อีอูยอนเอนตัวลงบนเบาะหลัง และเฝ้ามองฝีมือการขับรถของผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ ฝีมือในการหมุนพวงมาลัยของอีกฝ่ายใช้ได้พอสมควร ความสามารถในการขับรถเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบเอาไว้ เพราะการขับรถพาดาราที่อยู่ภายใต้ความดูแลของตนไปยังสถานที่อื่นได้อย่างรวดเร็วและปลอดภายในระยะเวลากำหนด เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการส่วนตัว แต่บางครั้งก็มีคนที่จำรถของดาราได้ และจงใจทำให้เกิดอุบัติเหตุเหมือนกัน ถ้าพวกดาราถูกคนกล่าวถึงด้วยเรื่องที่ไม่ดี ไม่ว่าตัวเองจะเป็นคนผิดหรือไม่ มันก็จะกลายเป็นปัญหา เพราะในวงการนี้คนส่วนมากให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าปัญหานั้นจะตื่นเต้นเร้าใจมากแค่ไหน มากกว่าการสงสัยในความจริงอยู่แล้ว
การใช้รถเป็นเครื่องมือในการทำให้ผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่มีความชำนาญในการขับรถทำเรื่องผิดพลาดก็ดีเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะใช้วิธีนั้นกับผู้จัดการส่วนตัวในคราวนี้ไม่ได้ ยากที่จะหาช่องว่างในท่าทางที่กวาดตามองทั้งด้านหน้าและด้านหลังก่อนขับรถ
แต่ช่างมันเถอะ ถ้าจับตาดูไปเรื่อย มันก็น่าจะมีส่วนที่ผิดพลาดเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว หรือถ้าไม่มี เขาจะทำให้มันมีเอง
อีอูยอนฝังหน้าลงกับเบาะรถและหลับตาลง แล้วผู้จัดการส่วนตัวที่ขับรถอย่างเงียบๆ ก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า ‘ให้ผมเปิดเพลงไหมครับ’
เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง คนโง่ที่ไม่สามารถแนะนำตัวเองอย่างเหมาะสมได้ด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็พูดว่าจะให้เปิดเพลงไหม อีอูยอนเกลียดการฟังเพลงที่ไม่ถูกกับรสนิยมของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับนิสัยของอีอูยอนแล้ว นี่เป็นวิธีที่แข็งกร้าวมากๆ ที่เขาใช้ไล่ผู้จัดการส่วนตัวคนที่ห้าในปีนี้ออกไปภายในสองอาทิตย์ เพียงเพราะหมอนั่นเอาแต่เปิดเพลงของวงเกิร์ลกรุ๊ปที่เสียงดังน่าหนวกหู เขาเป็นพวกที่ยอมนั่งรถแท็กซี่เสียยังดีกว่าต้องมาฟังเพลงที่ไม่ใช่รสนิยมของเขา แต่เขาไม่สามรถเปิดเผยนิสัยแบบนั้นให้ผู้จัดการส่วนตัวที่เจอกันเป็นครั้งแรกรู้ได้
“ครับ ทำตามที่คุณสบายใจเลย”
ทันทีที่ได้ยินคำอนุญาตจากอีอูยอน ชเวอินซอบก็ดัน CD ที่เขาพกมาเข้าไปในช่องเล่นแผ่นเสียงภายในรถ อีอูยอนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง เขาหงุดหงิดขึ้นมาล่วงหน้าว่าจะต้องได้ยินเพลงของไอดอลหญิงที่ร้องงึมงำๆ ดังออกมาอย่างแน่นอน อีอูยอนคิดว่าโชคดีแล้วที่อีกฝ่ายไม่เห็นสีหน้าของเขาเพราะภายในรถมันมืดพลางหลับตาลง
ทันทีที่ได้ยินเสียงทำนองที่คุ้นหูดังขึ้นมา อีอูยอนที่หลับตาอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตา
‘Historia de un amor’ เรื่องเล่าของความรัก
มันเป็นเพลงที่เขาชอบที่สุด ไม่มีทางที่ผู้จัดการส่วนตัวจะรู้ความจริงนี้แล้วเปิดขึ้นมาได้แน่ แต่พอคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแล้ว มันกลับเป็นเรื่องบังเอิญที่ทำให้เขาอารมณ์ดี อีอูยอนหลับตาลงอีกครั้งและฟังเพลงต่อไป เพราะอีกฝ่ายขับรถเก่งหรือเปล่านะ เขาถึงได้รู้สึกอารมณ์ดีแม้ตัวรถจะโคลงเคลง
‘ตอนนี้คุณผู้เป็นที่รักของฉันไม่ได้อยู่ข้างฉันอีกต่อไปแล้ว…ยิ่งฉันรักคุณมากเท่าไร ฉันก็จะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้นหรือเปล่านะ…มันเป็นเหตุผลถึงการมีอยู่ของฉัน…ความดีและความเลวทั้งหมดสำหรับฉัน…ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว’
เนื้อเพลงดังขึ้นซ้ำๆ ในตอนที่การร้องซ้ำรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้จบลง เขาก็ได้ยินเสียงเรียบๆ ดังขึ้น
“ถึงแล้วครับ”
พอลืมตาขึ้นมา เขาก็อยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินแล้ว ชเวอินซอบลงจากที่นั่งของคนขับมาเปิดประตูให้เขา อีอูยอนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แต่ก็พูดว่าขอบคุณเสริมขึ้นมา
“ขับรถเก่งมากเลยนะครับเนี่ย”
“…ผมฝึกมาครับ”
อีกฝ่ายตอบคำตอบที่ดูจะระมัดระวังกลับมา อีอูยอนหัวเราะ มีคนที่ฝึกขับรถเพียงเพื่อจะมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วยเหรอเนี่ย น่าสมเพชกว่าที่คิดไว้อีก
อีอูยอนหันหน้าไปมองคนที่เขาคิดว่าน่าสมเพช เขาค่อยๆ พิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มที่ยืนรวบมือไว้ข้างหน้าเหมือนกับเด็กนักเรียนที่ถูกทำโทษอย่างละเอียด
อีกฝ่ายมีใบหน้าเหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่ค่อยโต เพราะรอยกระที่เห็นจางๆ กับผิวขาวๆ อีอูยอนมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ทำตัวไม่ถูกเพราะความกลัว และคิดว่าคราวนี้ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย
“…!”
ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่หันหน้าหนีไปทันทีที่สบตากัน อีอูยอนก้มหัวก่อนที่จะหันหลังไป
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนรู้สึกสงสัยกับคำบอกลาที่ได้ยินมาจากทางด้านหลัง มีอะไรให้ต้องขอบคุณกันล่ะ
แต่ความคิดเกี่ยวกับผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่หายไปจากหัวของเขาในทันที เดิมทีเขาไม่ได้มีนิสัยสนใจคนอื่นอยู่แล้ว
“กลับบ้านดีๆ นะครับ”
“ครับ”
ชเวอินซอบยืนมองหลังของอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งอีอูยอนหายเข้าไปในลิฟต์
***
ซองจดหมายที่คุ้นตาเป็นอย่างดีโผล่เข้ามาในสายตาของอีอูยอนที่กำลังไล่ดูบรรดาจดหมายทั้งหมดที่เขาหยิบออกมาจากตู้จดหมาย บนกระดาษราคาแพงมีชื่อจริงของอีอูยอนถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมือเรียบร้อย
Philip Levin
ชื่อที่แม้แต่ตัวเขาเองยังลืมไปแล้วผุดขึ้นมาในความทรงจำด้วยจดหมายที่เขาได้รับเดือนละครั้ง เขาใช้มือแกะซองจดหมายอย่างไม่ลังเล
ภายในซองจดหมายมีเพียงโปสการ์ดใบเดียว ด้านหลังของโปสการ์ดมีกลอนวรรคหนึ่งจากบทกวีของริลเก้[1] เขียนเอาไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยสวยงามเช่นเดียวกัน อีอูยอนหลุดหัวเราะออกมาทางจมูก แล้วดันโปสการ์ดใบนั้นไปอยู่ด้านหลังจดหมายฉบับอื่น
มันเป็นจดหมายที่เขาได้รับเดือนละครั้งเมื่อไม่นานมานี้เอง เขาคิดว่าเขาจะไม่พูดเกี่ยวกับความเป็นมาของตัวเองให้ใครก็ตามรู้ เพราะฉะนั้นตอนที่เขาได้รับจดหมายนี้ครั้งแรก เขารู้สึกงงงวยไม่น้อย แม้เขาจะเป็นอีอูยอนที่ไม่ตกใจกับเรื่องที่ควรจะตกใจก็ตาม นี่มันเป็นการข่มขู่แบบใหม่หรือเปล่านะ เขาคิด และรอที่จะเข้าใกล้ตัวผู้ร้าย แต่เขากลับไม่ได้รับการติดต่อเพื่อเรียกร้องเงินจากคนคนนั้นเลย และหลังจากนั้นเขาก็ได้รับโปสการ์ดแบบนี้อีกเหมือนเดิม
ข้อความทั้งหมดมีแค่กลอนวรรคหนี่งถูกเขียนที่ด้านหลังของโปสการ์ดที่เขาได้รับเดือนละครั้งเท่านั้น
ทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น ไม่มีข้อเรียกร้องหรือการข่มขู่อะไรเลย นี่มันผ่านมาแล้วหนึ่งปีนับตั้งแต่ตอนที่อีอูยอนได้รับจดหมาย เขาหยุดค้นหาตัวตนที่แท้จริงของคนส่งไปแล้ว และเขาก็ได้รู้ว่าจดหมายนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขาเลย
ในตอนแรกเมื่อได้รับจดหมายเขาจะไม่เปิดมันออกมาอ่านและโยนมันทิ้งถังขยะ หรือไม่ก็เผามันทิ้ง แต่เดี๋ยวนี้เขาตัดสินใจอ่านข้อความที่อยู่ข้างในบ้างเป็นบางครั้ง
“ริลเก้เหรอ…”
ผู้หญิงที่อยู่ด้านในลิฟต์ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของอีอูยอนและหันหลังกลับมาเหลือบมองเขา อีอูยอนพยายามสวมรอยยิ้มลงบนใบหน้าที่เรียบเฉยและผงกศีรษะให้เธอ ผู้หญิงที่เคยเจอกันในลิฟต์อยู่ไม่กี่ครั้งจำอีอูยอนได้ และเธอก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมา
หลังจากที่เธอทักทายเขาและออกจากลิฟต์ไปแล้ว อีอูยอนก็กลับมาทำหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่สี่สิบเก้า อีอูยอนล้วงมือเข้าไปหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าด้วยความเคยชิน และกดปุ่มลิฟต์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะทำมันหล่นในรถ ต่อให้เขากลับไปตอนนี้มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาจะยังอยู่ที่เดิม แต่ถึงอย่างนั้นการไปเช็คดูก็…
“…”
ในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกตรงลานจอดรถชั้นใต้ดิน อีอูยอนกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่ ชเวอินซอบกำลังยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์
“คุณลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ครับ…”
อีอูยอนมองท่าทางที่อีกฝ่ายถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างและโน้มตัวเพื่อยื่นมันให้เขาราวกับคนที่กำลังถวายสมบัติล้ำค่าให้กษัตริย์อย่างไรอย่างนั้น เขารู้สึกว่านี่มันคาดไม่ถึงเอาเสียเลย
“ขอบคุณครับ ว่าแต่เจอมันได้ยังไงกันครับ มันน่าจะอยู่ที่เบาะหลังนี่”
“อ่า ครับ คือ…คือผมกำลังจะทำความสะอาดเบาะหลังน่ะครับ…”
อีอูยอนยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มือถือมาถือไว้ เขาคิดแค่ว่า แบบนี้ก็ทำให้เรื่องที่จะกลายเป็นปัญหาลดลงไปสินะเนี่ย เพราะนิสัยรักสะอาดไม่เข้าท่าของผู้จัดการคนใหม่แท้ๆ ชเวอินซอบที่ยืนอยู่ตรงนั้นค่อยๆ พูดต่ออย่างกระท่อนกระแท่นอีกสองสามคำ เพราะคิดว่าตัวเองยังอธิบายได้ไม่ดีพอ
“ผมไม่ได้ไล่เช็คเบาะหลังเพราะมีเจตนาอื่นนะครับ…”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ งั้นผมเข้าไปแล้วนะครับ”
อีอูยอนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยกับใครอีกต่อไป ความเหนื่อยล้าอัดแน่นขึ้นมาจนถึงหัวของเขา แม้แต่การสวมใส่หน้ากากที่มีใบหน้าอ่อนโยนก็มีขีดจำกัด อีอูยอนบอกลาผู้จัดการส่วนตัวและขึ้นลิฟต์ไปอีกครั้ง
ตอนที่เขาถอดรองเท้าตรงประตูหน้าบ้านและก้าวเท้าเข้ามาในบ้านโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
กรรมการผู้จัดการคิม
เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะรับดีไหม แต่ด้วยนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว กรรมการผู้จัดการคิมจะต้องรอสายจนกว่าเขาจะรับอย่างแน่นอน เขาจึงกดรับสาย
“ว่าไงครับกรรมการผู้จัดการ”
[วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม]
“ครับ ไม่มีเรื่องอะไรเลย”
อีอูยอนถอดสูทตัวนอกที่เขาสวมอยู่ออกและโยนมันลงบนโซฟาก่อนจะตอบ
[แล้วคนที่มาใหม่เป็นยังไงบ้าง]
“ใครครับ อ๋อ ผู้จัดการส่วนตัว”
ตลอดเวลาที่ขึ้นลิฟต์มาเขาลืมเรื่องเกี่ยวกับผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ไปเสียสนิท ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นของอีอูยอนอยู่ในระดับนั้นมานานแล้ว
“เหมือนจะเป็นคนดีแล้วก็จริงใจครับ”
ที่เขาพูดได้ก็คืออีกฝ่ายถึงขนาดทำความสะอาดเบาะหลังทันทีที่เขาลงจากรถเลยล่ะ แต่สิ่งที่อีอูยอนต้องการไม่ใช่ผู้จัดการที่เป็นคนดีและจริงใจ เขาต้องการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวทุกๆ สามเดือนเท่านั้น
[อย่าพูดอะไรที่ไม่จริงใจอย่างนั้นสิ เป็นไงบ้างล่ะ เขาใช้ได้หรือเปล่า แล้วเขาจะทำงานได้นานไหม]
“ก็ไม่รู้สิครับ จะทำงานได้นานหรือไม่เป็นปัญหาที่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเจ้าตัวนะครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วคลายปมเน็กไทออกและนั่งลงบนโซฟา
[แค่นายไม่แกล้งเขาก็พอแล้ว การหาคนมันก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ]
มีคนสมัครเข้ามาเยอะเพราะเป็นตำแหน่งที่มีข้อเสนอดีกว่าปกติ แต่มันก็เป็นอาชีพที่ไม่สามารถจะใช้ให้ใครที่ไหนก็ได้มาทำ
“ครับ ผมก็หวังว่าคนนี้จะอยู่นานเหมือนกัน”
อีอูยอนพูดคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือออกมาโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด เขาเกลียดการที่คนอื่นทำตัวติดกับเขาตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาจะเป็นอีอูยอนที่มีความสามารถโดดเด่นในการซ่อนตัวตนของตัวเองเอาไว้ แต่มันก็มีบางครั้งที่เขาแสดงนิสัยไม่ดีเหล่านั้นออกมา ระยะเวลาที่มากที่สุดที่เขาจะไม่แสดงมันออกมาคือสามเดือน ตอนที่ผู้จัดการส่วนตัวคนแรกส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาต่อหน้าเขาและเคี้ยวปลาหมึกเสียงดังอยู่ในรถ จนทำให้เขาทนไม่ไหวและตะโกนด่าออกไปว่า ‘ไอ้หมูเอ๊ย’ ก็คือช่วงเวลาประมาณสามเดือน ตอนนั้นผู้จัดการส่วนตัวตกใจจนจอดรถและเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าเขาจะแต่งเรื่องกลบเกลื่อนขึ้นมาว่าตัวเองกำลังท่องบทอยู่ แต่อีอูยอนก็รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองได้ถูกทำลายลงไปแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็กำจัดผู้จัดการคนใหม่ให้ออกไปได้ภายในสามเดือนโดยไม่เกี่ยงวิธี
ไม่ว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่จะเป็นอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอีอูยอน แค่เขากำจัดอีกฝ่ายออกไปได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่เหมาะก็พอแล้ว
[ฮ่าฮ่าฮ่า บางทีเขาอาจจะอยู่นานนะ]
เสียงของกรรมการผู้จัดการที่หัวเราะอยู่ที่ปลายสายฟังดูไม่ปกติ อีอูยอนถามกลับไปสั้นๆ ว่าทำไมเหรอครับ
[ก็เพราะเจ้านั่นเป็นแฟนคลับของนายน่ะสิ]
“อย่างนั้นเหรอครับ”
[เขาบอกว่าเขาเป็นแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ตัวจริงเลยล่ะ เขาไม่พลาดผลงานของนายเลยสักชิ้น]
อีอูยอนเห็นคนที่พูดแบบนั้นเพื่อที่ดาราจะได้ประทับใจมานับไม่ถ้วน และเขาก็ปล่อยให้คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมผ่านไปอย่างไม่สำคัญ
“ดีเลยครับ”
[เขาจะต้องเข้ากับนายได้ดีแน่ๆ อย่าจ้องจับผิดเขามากนัก แล้วก็ใช้งานเขาดีๆ ล่ะคราวนี้]
เขาฟังคำว่าใช้งานดีๆ อย่างนึกสนุก อีอูยอนตอบไปอย่างมีมารยาทว่าครับและวางสาย
ตอนที่เขาออกมาที่ห้องนั่งเล่นหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ อีอูยอนก็พบว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามาที่เครื่องของเขา เป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของเขานั่นเอง
[สวัสดีครับ ผมชเวอินซอบนะครับ ผมได้เบอร์ของคุณมาจากหัวหน้าทีมชาครับ มะรืนนี้ตอนตีห้าผมจะรอคุณอยู่ที่ลาดจอดรถนะครับ ขอให้เป็นค่ำคืนที่ดีครับ]
อีอูยอนหัวเราะหึๆ ให้กับประโยคสุดท้ายที่น่าจะเป็นบริกรของคลับแห่งไหนสักแห่งส่งให้เขามากกว่า เขาเปิดเครื่องเล่นเพลงและหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อวานขึ้นมา จากนั้นก็ไม่เหลือเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับชเวอินซอบในหัวของเขาอีกเลย
[1] ริลเก้ กวีนักเขียนนิยายชาวออสเตรียน