“ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มันผิดหรือ ผมไม่ได้บอกให้ปิดประตูและปิดหู แต่ผมถามว่าเราจะอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีของพวกนี้”
น้ำเสียงที่พูดประโยคนั้นทรงพลังมาก แม้ผลงานคราวนี้จะไม่ใช่ละครย้อนยุคแบบโบราณ แต่ก็ต้องออกเสียงให้ต่างไปจากละครในยุคปัจจุบันโดยทั่วไป
ในผลงานเรื่องนี้ซึ่งมีฉากหลังเป็นยุคที่ภาษาโชซอนกำลังเบ่งบานและพวกปัญญาชนมีการถกเถียงกัน คังยองโมและอีอูยอนรับบทตัวเอกที่ยืนอยู่คนละฝั่งระหว่างฝ่ายเปิดประเทศกับฝ่ายปิดประเทศ
คังยองโมรับบทปัญญาชนที่ยืนกรานว่าโชซอนจะต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยจากอิทธิพลที่เขาไปเรียนที่ประเทศจีนมา ส่วนอีอูยอนรับบทบัณฑิตที่ดึงดันให้ปิดประเทศจนถึงที่สุดด้วยความคิดแนวขงจื้อของตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ฝังรากลึก และถูกลอบสังหารด้วยกลุ่มผู้มีอิทธิพลภายนอก
เมื่อคังยองโมพูดบทของตนเสร็จก็มองอีอูยอนด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ละครย้อนยุคนั้นต่อให้มีบทให้อ่านก็ยังต้องปรับเปลี่ยนการออกเสียงอยู่ดี เพราะการออกเสียง น้ำเสียง และภาษาที่ใช้ต่างจากละครในยุคปัจจุบันอยู่มาก ต่อให้จะจำบทมาอย่างไร ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะตอบโต้บทพูดของอีกฝ่ายได้ในสภาพที่ไม่มีอะไรเลย
“ผมถึงบอกให้ช่วยกันปกป้อง เพราะมันเป็นการดำรงอยู่ที่สำคัญอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ ในอดีต หรือว่าในอนาคต ผมก็อยากจะปกป้องสิ่งที่อยู่ที่นี่ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ คุณวอนชิกเองเคยลองคิดดูหรือไม่ครับ ว่ากลุ่มอำนาจที่บอกให้เรารับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาคบค้าสมาคมกับเราด้วยความเป็นมิตรอย่างที่คิดหรือไม่”
น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำและนุ่มนวลราวกับสายน้ำไหล แต่พลังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงและสายตาของเขากลับเอาชนะผู้ชมได้
ความวิตกกังวลอย่างมากฉายอยู่ในแววตาของอีอูยอน คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมสามารถเห็นใบหน้าด้านข้างของบัณฑิตที่มีนิสัยขวานผ่าซาก ผู้ที่เป็นห่วงประเทศและรู้สึกทุกข์ใจซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของเขา
“คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือครับว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว และพวกเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน”
“เราจึงต้องพิจารณาร่วมกันไงครับว่าใครจะเป็นผู้กุมบังเหียนนั้น”
“นั่นเป็นสิ่งที่พวกผมจะต้องเป็นคนกุม พวกผมที่รู้จักวัฒนธรรมใหม่ๆ และเคยลองศึกษามาแล้วจะเป็นผู้กุมบังเหียนนั้น และทำให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ คุณยองฮาจะต้องเปลี่ยนความคิดได้แล้วครับ”
อีอูยอนยิ้ม คนอื่นๆ คิดว่าเขาลืมบทและคงจะด้นสดไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีตรงไหนเลยในบทที่บอกว่าคิมยองฮายิ้ม
“จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างนั้นหรือ”
อีอูยอนที่กำลังยิ้มอยู่เก็บรอยยิ้มกลับไปพร้อมถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา นี่ไม่ใช่ใบหน้าของบัณฑิตที่ถือตัวและซื่อตรงที่เคยเห็นเมื่อสักครู่นี้อีกแล้ว
“จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างนั้นหรือ ผมน่ะหรือครับ”
แววตาที่หรี่ลงเพียงครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นถึงการเหยียดหยามอันน่าหวาดหวั่นที่มีต่ออีกฝ่าย ส่วนสำคัญของตอนนี้คือฉากที่สองคนเจอกันหน้าซายอกวอน[1] บนถนนยุกโจ[2]และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน คิมยองฮาที่รับบทโดยอีอูยอนโต้แย้งความเห็นของอีวอนชิกอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะไม่มีบทที่บอกให้เขาโมโหหรือเมินอีวอนชิกเขียนไว้ตรงไหนเลย
“เพราะมันเป็นเรื่องที่คุณไม่รู้น่ะสิ ผมไม่นึกเลยนะครับว่าจะมีวันที่ผมได้พูดแบบนี้กับคุณ”
ในท่อนนี้มีคำบรรยายเขียนเอาไว้ว่าให้เขาเก็บความขมขื่นเอาไว้และพูดคนเดียวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันตัวเอง แต่อีอูยอนกลับเอ่ยพลางหัวเราะเยาะคังยองโมด้วยดวงตาที่หรี่ลง ใบหน้าของคังยองโมแดงขึ้น จากนั้นเขาก็ปาบทที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ
“นี่นายพูดกับฉันเหรอ”
“ครับ?”
อีอูยอนถามกลับอย่างตกใจเหมือนคนถูกปลุกขึ้นมาจากฝัน เมื่อเขาถามอีกครั้งว่า ‘หมายความว่าอะไรเหรอครับ’ คังยองโมก็เริ่มตะโกนเสียงดัง
“มีบทแบบนั้นที่ไหนกัน นี่นายกำลังพูดกับฉันอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงครับ รุ่นพี่”
อีอูยอนส่ายหน้า
“ถ้าการแสดงของผมยังอ่อนด้อยเกินไป ผมยินดีรับคำชี้แนะจากรุ่นพี่เท่าที่รุ่นพี่ต้องการเลยครับ นี่เป็นแค่การแสดงเท่านั้น ถ้ามันทำให้รุ่นพี่อารมณ์เสีย ผมก็ต้องขอโทษด้วย”
“…!”
นี่มันไม่ต่างอะไรกับการให้คังยองโมยอมรับคำพูดที่บอกว่านี่เป็นการแสดงที่โดดเด่นจนสับสนกับความจริงออกมาด้วยตนเอง คังยองโมไม่สามารถทำอะไรได้ มือที่กำบทไว้สั่นระริก เขาเอ่ยปากอย่างยากลำบาก
“ตอนที่สาม หน้าที่สิบเก้า เริ่มตั้งแต่ฉากที่สองใหม่!”
พวกนักแสดงที่นั่งอยู่ในห้องประชุมไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ขณะที่การอ่านบทดำเนินต่อไป นอกจากอีอูยอนจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในบทบาทได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีการลืมบทเลยแม้แต่ครั้งเดียวแล้ว เขายังกล้าที่จะบอกบทของคนอื่นที่พูดผิดอย่างสุภาพอีกด้วย
ตอนที่พวกนักข่าวเข้ามาเพื่อถ่ายรูป ถ้าจะบอกว่าความลื่นไหลของการต่อบทในครั้งนี้มีอีอูยอนเป็นผู้นำก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย สุดท้ายวันนั้นคังยองโมก็บอกว่าตนไม่ค่อยสบายและลุกออกไปกลางคัน
ชัยชนะเป็นของอีอูยอน
***
[เป็นไงบ้าง ร่างกายโอเคดีใช่ไหม อีอูยอนได้พูดอะไรหรือเปล่า ไม่มีตรงไหนที่ไม่สบายใช่ไหม แล้วคังยองโมได้ทำอะไรบ้าๆ หรือเปล่า]
อินซอบจดคำถามที่ปลายสายถามรัวมาลงในสมุดโน้ตและปรับลมหายใจ
“ร่างกายผมไม่เป็นไรแล้วครับ คุณอีอูยอนก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ ส่วนที่ไม่สบายก็ไม่มีครับ แล้วก็คุณคังยองโม…ดูเหมือนจะทำสงครามประสาทกันนิดหน่อย แต่การซ้อมอ่านบทก็จบลงได้อย่างสวยงามครับ”
[โล่งอกไปที]
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจเสียงดัง
“ครับ โล่งอกไปที นักแสดงท่านอื่นก็กังวลเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไร…”
[เปล่า ฉันโล่งอกที่นายสบายดีต่างหาก อีอูยอนน่ะไม่เป็นไรหรอก ถ้าคังยองโมมีสมอง เขาคงไม่ทำอะไรบ้าๆ ในวันที่พวกนักข่าวมารวมกัน ถึงเขาจะทำตัวบ้าพอสมควรก็เถอะ นายก็ดูแลตัวเองให้ดีนะอินซอบ]
ชเวอินซอบรู้สึกหวิวๆ กับคำพูดอ่อนโยนที่ตามมา
ขอโทษครับ ผมไม่ใช่คนที่สมควรจะได้รับความห่วงใยแบบนั้นหรอกครับ กรรมการผู้จัดการ
อินซอบเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจพลางกัดริมฝีปากของตน
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ”
[ขอโทษอะไรกัน ว่าแต่วันนี้อีอูยอนจะทำอะไรหลังเสร็จจากตารางงานล่ะ]
“จะกลับไปพักที่บ้านครับ”
[ตอนที่พักได้ก็พักเถอะ เพราะถ้าเริ่มถ่ายละครแล้ว จะต้องถ่ายจนถึงเช้า ไม่มีเวลาให้หลับตาด้วยซ้ำ]
“ครับ ขอบคุณครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากร่ำลาอีกฝ่ายแล้ว ชเวอินซอบก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ขณะที่เดินไปเอารถที่ลานจอดรถ
เขารู้ว่าคนในวงการนี้มีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่พอได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองหมดแรงไปเสียดื้อๆ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะประทับใจกับความสามารถของอีอูยอนที่ตอบโต้กับอีกฝ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าคังยองโมจะเปิดหน้าไหนหรือพูดบทอะไรขึ้นมาก็ตาม ตอนที่เรียกนักข่าวเข้ามาครู่หนึ่งและให้เวลาถ่ายรูป พวกนักข่าวเองก็พูดไม่ออกกับการแสดงที่แสดงฉากทั้งหมดโดยไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียวของอีอูยอน
หลังจากนักข่าวออกไปแล้ว การซ้อมอ่านบทยังคงดำเนินต่อไปอีกสักพักและจบลงด้วยการเดินออกไปของคังยองโม แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เพราะเดาได้ว่าความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ตอนจบ แต่เป็นการทดสอบล่วงหน้าต่างหาก
อินซอบทำตัวลีบติดกำแพงพลางจ้องมองฉากนั้นและห่อไหล่เหมือนตัวเองถูกคังยองโมจู่โจมด้วยสงครามประสาททุกครั้งที่อีกฝ่ายตะโกน
เขาเห็นว่าใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัวที่ตามหลังคังยองโมออกไปซีดเซียว และคนอื่นๆ ก็รู้สึกไม่พอใจพร้อมกับเห็นใจผู้จัดการส่วนตัวในเวลาเดียวกัน
ถ้าเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคังยองโม บางทีเขาอาจจะทำได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์แล้วยอมแพ้ไปเลยก็เป็นได้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าคนคนนั้นทนไปได้อย่างไร
“เหนื่อยจัง…”
แค่อยู่ในที่เดียวกันกับคังยองโมครู่เดียวยังทำให้เขาหมดแรงขนาดนี้ ชเวอินซอบลองคิดว่าผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นรู้สึกอย่างไรพร้อมกับส่ายหัวอย่างรวดเร็ว เขาตกใจกับความคิดที่ว่าสภาพของตนน่าจะดีกว่าผู้จัดการส่วนตัวคนนั้น
ไม่มีทางดีกว่าเด็ดขาด เพราะเราแค่มาอยู่ข้างๆ อีอูยอนเพื่อหาจุดอ่อนของเขาเท่านั้น นี่คือการดูถูกคนที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ชัดๆ
เขาหัวเราะเยาะตัวเองก่อนจะเดินลงทางเดินที่เชื่อมไปยังลานจอดรถ ขณะที่เขากำลังจะเดินเลี้ยวตรงมุมถนนก็มีรถพุ่งผ่านด้านข้างไปอย่างน่าหวาดเสียว ชเวอินซอบก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติและเสียการทรงตัวทรุดลงนั่งบนพื้น
“อะไรวะ! เวลาเดินก็มองทางหน่อยเซ่!”
ผู้ชายเจ้าของรถเบนท์ลีย์ลดกระจกลงแล้วตะโกนอย่างหยาบคาย คังยองโมนั่นเอง ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายซึ่งออกมาได้สักพักแล้วถึงได้ขับรถออกมาจากลานจอดรถคนเดียวตอนนี้ แต่อินซอบก็รีบลุกขึ้นค้อมตัวให้อีกฝ่าย
“ขอโทษครับ”
คังยองโมมองหน้าอินซอบที่พูดขอโทษตนแล้วร้องอ๋อออกมา
“นายคือผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนใช่ไหม”
ชเวอินซอบลังเลอยู่พักหนึ่งจึงตอบไปว่าใช่ครับ ถึงบอกไปว่าไม่ใช่ แต่ต่อไปก็ต้องเจอหน้ากันอยู่เรื่อยๆ อยู่ดี ดังนั้นการไม่สร้างปัญหาจะดีที่สุด
“อ่านบทกันเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ เรียบร้อยแล้วครับ”
“ทำไมพูดจาเป็นทางการแบบนั้นล่ะ คิดว่าฉันเป็นทหารรุ่นพี่หรือไง”
“…ขอโทษครับ”
แม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ในคำพูดของอีกฝ่าย แต่เขาก็ขอโทษไว้ก่อน
“เข้าระเบียบทหารมาสมกับที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนเลยนะ ฮ่าๆๆ”
อินซอบอยากออกไปจากตรงนี้ไวๆ ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เพราะไม่รู้ว่าคังยองโมกำลังจับผิดอะไรตนอยู่ จากนั้นฝ่ามือของเขาก็เริ่มเจ็บตื้อๆ ขึ้นมา เพราะเกิดแผลจากการเอามือลงพลาดในตอนที่ล้ม
“โอเค ผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน เจอก็ดีแล้ว ฉันคอแห้งน่ะ ช่วยไปกดโคล่ามาให้สักกระป๋องได้ไหม”
“ครับ?”
“ไปกดโคล่ามาให้หน่อย”
ชเวอินซอบหันไปมองรอบๆ ให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังสั่งตนอยู่จริงๆ ผู้จัดการส่วนตัวของคังยองโมที่สมควรจะอยู่ในรถก็ไม่อยู่
“ผู้จัดการส่วนตัวของฉันมีธุระน่ะ ก็เลยกลับไปก่อน ช่วยทำตามที่ฉันขอร้องหน่อยเถอะน่า นายก็รู้นี่ว่าฉันไปไหนมาไหนตามอำเภอใจไม่ได้”
“…”
อินซอบครุ่นคิด
อีอูยอนที่กำลังคุยกับนักข่าวอยู่สั่งเขาเป็นนัยๆ ให้เอารถไปรับตรงทางออกให้เร็วที่สุด
“ทำไม ยุ่งอยู่เหรอ ผู้จัดการของอีอูยอนเนี่ย พอไม่ใช่อีอูยอนก็ดูจะยุ่งมากเลยนะ”
“เดี๋ยวผมไปซื้อให้ครับ”
ได้ยินดังนั้น จากที่กำลังเหน็บแนม คังยองโมก็เปลี่ยนมาตอบว่า ‘โอเค’ พร้อมเผยยิ้ม อินซอบกลับมาเดินบนทางไปลานจอดรถอีกครั้ง คำพูดที่ดังไล่หลังมาว่า ‘ขอบใจ’ ทำให้เขานิ่วหน้าโดยอัตโนมัติ
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างปัญหา
อยู่เงียบๆ และหายไปเงียบๆ
นั่นคือเป้าหมายของชเวอินซอบในตอนนี้ แม้เขาจะนึกถึงคำพูดของหมอที่ห้ามไม่ให้เขาวิ่งสักพักและให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ เพราะมันหนักเกินไปสำหรับหัวใจของเขา แต่เขาไม่สามารถเดินเอ้อระเหยลอยชายได้ เขานึกถึงตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติที่อยู่ด้านในตึกและวิ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
[1] ซายอกวอน หน่วยที่ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการแปลหรือการล่ามภาษาต่างประเทศในสมัยโครยอและสมัยโชซอน
[2] ถนนยุกโจ ถนนสายหลักของเมืองฮันยาง (เมืองหลวงในสมัยโชซอน) อยู่ตรงพระราชวังคยองบกกับจัตุรัสกวังฮวามุน มีกระทรวงที่สำคัญในสมัยนั่งตรงอยู่สองฝั่งทาง