราะกว่าเพลงภาษาจีนกลาง?
ฉินโจวเป็นดินแดนแห่งเพลงภาษากลาง!
ดังนั้นหลินเยวียนเกือบคิดไปแล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีภาษากวางตุ้ง
เขานึกไม่ถึงจริงๆ
สิ่งที่เรียกว่าภาษาถิ่นฉีโจว ก็คือภาษากวางตุ้งนั่นเอง
จะโทษที่ความทรงจำของเจ้าของร่างนั้นมีน้อยนิด หรือไม่ใส่ใจโลกก็ไม่ได้
การสื่อสารระหว่างทวีปนั้นมีธรรมเนียมการใช้ภาษาถิ่น
แต่ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว
บนโลกนี้ก็มีภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษารัสเซีย หรือแม้แต่ภาษาเกาหลี?
เพียงแต่อยู่ในรูปของภาษาถิ่น?
เดี๋ยวจะต้องไปหาข้อมูลสักหน่อย
ในระบบของหลินเยวียน คงมีเพลงของโลกหน้าอยู่ไม่น้อยที่เป็นภาษาอื่น
ถ้าหากไม่มีพื้นฐานของภาษาละก็ เขาจะต้องเขียนเนื้อเพลงขึ้นใหม่ เปลี่ยนเป็นเวอร์ชันภาษาจีนกลาง เดิมทีหลินเยวียนวางแผนไว้แบบนั้น
มีบางเพลงที่ทำเช่นนี้ได้ ตัวอย่างเช่นเพลงความฝันแรก ซึ่งเป็นเพลงที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น
ทว่ามีบางเพลงที่เมื่อแปลงไปแล้ว ก็จะลดความน่าสนใจลง
ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าเนื้อเพลงทุกประเภทจะเข้ากับทำนองได้ดี
…………………………………………………
[1] หงอเหยฟุนเหนย เหนยเหยฟุนหงอเหม่า เป็นประโยคที่แปลงมาจากเนื้อร้องภาษากวางตุ้งของเพลง ‘ชอบเธอ (喜歡你)’ โดย BEYOND วงร็อกสัญชาติฮ่องกง ภายหลังเติ้งจื่อฉี (G.E.M.) ได้นำมาขับร้องใหม่
[2] เสียงรู่ เป็นเสียงในภาษาจีนโบราณ