ปีเตอร์รู้สึกไม่ค่อยสบายในตอนเช้าของวันที่ต้องไปโรงเรียน อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นไข้และไม่มีปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าวันที่ไม่อยากทำอะไรเลยและนอนอยู่เฉยๆ บนเตียงถึงสองสามเท่า เขารู้สึกห่อเหี่ยวไปทั้งตัวตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถโรงเรียนมา เด็กชายชาวเอเชียที่ทั้งผอมทั้งเตี้ยค่อยๆ ห่อตัวลงพร้อมกับจินตนาการแปลกๆ ว่าเขาอาจจะหายไปจากโลกตอนไหนก็ได้ก่อนจะเดินเข้าโรงเรียนไป
ถึงปีเตอร์จะได้มาโรงเรียนหลังจากที่ไม่ได้มาเป็นเวลานาน แต่กลับไม่มีใครทักทายเขาเลย ตอนที่คาบเรียนจบลงและเป็นเวลาพักก็ยังเหมือนเดิม บางทีชื่อของเราอาจจะเป็นคำสาปแช่งที่ไม่ควรพูดออกมาล่ะมั้ง เขาคิดง่ายๆ ถ้าใครเรียกชื่อเขา คำสาปนั้นอาจจะหลุดออกมาก็ได้
ปีเตอร์คือผู้ชายที่จินตนาการว่าตัวเองเปลี่ยนจากลูกเป็ดขี้เหร่เป็นหงส์ และนั่นคือความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่เขาก็ไม่หยุดจินตนาการ เพราะถ้าหากเขาหยุด ไม้ค้ำที่ทำให้เขาสามารถต่อสู้กับความเป็นจริงที่ยากลำบากนี้ได้ก็จะหายไปด้วย
ในจินตนาการของตนเองเขาทำทุกอย่างได้ยอดเยี่ยม ทั้งฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ วิ่ง ฟันดาบ และบาสเกตบอล ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็จะได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นและเป็นที่รัก
“การเป็นที่รักเนี่ย มันเกินไปหรือเปล่าน้า”
ปีเตอร์เกาหัวพลางเดินไปยังห้องสมุด เขาคิดว่าจะยืมหนังสือหลังจากที่ไม่ได้ยืมมานาน พอดูจากการใช้ชีวิตที่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการนั่งบนเตียงหรือเก้าอี้แล้ว นิสัยชอบอ่านหนังสือคงเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ตายเพราะความเบื่อหน่าย เขาทักทายบรรณารักษ์ซึ่งเป็นไม่กี่คนที่เขาคุ้นหน้าในโรงเรียนทางสายตาก่อนจะเดินเข้าห้องสมุดไป เขาเลือกหนังสือท่องเที่ยวมาสองสามเล่ม ด้วยสุขภาพของเขาทำให้เขาไม่เคยไปเที่ยวเลยสักครั้ง แต่เขาวางแผนไว้ว่าถ้าร่างกายแข็งแรงแล้ว เขาจะต้องไปเที่ยวให้ได้ แน่นอนว่าจะต้องไปกับพ่อแม่และพวกน้องๆ แล้วจะฝากวิลไว้กับใครดี จะต้องฝากไว้กับคุณอาสเตซี่เหรอ แต่คุณอาสเตซี่น่าจะให้อาหารวิลไม่ได้เพราะเธอความจำเสื่อมนี่นา
ปีเตอร์กังวลอย่างต่อเนื่องในขณะที่ถือหนังสือที่ยืมออกมาจากห้องสมุด ใครบางคนเดินกระแทกไหล่ของเขาที่กำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋าในขณะที่เดินไปด้วย ด้วยเหตุนั้นหนังสือจึงร่วงพรูลงไปบนพื้น ปีเตอร์รีบหยิบหนังสือขึ้นมาโดยเร็ว
“เฮ้ย ไอ้เจ๊ก”
เขาได้ยินเสียงหยาบคายอยู่ตรงเหนือหัว เป็นเฟร็ดนั่นเอง แม้เฟร็ดจะอยู่ชั้นเดียวกับปีเตอร์ แต่เจ้าตัวกลับมีรูปร่างสูงจนดูแก่กว่าปีเตอร์ถึงสองปี ในตอนที่เขาได้ยินเสียงของเฟร็ดที่ตามแกล้งตนมาตั้งแต่ช่วงต้นเทอม สีหน้าของปีเตอร์ก็ซีดลงทันที
“จะไปไหน ไอ้เจ๊ก”
ไอ้เจ๊กกับอีเจ๊กเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกเพื่อดูถูกคนเอเชีย ปีเตอร์มีสัญชาติอเมริกันและถ้านับตามการเกิดแล้ว เขาก็อยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าเขาเป็นคนเกาหลีไม่ใช่คนจีน แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์ เพราะการจำแนกพวกนั้นไร้ความหมายสำหรับคนที่จงใจใช้คำเรียกเหยียดผู้หญิงชาวเอเชียมาเหยียดปีเตอร์
“ไอ้เจ๊กแกจะอ่านหนังสือพวกนั้นไปทำอะไรวะ”
พวกยักษ์ที่อยู่รอบๆ รวมไปถึงเฟร็ดหัวเราะคิกคักพร้อมกับเอ่ยล้อเขา
“จะไปเที่ยวที่ไหนเหรอ”
“แล้วนี่เขียนอะไรไว้วะ เกาหลีเหรอ เกาหลีคือที่ไหนล่ะ”
“มันคือประเทศที่มีสงครามไม่ใช่เหรอ ไฮ่ อาริกาโตะ”
พวกเด็กผู้ชายที่ขาดความรู้จนแยกเกาหลีกับญี่ปุ่นไม่ออกด้วยซ้ำหัวเราะกันคิกคัก ปีเตอร์รีบจับหนังสือยัดใส่กระเป๋า เขาอยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ปีเตอร์เห็นว่าเฟร็ดกำลังเหยียบหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ เขาใช้นิ้วที่สั่นเทาชี้ไปที่หนังสือเล่มนั้นอย่างระมัดระวัง
“นะ นายเหยียบหนังสืออยู่”
“งั้นเหรอ”
“มันเป็นหนังสือที่ฉันยืมมาจากห้องสมุด ฉันต้องคืนในสภาพเรียบร้อยที่สุด”
พวกยักษ์ใหญ่ที่อยู่รอบๆ รับรู้ได้ว่าเสียงของปีเตอร์กำลังสั่นและพวกเขาก็ระเบิดหัวเราะกันเสียงดัง เฟร็ดหยิบหนังสือที่อยู่ใต้เท้าขึ้นมาและถามว่า ‘เล่มนี้เหรอ’
“ใช่ เอาคืนมา…!”
ปีเตอร์ยื่นมือออกไปแต่กลับไร้ประโยชน์ เฟร็ดก้มลงมองเขาที่เขย่งเท้าอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่ด้านล่างราวกับดูน่าขัน
“แกอ่านหนังสือนี่แล้วจะไปทำอะไรได้”
“คืนมาเถอะ”
“จะกลับประเทศตัวเองหรือไง”
นิดๆ หน่อยๆ พวกเขาก็จะสาดคำด่าใส่ปีเตอร์ให้กลับประเทศของตัวเองไป แต่สำหรับปีเตอร์ที่ถูกรับมาเลี้ยงที่อเมริกาตั้งแต่หนึ่งขวบนั้น เขาไม่มีประเทศให้กลับไป ประเทศบ้านเกิดที่ไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำเป็นเพียงประเทศที่ห่างไกลประเทศหนึ่งเท่านั้น แม้เขาจะเรียนภาษาเกาหลีตั้งแต่เด็กตามความตั้งใจของพ่อที่เป็นคนเกาหลีรุ่นที่สอง แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนเป็นคนเกาหลีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ไสหัวกลับประเทศตัวเองไปเลยไอ้เจ๊ก”
ยักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เฟร็ดเตะก้นปีเตอร์พลางเอ่ยล้อ ปีเตอร์ตะโกนกลับไปว่า ‘รู้แล้วน่า’ ด้วยความโมโห
“ว่าไงนะ”
“ฉันจะไป วางหนังสือลงเดี๋ยวนี้ เพราะฉันจะไป!”
เขาแย่งหนังสือคืนมาในขณะที่เฟร็ดกำลังเหม่อด้วยไม่คิดว่าเด็กชายชาวเอเชียตัวผอมแห้งจะตะโกนใส่ตัวเอง
“ฉันก็ไม่อยากอยู่กับเด็กแบบพวกนายหรอก!”
“เพราะงั้นถึงบอกว่าจะกลับจีนเหรอ”
“ไม่ใช่จีนแต่เป็นเกาหลีต่างหาก ถึงพวกนายจะแยกไม่ออก แต่มันต่างกัน…!”
เขาหุบปากทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ เฟร็ดใช้หมัดต่อยหน้าปีเตอร์
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย คนอย่างแกจะไปไหนได้!”
เฟร็ดโมโหราวกับสิ่งที่ปีเตอร์พูดออกมาเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดและเริ่มชกเขา พวกเด็กผู้ชายที่หัวเราะกันคิกคักพลางมองดูพวกเขาในตอนแรกเริ่มส่งสายตาเป็นกังวลออกมาทันทีที่เหตุการณ์รุนแรงขึ้น
“เฟร็ด หมอนี่เป็นโรคหัวใจนะ ถ้าต่อยเขาแรงขนาดนี้…”
“หุบปาก ฉันจะต่อย ใครจะทำไม”
“เฟร็ดคนมองกันเยอะนะ”
เฟร็ดกำผมของปีเตอร์ที่เลือดกำเดาไหลเอาไว้ และลากเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์พละที่ไม่มีคน
ทันทีที่ถูกโยนลงไปบนเสื่อที่มีฝุ่นฟุ้ง ปีเตอร์ก็รู้สึกได้ว่ามีก้อนเลือดสำลักออกมาจากคอของเขา เพื่อนๆ ที่รู้จักนิสัยของเฟร็ดดีแกล้งทำเป็นห้ามอยู่ไม่กี่ครั้งและไม่มีใครกล้าตามเข้ามาเลย เฟร็ดเข้ามาด้านในก่อนจะปิดประตูลงกลอน
“ว่าไง แกบอกว่าแกจะไปไหนนะ”
“…”
“ฉันถามว่าแกจะไปไหน”
ฝ่ามือใหญ่โตของอีกฝ่ายฟาดเข้ากับแก้มของปีเตอร์ เลือดที่อยู่ในปากกระจายลงบนเสื่อ
ปีเตอร์เกลียดเฟร็ด เขาไม่เข้าใจอีกฝ่ายที่คอยตามเขา เอาหนังสือของเขาไปซ่อน หรือแกล้งเขา แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยก็ตาม
“…ไม่มี”
“ว่าไงนะ”
“ถ้ามันเป็นประเทศที่ไม่มีนายแล้วล่ะก็ ฉันไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นที่ไหน”
ตอนนี้เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตัวเองไปเอาความกล้าแบบนั้นมาจากไหน แม้ปีเตอร์จะพูดออกไปแบบนั้น แต่มือและเท้าของเขากลับสั่นเทาเพราะกลัวโดนชก เฟร็ดทำหน้าเหมือนจะต่อยเขาอีกสักทีพลางกัดปากและพูดลอดไรฟัน
“ถอนคำพูดนั้นซะ”
“…”
“ไอ้โง่ฉันบอกให้ถอนคำพูดไง”
ยิ่งใบหน้าของเฟร็ดแดงมากขึ้นเท่าไร ปีเตอร์ก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น แต่อีกใจหนึ่งเขาก็รู้สึกโล่งใจ แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่มันต้องเป็นเพราะเขาสามารถทำลายความมั่นใจของเฟร็ดลงได้อย่างแน่นอน
“บอกให้ถอนคำพูดไง!”
เฟร็ดแผดเสียงแหลมแสบหูออกมาซึ่งมันดูน่ากลัวมากๆ แต่ปีเตอร์กลับส่ายหน้า เฟร็ดด่าทอและกระโจนขึ้นมาบนตัวเขา ปีเตอร์หลับตาเตรียมพร้อมที่จะโดนต่อย แต่สิ่งที่โดนตัวเขากลับไม่ใช่ความรุนแรงของพละกำลัง
“ไอ้เด็กเอเชียเฮงซวยเอ๊ย”
จนกระทั่งเฟร็ดรูดซิปกางเกงของตัวเองลง ปีเตอร์ก็ยังไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร
“จะ จะทำอะ…”
เฟร็ดดึงกางเกงของปีเตอร์ลงทั้งๆ ที่เขายังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองที่ปีเตอร์ได้รู้ความจริงว่าอีกฝ่ายพยายามจะใช้กำลังในความหมายอื่นกับตน เขารู้สึกคลื่นไส้ และพยายามปัดแขนไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอที่จะสู้กับเฟร็ดที่แข็งแรงกว่าเขาเป็นสองเท่า
“โธ่เว้ย อยู่เฉยๆ สิ บอกให้อยู่เฉยๆ!”
เฟร็ดที่กำลังมีอารมณ์จับขาทั้งสองข้างของปีเตอร์กดลงกับพื้น ปีเตอร์ส่ายหน้าที่มีเลือดกำเดาไหลพลางส่งเสียงร้อง ‘หยุดนะ ฉันไม่ชอบ อย่าลูบ’ แต่ทันทีที่เขาทำแบบนั้นเฟร็ดก็ใช้มือปิดปากเขาไว้ ฝ่ามือใหญ่ๆ นั่นเหมือนเหล็กกล้า เขาไม่สามารถหายใจได้เลย แม้ปีเตอร์จะออกแรงเพื่อหายใจ แต่ยิ่งเขาทำแบบนั้น ออกซิเจนก็ยิ่งลดน้อยลง ในสติที่เลือนราง เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองหายใจเหนื่อยหอบและขนลุกเพราะมือของเฟร็ดที่ลูบไล้ตัวเขา ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าร่างใหญ่ๆ ของเฟร็ดหายไปพร้อมกับเสียงดัง ปัก
“เป็นอะไร…ไหม”
เสียงนั้นสั่น
เด็กผู้หญิงตัวอ้วนถักผมสีทองสุขภาพแย่เป็นเปียคู่ถือถ้วยรางวัลแบนๆ ไว้ในมือข้างหนึ่ง ใบหน้าของเด็กหญิงที่เปื้อนทั้งเหงื่อและฝุ่นดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
และเขาก็ได้มารู้ความจริงทีหลังว่าวันนั้นเธอติดอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์พละมาสองชั่วโมงแล้วเพราะโดนพวกเด็กผู้หญิงแกล้ง
“ยืนไหวไหม”
เธอยื่นมือมาให้ เป็นมือที่ใหญ่และกว้างกว่ามือของปีเตอร์ที่เป็นผู้ชายเสียอีก ปีเตอร์จับมือของเธอเอาไว้
และนั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเจนนี่
***
ชเวอินซอบมาเข้าห้องน้ำและกำลังล้างมือด้วยน้ำเย็นเหมือนอย่างเคย ยิ่งปลายนิ้วของเขาแสบมากขึ้นเท่าไร สติของเขาก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น เขามองตัวเองที่อยู่ในกระจกพลางพึมพำ
‘ตั้งสติไว้ จะต้องทำให้ดี ถึงจะเหนื่อยก็ต้องทน นายทำได้’
เขาพึมพำประโยคทั้งหมดที่เคยเห็นในหนังสือเกี่ยวกับการควบคุมจิตใจออกมาพลางถูมือไปเรื่อยๆ เขาหมกมุ่นอยู่กับการล้างมือจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ จากทางด้านข้าง ดูเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดๆ จะพูดกับเขาว่า ‘พูดอะไรน่ะ’ เขาสบตากับผู้ชายคนนั้นตอนที่เงยหน้าขึ้นเพราะได้ยินไม่ชัด เขาสังหรณ์ใจไม่ดีและคิดว่าต้องออกไปจากที่นี่ให้ไว
ผู้ชายคนนั้นขอยืมไฟแช็กจากเขา แม้อินซอบจะบอกไปแล้วว่าเขาไม่สูบบุหรี่ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังพูดเหมือนเดิม เขาเป็นชาวต่างชาติหรือเปล่านะ สำเนียงของเขาฟังดูแปร่งๆ อินซอบคิด อินซอบแกล้งทำเป็นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าและโชว์ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่มีอะไรเลย
ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังเอามือมาปิดปากอินซอบไว้ ถึงแม้อินซอบจะพยายามต่อสู้ แต่เขาก็ไม่สามารถสู้แรงของผู้ชายสองคนนั้นได้ ผู้ชายที่ลากเขาไปที่มุมห้องน้ำดึงกางเกงลงจนสุดและเริ่มลูบคลำตัวเขา เขารู้สึกรังเกียจเหมือนถูกแมลงไต่ไปตามตัวจนหายใจไม่ออก ตอนนั้นอินซอบถูกมือที่เปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อปิดปากเอาไว้และไม่สามารถส่งเสียงร้องได้ เขาอยากจะเรียกชื่อของเจนนี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าต่อให้เขาเรียกชื่อเธอ เธอก็ไม่มีทางมาช่วยเขาที่นี่ได้ น้ำตาของเขาไหลพราก และกรีดร้องให้ใครก็ได้มาช่วยเขาที เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่ เจนนี่
เขาเรียกชื่อเจนนี่ไม่หยุดเหมือนกับเช้าวันนั้น และแล้วใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา ในตอนที่เขาเห็นใบหน้าของคนคนนั้น สมองของเขาก็ขาวโพลน