เรามาทำไม
อีอูยอนก็ถามตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
มาทำไม เรามาที่นี่ทำไม
เขาเงยหน้าขึ้นสำรวจภายในห้องน้ำเพื่อหาคนที่มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในมือ เขานิ่วหน้าให้กับกลิ่นเหม็นแสบจมูกอันเป็นเอกลักษณ์ของห้องน้ำสาธารณะ ฝูงชนที่กำลังรอเขาอยู่ที่ด้านนอกยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมา
ช่างไร้ยางอายกันจริงๆ
ไม่ว่าจะชอบผู้ชายขนาดไหนก็เถอะ แต่ถึงกับต้องทำแบบนี้อยู่หน้าห้องน้ำเลยเหรอ สงสัยฮอร์โมนที่ระงับความกระดากอายจะหลั่งออกมาตอนตามืดบอดเพราะดาราล่ะมั้ง แต่พอนึกถึงพวกผู้หญิงที่คอยยืนรออยู่หน้าห้องอาบน้ำหรือห้องล็อคเกอร์สมัยอยู่ที่อเมริกา ก็ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวเอเชียเพียงอย่างเดียวแล้วล่ะ
อีอูยอนสะบัดมือให้แห้งพลางนึกถึงภาพของคนที่ทะเลาะตบตีกันในขณะที่รอตนอยู่หน้าห้องล็อคเกอร์ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่ที่ริมฝีปากปากอวบอิ่มของเขา
เขานึกชื่อหรือหน้าของพวกผู้หญิงที่ทะเลาะกันอย่างไม่สนใจเขาไม่ออกด้วยซ้ำ เขานึกออกแค่ว่ามันเป็นการทะเลาะกันของนางพญาผึ้งสองฝูงที่ดูดีที่สุดในโรงเรียนและภาพของคนที่มุงดูอยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าสนุกสนานเท่านั้น
ช่างเป็นภาพที่น่าสนุกจริงๆ
อีอูยอนใช้มือที่ยังหมาดๆ อยู่ลูบริมฝีปาก
ด็อกเตอร์อาโนลด์ที่เป็นแพทย์ประจำตัวของเขาเคยบอกเอาไว้ว่า ‘นายจะเล่นกับความรู้สึกของคนไม่ได้’ ไม่สิ หรือจะเป็นด็อกเตอร์เฮนรี่นะ ไม่ว่าจะเป็นใครเขาก็ไม่สนใจหรอก เพราะเขาถูกสอนให้ท่องจำเรื่องนั้นมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
เขาเห็นด้วยกับคำพูดของหมอที่รักษาเขาตอนแปดขวบว่า ‘อีกฝ่ายเป็นคนที่มีความรู้สึก และความรู้สึกนั้นเป็นส่วนที่จะต้องได้รับการเคารพ ไม่ว่าในกรณีไหนเราก็เล่นกับความรู้สึกของคนไม่ได้’ แม้ว่าจะได้รับการรักษาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่เขาก็ได้รู้ความจริงว่าตนเองไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และในวันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจยอมรับความจริงนั้น เขาคิดว่าถ้าทำความเข้าใจกับมันไม่ได้ ก็แค่ท่องจำให้ได้ก็พอแล้ว
แต่บางครั้งเขาก็ต้องยอมรับการมีอยู่ของอารมณ์ที่ไม่สามารถท่องจำได้ วันนี้การกระทำของผู้จัดการส่วนตัวที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่วันนี้ก็เป็นแบบนั้น ความรู้สึกของคนมักจะขยับไปตามรูปแบบที่เขาสามารถท่องจำได้เป็นอย่างดี แต่ชเวอินซอบกลับไม่เป็นแบบนั้น มันเป็นความสะเปะสะปะเหมือนกับคนที่ไม่มีแบบแผน การพยายามขยับตัวไปตามเส้นที่สะเปะสะปะนั้นดึงดูดสายตาของอีอูยอน เขาตื่นเต้นกับการกระทำของอีกฝ่ายที่เห็นเป็นครั้งแรก แม้เขาจะรู้ดีว่าพอเขาคุ้นเคยกับมันแล้ว ความตื่นเต้นก็จะหายไป แต่ความจริงที่ว่ามันดึงดูดสายตาเขาก็มาก่อนเป็นอันดับแรก
การกระทำนั้นทำให้เกิดความสนุกขึ้นภายในรถที่น่าเบื่ออย่างช้าๆ
อีอูยอนที่สวมแว่นกันแดดและใส่หมวกก่อนจะออกมาข้างนอกสำรวจภายในห้องน้ำอีกครั้ง เขาเห็นแค่อันธพาลคนหนึ่งที่ชำเลืองมองทางนี้ด้วยสายตาไม่สบายใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเท่านั้น อีอูยอนคิดว่าตนคงสวนกับผู้จัดการส่วนตัวพลางหันหลังกลับไปแล้วหยุดการขยับเท้าลง
เขาไม่น่าจะได้ยินผิดแน่ๆ
อีอูยอนหันหลังกลับไปดู ทันทีที่สบตากัน อันธพาลหัวทองที่ยืนอยู่ตรงส่วนท้ายของห้องน้ำก็กระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด อีอูยอนเดินไปทางท้ายห้องน้ำอย่างไม่ลังเลและกระชากลูกบิดประตู เขาดันอันธพาลที่ถามว่า ‘แกจะทำอะไร’ และขวางเขาไว้ออกไปก่อนจะใช้เท้าถีบประตูห้องน้ำ ลูกบิดประตูตกลงมาหลังจากที่เขาถีบไปสองสามครั้ง
ภาพที่ยากจะจำปรากฏแก่สายตาอีอูยอน
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ”
อีอูยอนถาม ความจริงถึงจะไม่ถาม ภาพตรงหน้าก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่มีตาสามารถรับรู้ได้ในครั้งเดียวว่าเป็นอะไร ผู้ชายหน้าตาน่าเกลียดกำลังกอดชเวอินซอบไว้จากทางด้านหลังในขณะที่ส่วนล่างตั้งตรง ใบหน้าของชเวอินซอบที่ถูกมือเปื้อนๆ ปิดปากเอาไว้เปื้อนไปด้วยน้ำตา ดูเหมือนผู้ชายที่เหลือบมองอีอูยอนตั้งแต่เมื่อกี้นี้จะเป็นคนดูลาดเลาหรือไม่ก็รอจะทำเป็นคนต่อไป
เขาไม่สนใจหรอกว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นพวกไหน การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้ทำให้อีอูยอนอารมณ์ไม่ดี แม้ความจริงเขาจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วสองสามครั้งก็ตาม แต่เขาก็อดที่จะทำหน้านิ่งไม่ได้ทุกครั้งที่เจอ มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่อยากจำ
สมัยที่เขายังเรียนอยู่ที่อเมริกา การรับมือกับคนที่มาชอบเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่พวกผู้หญิง เขาไม่แยแสพวกเกย์ขี้แพ้ที่ส่งสายตาเขินอายมาให้เขาที่ยืนอยู่ในจุดที่ดีเลิศที่สุดในทุกด้านเลยสักนิด มันเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าการหลับตาและลืมตาเสียอีก แค่คนเหล่านั้นไม่เป็นอันตรายกับตัวเขา และปล่อยมันผ่านไปโดยแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ความรู้สึกอันน้อยนิดหายไปจนหมดเลยสักนิด
แต่นี่เป็นคนที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้ อีอูยอนยื่นมือออกไปจับไหล่ของชเวอินซอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สายแล้วนะครับ”
เขาเพิ่มแรงและดึงตัวของอีกฝ่ายออกมาจากผู้ชายพวกนั้น อีอูยอนดึงชเวอินซอบออกมาจากข้างในด้วยการขยับมือที่เป็นธรรมชาติเหมือนการปัดฝุ่นสกปรกทิ้งไป และพูดต่อเหมือนกับว่าพวกผู้ชายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตา
“กรรมการผู้จัดการกับหัวหน้าทีมชาไปรอที่รถแล้วนะ คุณไปเถอะครับ”
“ผะ ผม…”
ภาพที่อีกฝ่ายไม่สามารถหายใจได้อย่างเป็นปกติและพยายามจะพูดอะไรสักอย่างด้วยริมฝีปากที่ซีดเซียวนั้นน่าสงสารจนน่ารังเกียจ
“เดี๋ยวผมค่อยฟังนะ”
เขาไม่คิดว่าตัวเขาเองอยากจะฟังสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในนั้น สิ่งที่สำคัญสำหรับอีอูยอนคือการหลุดออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจนี้
“ไปรอที่รถเถอะครับ”
“ผม…”
เขารู้สึกรำคาญชเวอินซอบที่พยายามจะอธิบายอะไรบางอย่างเพราะยังมีเรื่องที่อยากพูดอยู่ อีอูยอนเพิ่มแรงลงที่มือที่กำไหล่ของอีกคนเอาไว้และกระซิบด้วยเสียงต่ำๆ
“ผมไม่ได้ทำแบบนี้เพราะสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรอกนะครับ แต่ผมว่าไม่น่าจะมีอะไรดี เพราะสถานการณ์สกปรกๆ แบบนี้มันสะดุดตาคนอื่นน่ะครับ”
แม้จะเป็นเสียงเบาๆ แต่ก็ดังพอที่ชเวอินซอบและผู้ชายอยู่ติดกับพวกเขาจะได้ยินอย่างแน่นอน
“ว่าไงนะ สกปรกเหรอ แกว่ายังไงนะ”
ผู้ชายคนนั้นกระชากคอเสื้อของอีอูยอน ชเวอินซอบยื่นมือออกไปเพื่อจะห้ามเขา แต่อีอูยอนกลับเตือนเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ออกไปรอข้างนอกเถอะครับ”
“ไม่ครับ ผม…”
“ออกไปรอข้างนอกครับ”
แม้ตาเขาจะยิ้ม แต่เสียงของเขากลับเย็นชา ไหล่ของชเวอินซอบสั่น อีอูยอนดันไหล่ของชเวอินซอบออกไป ชเวอินซอบจัดเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยด้วยมืออันสั่นเทาก่อนจะออกไปด้านนอก ที่หน้าห้องน้ำมีผู้หญิงที่กำลังรออีอูยอนยืนอยู่สองสามคน ชเวอินซอบขาสั่นและจะต้องยืนพิงกำแพงหน้าห้องน้ำรออีอูยอน ผ่านไปไม่นานอีอูยอนก็เดินออกมาด้วยใบหน้าที่สะอาดสะอ้านไม่ต่างกับตอนปกติ
“ไปกันเถอะครับ สายแล้ว”
ทันทีที่อีอูยอนโอบไหล่ของชเวอินซอบและพูดแบบนั้น คนที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา มันเป็นภาพที่เหมือนกับตัวอย่างของดาราใจดีที่คอยดูแลผู้จัดการส่วนตัว
แต่มันไม่ง่ายสำหรับชเวอินซอบ เพราะเขาไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน ถ้าอีอูยอนไม่แกล้งทำเป็นกอดคอและประคองเขาไว้ เขาคงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวและทรุดลงตรงนั้น ชเวอินซอบพยายามจะอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำ แต่คนที่เข้ามามุงอยู่รอบๆ เพื่อดูอีอูยอนกลับมีมากเกินไป
อีอูยอนเพิ่มแรงลงไปที่มือที่โอบไหล่ของชเวอินซอบไว้ ชเวอินซอบสามารถเข้าใจความคิดภายในใจของอีกฝ่ายได้ทันทีผ่านการขยับเล็กๆ นั้น
‘อย่าทำอะไรไร้สาระ’
แม้เขาจะส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่เสียงที่พูดออกมานั้นกลับไม่น่ากลัวเลย เขารู้สึกว่าเจตนาร้ายของอีกฝ่ายไหลเข้ามาในตัวของเขาได้ด้วยการขยับมือง่ายๆ เพียงอย่างเดียว ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน ชเวอินซอบเอามือปิดปากไว้
“รู้สึกไม่ดีเหรอครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่ถามแบบนั้นอ่อนโยนและสายตาของเขาก็อ่อนโยนด้วยเหมือนกัน
แต่ชเวอินซอบไม่สามารถยืนพิงอีกฝ่ายได้อีกต่อไปแล้ว เขาหายใจไม่ออก เขาไม่สามารถหายใจได้เหมือนกับใครบางคนดูดเอาอากาศที่อยู่รอบตัวเขาไปจนหมด ถึงเขาจะรู้ว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ด้วยสภาพหัวใจแบบนี้ทำให้เขาเป็นโรคลมชัก ความรู้สึกเหมือนกับจะจมน้ำ เขาดันอีอูยอนออกไป มันดูเป็นการกระเสือกกระสนเพื่อเอาชีวิตรอด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะแกว่งมืออย่างไร แต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือการผลักอีอูยอนออกไปให้ไกลที่สุด
แม้ความจริงเขาจะผลักอีอูยอนให้ห่างออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ตาม แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับชเวอินซอบ
หลอดลมที่เหมือนถูกรัดเอาไว้เปิดโล่ง เขาไอและน้ำลายก็ไหลออกมา ชเวอินซอบไอโขลกๆ อยู่สักพักจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่สุภาพเรียบร้อยดังมาจากด้านหลัง
“คนกำลังมองนะครับ”
“…”
“เพราะฉะนั้นผมจะพาคุณไปที่รถเอง”
แม้การแสดงออกจะเป็นห่วง แต่ชเวอินซอบรู้ดีว่าอีกคนไม่ได้ห่วงเขาเลยแม้แต่ปลายเล็บ อีอูยอนรออยู่ข้างๆ ชเวอินซอบจนกระทั่งเขาเงยหน้ามา
“…ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ อย่าใส่ใจเลย”
ชเวอินซอบเห็นรอยเลือดเล็กๆ เปื้อนอยู่บนเสื้อของอีอูยอนที่พูดแบบนั้น แต่เขาไม่เห็นรอยแผลบนหน้าของอีกฝ่ายเลย
ชเวอินซอบเหลือบมองไปทางห้องน้ำที่ตนออกมาเมื่อสักครู่นี้อย่างอ่อนแรง เขาไม่แน่ใจว่าถ้าเขาเข้าไปในนั้นเขาจะเจอหลักฐานที่เขาพยายามตามหาหรือเปล่า แต่เขาไม่สามารถหันเท้ากลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว แค่คิดว่าจะต้องกลับเข้าไปในนั้นอีกครั้งเขาก็หมดแรงและหายใจหอบ
“ไปครับ”
อีอูยอนจับแขนของชเวอินซอบเอาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะไม่โดนผลักออกไปอย่างง่ายดายเหมือนเมื่อสักครู่นี้จากมือที่แข็งแรง อีอูยอนเลือกที่จะลากแขนเขาขึ้นรถ เขาไม่เคยรู้สึกคับแค้นใจกับความอ่อนแอของตัวเองจนน้ำตาไหลขนาดนี้เลย