“คิดยังไงบ้างคะที่มีข่าวลือแบบนั้นเกิดขึ้น”
“ฮ่าๆๆ มีข่าวลือแบบนั้นเกิดขึ้นเหรอครับ”
แม้อีอูยอนจะหัวเราะอย่างสบายๆ แต่เขากำลังด่ากราดอีกฝ่ายในใจอย่างเต็มที่ นักข่าวคิมแฮชินที่โด่งดังในเรื่องของการกัดไม่ปล่อยโยนคำถามใส่เขา มันเป็นคำถามที่เหมือนกับคำถามเมื่อสักครู่นี้ เพียงแค่เปลี่ยนคำบางคำ
“ค่ะ เท่าที่ฉันทราบมา แค่ปีที่แล้วปีเดียวคุณก็เปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวไปถึงห้าคนเลยนะคะ แล้วปีนี้ก็คงจะเปลี่ยนเยอะอีกเหมือนกัน มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“เมื่อสักครู่ผมก็บอกไปแล้วนี่ครับ พวกเขายื่นใบลาออกด้วยตัวเอง แล้วทุกคนก็มีเหตุผลในการลาออกเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น คุณไม่มีเรื่องอื่นจะถามแล้วเหรอครับ”
จุดประสงค์ของการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือเพื่อถามคำถามเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่จะเปิดตัวในเดือนหน้า แต่ทันทีที่เขานั่งลง คุณนักข่าวก็สาดคำถามเกี่ยวกับผู้จัดการส่วนตัวใส่เขาอย่างไม่ยอมแพ้ราวกับหมาบ้า
“คุณไม่คิดว่าการลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัวมันถี่เกินไปหน่อยเหรอคะ ดาราที่มีภาพลักษณ์ดีขนาดคุณอีอูยอน เขาไม่เปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวกันบ่อยๆ หรอกนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวล่ะมั้งครับ”
อีอูยอนยิ้มและยกแก้วกาแฟขึ้น
นี่แกคงจะแสดงผลงานชิ้นเอกอยู่สินะ ไม่ว่าเขาจะตอบอะไรออกไป อีกฝ่ายก็คงจะลงพาดหัวด้วยคำที่ดึงดูดใจและใส่สีตีไข่ลงไปตามใจตัวเองอยู่แล้ว นี่ฉันจะต้องนั่งสัมภาษณ์อยู่ตรงนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน อีอูยอนคิด
“ก็ไม่รู้สินะคะ พอฉันมาทำอาชีพนักข่าวถึงได้รู้ว่า ‘ถ้าไม่มีมูล หมามันก็ไม่ขี้’ หรอกค่ะ แล้วคุณอีอูยอนล่ะคะคิดยังไง”
“ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษนะครับ”
อีอูยอนวางแก้วกาแฟลง เขารู้สึกถึงขีดจำกัดของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แต่พอดูนาฬิกาแล้ว เขาเพิ่งมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ไม่ถึงสิบนาที
ในเวลาแบบนี้ถ้าใครสักคนเกิดตายขึ้นมา แล้วเขาสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการออกไปจากที่นี่ได้ก็คงจะดีไม่น้อย
อีอูยอนเก็บความคิดอันน่ากลัวเอาไว้ภายในหัวและอมยิ้ม
“คุณอีอูยอนคิดยังไงกับข่าวลือที่ว่าคุณมักจะแกล้งผู้จัดการส่วนตัวจนเขาลาออกกันไปหมดคะ แล้วสมมติฐานที่ว่าภาพลักษณ์ที่ถูกฉาบไว้ของคุณอีอูยอนเป็นสิ่งที่ถูกคิดคำนวณมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เพื่อให้มันเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ล่ะคะ คิดว่ายังไง”
มันเป็นหนึ่งในคอมเมนต์แย่ๆ ที่ถูกโพสต์คู่กับข่าวของอีอูยอนอยู่มากที่สุด แม้เขาจะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโดยไม่มีแอนตี้แฟนสักคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่คอมเมนต์ดีๆ เกี่ยวกับเขาเสมอไป ในบรรดาคอมเมนต์แย่ๆ ที่ถูกโพสต์อยู่ในข่าวของเขาเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่อีอูยอนเห็นข้อความที่บอกว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เขาก็จะแสยะยิ้มราวกับว่าเขาสนุกกับมันเป็นอย่างมาก
“คนเราจะไปสมบูรณ์แบบได้ทุกเรื่องได้ยังไงกันล่ะครับ ผมเองก็เป็นคนเหมือนกันนะ แน่นอนว่าตัวผมเองก็ต้องมีข้อเสียอยู่แล้วครับ”
ทันทีที่เขาเอ่ยคำตอบที่เกือบจะเป็นคำตอบตายตัวกลับไป นักข่าวคิมแฮชินก็ยิ้มและเอาสมุดโน้ตของตัวเองมาให้เขาดู
“ดูนี่สิคะ นี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนเข้ามาใหม่และลาออกไปใช่ไหมคะ ตอนที่คุณเห็นสิ่งนี้ คุณไม่คิดอะไรบ้างเหรอคะ”
อีอูยอนมองวันที่ที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างแน่นเอี้ยดและยิ้มอย่างสดใส
ให้ตายสิไอ้เวรนี่…
สายตาของอีอูยอนที่กำลังสาดคำด่าไปทางนักข่าวอยู่ภายในใจเป็นประกาย เขาเรียกชื่อผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง
“อินซอบ!”
“…!”
ชเวอินซอบที่ยืนอยู่ด้านหลังกระถางต้นไม้อันใหญ่ตกใจทำตาโตราวกับแมวที่ถูกจับหาง
“อินซอบ ได้ยินว่ามาทำงานแถวนี้นี่นา แล้วนี่แวะมาดื่มกาแฟเหรอ”
อีอูยอนทำตัวมีมารยาทมากๆ แม้แต่กับผู้จัดการส่วนตัว แต่การพบปะกันตามมารยาทกับการพบปะกันเป็นการส่วนตัวนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เขาเป็นคนประเภทที่จะไม่ออกไปไหนหรือติดต่อกับผู้จัดการเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าตัวเขาเองก็จะไม่สั่งให้ผู้จัดการส่วนตัวพูดอย่างเป็นกันเองกับตนโดยเด็ดขาด ชเวอินซอบไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ตกใจกับการที่อีอูยอนซึ่งเป็นคนแบบที่ว่านั้นเรียกแค่ชื่อของเขาโดยไม่เรียกนามสกุลทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน
“พี่จะเลี้ยงกาแฟนายเอง”
“เอ่อ…คือว่า…”
อีอูยอนหันไปขออนุญาตกับนักข่าวว่า ’ขอเวลาเดี๋ยวนะครับ’ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่ เขาตบบ่าของชเวอินซอบถามเขาว่าเขาจะดื่มอะไรดี
“…จะดื่มอะไรดีน้า เอาอะไรดีล่ะ”
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามแนวกระดูกสันหลังของชเวอินซอบที่แกล้งทำเป็นดูเมนูและพึมพำกับตัวเอง เขาเห็นว่าบรรยากาศของอีอูยอนดูไม่ปกติจึงเดินเข้ามาในร้าน และถูกกวาดเข้ามาในสถานการณ์ที่ไม่น่าวางใจนี้
“เลือกอะไรมาก็ได้ เอาตามที่ชอบเลย”
ชเวอินซอบรับรู้ได้ถึงเนื้อหาที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในคำพูดของอีอูยอนดี มันเป็นคำข่มขู่ที่แต่งแต้มความอ่อนโยนลงไป มันหมายความว่าไม่ต้องคิดเยอะ เลือกอะไรก็ได้มาเถอะ
“เอาอเมริกาโน่ร้อนครับ”
ทันทีที่ชเวอินซอบสั่ง อีอูยอนก็หยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าสตางค์และยื่นให้พนักงาน พนักงานแอบมองหน้าของอีอูยอนก่อนที่จะรับการ์ดไป
“รบกวนเซ็นชื่อตรงเครื่องรูดบัตรให้ด้วยค่ะ”
อีอูยอนยิ้มและหยิบปากกาขึ้นมา ตอนนั้นเองชเวอินซอบก็เห็นว่าปลายนิ้วมือของอีอูยอนกำลังชี้ไปที่เครื่องรูดบัตร เขาเขียนคำสั้นๆ ลงไปแทนที่จะเซ็นลายเซ็นของตัวเอง
พนักงานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นกระดาษกับปากกามาให้อีอูยอน คราวนี้เขาเขียนชื่อตัวเองลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“อินซอบดื่มเสร็จแล้วค่อยไปนะ”
“อื้อ”
เนื่องจากบรรยากาศที่ดูเหมือนว่าถ้าหากเขาไม่ตอบออกไปด้วยคำพูดอย่างเป็นกันเอง คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ ชเวอินซอบก็เลยตอบกลับไปให้ตรงกับอีกฝ่ายมากที่สุด
อีอูยอนกลับไปนั่งที่ของตัวเองอีกครั้ง ชเวอินซอบรับกาแฟจากพนักงานแล้วรีบสาวเท้าออกไปข้างนอก
“ใครเหรอคะ”
“น้องชายที่รู้จักน่ะครับ ได้ยินว่ามาทำงานแถวนี้ ก็เลยเจอกันโดยบังเอิญ ต้องขอโทษด้วยนะครับ เมื่อกี้เราพูดกันถึงไหนแล้วนะครับ”
“เรื่องผู้จัดการส่วนตัวค่ะ”
“อ๋อ ใช่ครับ อันที่จริงแล้ว”
นักข่าวคิมแฮชินกลืนน้ำลายและรอคอยคำพูดต่อไปของอีอูยอน ในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนที่วางอยู่บนโต๊ะก็ส่งเสียงขึ้นมา
“สักครู่นะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
ชื่อที่โผล่ขึ้นมาที่โทรศัพท์คือชื่อของผู้จัดการส่วนตัว อีอูยอนอนุญาตอีกฝ่ายและเริ่มคุยโทรศัพท์ ผ่านไปได้ไม่นานสีหน้าของอีอูยอนก็เครียดขึ้นมา
“ขอโทษด้วยนะครับ”
อีอูยอนลุกขึ้น เขาก้มหัวอย่างนอบน้อมให้กับนักข่าวคิมแฮชินและขอโทษอีกฝ่าย
“ขอโทษด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะต้องรีบกลับไปที่บริษัทแล้ว พอดีเกิดเรื่องไม่ค่อยดีขึ้นน่ะครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เขาติดต่อมาบอกว่าพ่อของคนที่ผมรู้จักเสียน่ะครับ เขาเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผม และผมก็พึ่งพาเขาอยู่มาก ก็เลยได้เจอคุณพ่อของเขาบ่อยๆ ด้วยน่ะครับ…”
ดวงตาของอีอูยอนที่พูดช่วงท้ายประโยคอย่างสั่นไหวนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พอนักข่าวคิมแฮชินได้เห็นท่าทางนั้นก็ทำได้เพียงพูดว่าให้รีบไปออกมาโดยไม่รู้ตัว อีอูยอนจึงหยิบเสื้อคลุม
“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะครับ เชิญนัดหมายเวลาผ่านทางบริษัทได้เลยครับ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น…”
“ส่วนเรื่องคิดเงินเดี๋ยวผมจะจัดการให้นะครับ ขอโทษด้วยอีกครั้งครับ”
อีอูยอนบอกลาอย่างนอบน้อมก่อนที่จะออกจากร้านไป นักข่าวมองภาพด้านหลังของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง เธอรู้สึกได้ด้วยสัญชาติของอาชีพนักข่าวที่ทำมาอย่างยาวนานว่า ‘ไม้กระดานที่แตกออกมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีทางจะซ่อมแซมได้อีก’
***
“ขอโทษนะครับ”
“ครับ? เรื่องอะไรเหรอครับ”
“…ที่พูดอย่างเป็นกันเองน่ะ…”
อีอูยอนมองผู้จัดการส่วนตัวที่เอ่ยขอโทษเขาทันทีที่เขาขึ้นมาบนรถราวกับว่าเขาประหลาดใจ
“ผมเป็นคนเริ่มพูดอย่างเป็นกันเองก่อนนะครับ”
“…ครับ”
“เพราะคุณผมถึงรอดมาได้ ผมกำลังลำบากอยู่เลยครับ”
ชเวอินซอบเข้าไปในร้านเพื่อสังเกตความลำบากนั้นจากทางด้านข้างด้วยตัวเอง ไม่ได้จะเข้าไปเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่าย แต่หลังจากที่อีอูยอนยื่นการ์ดออกไป พอเห็นตัวอักษรที่อีกฝ่ายเขียนบนเครื่องรูดบัตร เขาก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย
‘Call me’
พอชเวอินซอบออกมาจากร้านและเลี้ยวตรงหัวมุม เขาก็ต่อสายหาอีกฝ่ายทันที เวลาผ่านไปได้ไม่นานอย่างที่เขาคิด อีอูยอนก็เดินออกมาจากร้าน
“ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงครับ”
“ครับ?”
“ว่าสถานการณ์ของผมไม่ค่อยดีน่ะครับ คุณอยู่ด้านนอกนี่นา ตรงโซนที่นั่งด้านนอกน่ะครับ”
“เรื่องนั้นคือ…”
ชเวอินซอบรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา เขาจะพูดให้เป็นเรื่องปกติได้อย่างไรว่าเขาดูหนังหรืออะไรก็ตามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะได้รู้จักอีกฝ่าย เขาจึงรู้ เพราะเขาจดจำสีหน้าของอีกฝ่ายได้
“ผมแค่คิดว่าจะเข้าไปเอาไซรัปดีไหมเพราะกาแฟมันขมน่ะครับ…”
“บังเอิญเหรอครับ”
“ครับ บังเอิญครับ”
ชเวอินซอบทำตาเป็นประกายราวกับคนที่พบเชือกที่จะทำให้ตัวเองรอดชีวิตและเงยหน้าขึ้นมา อีอูยอนเห็นดังนั้นจึงส่งสายตาอ่อนโยนไปให้
“เป็นความบังเอิญที่โชคดีจริงๆ เลยครับ”
น้ำเสียงของเขาอ่อนหวานราวกับเป็นนางฟ้าที่ทำให้เด็กเล็กๆ ยอมนั่งคุกเข่าและมอบลูกอมให้ ชเวอินซอบหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว
อีอูยอนมองราวกับว่าเขาสนใจกับท่าทางของผู้จัดการส่วนตัวที่ดูราวกับเป็นเด็กที่เพิ่งแตกหนุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปส่งที่บ้านไหมครับ”
ชเวอินซอบสตาร์ทรถตู้และเอ่ยถาม อีอูยอนหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะแตะไหล่ของเขาและถามขึ้นว่า
“เย็นนี้คุณพอจะมีเวลาไหมครับ”
***
ตอนที่อีอูยอนเข้ามาในร้าน สายตาของคนในร้านก็พุ่งมาทางเขาอย่างพร้อมเพรียง เขารับคำแนะนำจากเด็กเสิร์ฟอย่างเป็นธรรมชาติและเดินเข้าไปยังนั่งที่อยู่ด้านในสุด ใบหน้าของชเวอินซอบที่ได้มาทานอาหารกับอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน ‘กลายเป็นสีซีด’ [1] อย่างที่เขาว่ากัน และเดินตามหลังอีอูยอนเงียบๆ
ในระหว่างที่อีอูยอนเลือกเมนูที่ได้รับการแนะนำ ชเวอินซอบก็นั่งลูบแก้วน้ำไปมาโดยไม่พูดอะไร
“คุณชเวอินซอบครับ”
“ครับ?”
“งานของผู้จัดการส่วนตัวเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ไม่ได้มีอะไรนะครับ”
แม้จะเป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่ชเวอินซอบกลับรอคอยคำพูดต่อไปของอีอูยอนด้วยความประหม่า
“ไม่มีส่วนที่ยากลำบากเลยเหรอครับ”
“ไม่มีนะครับ”
“แล้วคุณชอบออกกำลังกายไหมครับ ผมอ่านเรซูเม่ของคุณแล้วเห็นว่าฟุตบอลเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของคุณน่ะครับ”
“ครับ ก็นิดหน่อย…”
ฟุตบอลเป็นเพียงงานอดิเรกที่เขาจงใจเขียนลงไปเพื่อให้ดูเป็นคนธรรมดา ชเวอินซอบเหงื่อแตก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าทำไมอีอูยอนผู้ไม่สนใจคนอื่น ถึงได้ทุ่มความสนใจไปที่งานอดิเรกที่เขาเขียนลงในเรซูเม่ของตัวเอง
“อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้คุณมาสมัครตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวเหรอครับ”
“ครับ?”
ชเวอินซอบรู้สึกว่าเขาค่อยๆ จมลงไปในเขาวงกต เพราะเขาไม่สามารถคาดเดาเหตุผลที่จู่ๆ อีอูยอนก็พาตนมาที่ร้านอาหารหรูๆ และเอาแต่ถามคำถามได้เลย แม้เขาจะจำลองเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานกับอีอูยอนมาบ้างแล้ว แต่ไม่เคยคิดถึงสถานการณ์แบบนี้เลยสักครั้ง
“เพราะคุณเป็นแฟนคลับของผมก็เลยเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของตัวเองมาทางด้านนี้เหรอครับ”
จู่ๆ ชเวอินซอบก็เกิดใจสู้กับน้ำเสียงที่เหมือนจะเค้นถามขึ้นมา
สงบเอาไว้ เราจะต้องสงบเอาไว้ เขายังไม่รู้อะไรสักหน่อย
“เดิมทีผมสนใจงานด้านนี้อยู่แล้วครับ คนที่ผมรู้จักก็เลยแนะนำ JN เอนเตอร์เทนเมนต์มาให้ ผมก็เลยส่งเรซูเม่มาครับ”
อินซอบย้ำถึงแรงจูงใจในการเข้าบริษัทที่ต่อให้หลับตา เขาก็สามารถท่องมันได้ออกมา
“แล้วคุณจะอยู่ในแวดวงนี้ต่อไปไหมครับ”
“ครับ ถ้าเป็นไปได้นะครับ”
ชเวอินซอบรู้เรื่องที่ว่าผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนมักถูกให้ออกอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอยู่แล้ว มันเป็นข้อมูลที่เขารู้ได้ไม่ยาก ขอเพียงสืบดูสักหน่อย ช่วงเวลาที่สามารถอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายได้ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวอย่างมากที่สุดก็คือสามเดือน ชเวอินซอบตั้งใจจะอยู่เงียบๆ ให้เวลาผ่านไปและไปจากเกาหลีเมื่อถึงเวลา
ไม่ว่าอีอูยอนจะสงสัยในตัวตนของเขาหรือไม่ ชเวอินซอบก็จะระวังให้มากที่สุดและอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เพื่อที่อีอูยอนจะได้จำเขาไม่ได้ และเขาก็จะหายไป เขาคิดว่าเขาจะเคลื่อนไหวและไหลผ่านอีกฝ่ายให้เหมือนกับสายน้ำและค่อยๆ หายไป
[1] กลายเป็นสีซีด สำนวนภาษาเกาหลี หมายความว่า เปลี่ยนสีหน้าเพราะความตกใจหรือความกลัว