วันนี้คือวันอ่านบทที่ถูกเลื่อนไปเพราะอาการบาดเจ็บของอีอูยอน กรรมการผู้จัดการคิมย้ำว่าวันนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากที่เปลี่ยนตัวนักแสดงนำเป็นคังยองโม ชเวอินซอบเองก็รู้เรื่องราวเบื้องหลังประมาณหนึ่งผ่านการค้นหาว่านักแสดงที่ชื่อคังยองโมคือใคร จึงอดที่จะกังวลไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใดคือเขากังวลจนกลัวการที่จะต้องเจออีอูยอนเป็นครั้งแรกหลังจากออกจากโรงพยาบาล เขากลัวถึงขนาดที่มือที่กำพวงมาลัยอยู่ชื้นเหงื่อและเขาต้องเช็ดมือกับเสื้ออยู่ถึงสองสามครั้ง
ชเวอินซอบกลัวอีอูยอน
ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลชเวอินซอบใช้ชีวิตอยู่ในห้องพักฟื้นข้างๆ ห้องของอีอูยอน แม้เขาจะบอกว่าเขารู้สึกเป็นภาระกับห้องเดี่ยว และขอย้ายไปห้องรวมขนาดหกคนแทน แต่กรรมการผู้จัดการคิมกลับปฏิเสธเสียงแข็ง สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอย่างอู่ฟู่อยู่ในห้องเดี่ยว
ตลอดช่วงเวลานั้นชเวอินซอบต้องเจอกับอีอูยอนทั้งๆ ที่อยู่ในชุดผู้ป่วย อีกฝ่ายมักจะเปิดประตูเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและชวนคุยเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไร แม้การที่อีกฝ่ายยอมถอยเป็นร้อยก้าวมาจนถึงตรงนี้อาจจะเป็นการกระทำที่ทำเพื่อลดความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลก็ตาม แต่ปัญหาก็คือตอนกลางคืน
ในตอนกลางคืนเขามีประสบการณ์ที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าใครสักคนกำลังก้มมองเขาอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าที่จะจินตนาการ ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นชเวอินซอบจะจับหน้าอกเอาไว้พร้อมกับคิดว่าคนคนนั้นคงไม่ได้พยายามจะให้เราตายด้วยโรคหัวใจล้มเหลวหรอกใช่ไหม แต่พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ อีอูยอนก็จะแค่นหัวเราะพร้อมบอกว่า ‘นั่นสินะครับ’ ก่อนจะกลับห้องพักฟื้นของตนไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้ววันต่อมาอีอูยอนก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก ตอนแรกชเวอินซอบนึกว่าตัวเองฝันร้ายและปล่อยให้มันผ่านไป แต่วันถัดมาเขาก็เจออีอูยอนยืนอยู่ตรงหัวเตียงเหมือนเดิม
“เฮ้อ…”
เขาจะต้องโทรหาอีอูยอนเพื่อบอกว่าตนมาถึงลานจอดรถแล้ว แต่มือของเขากลับไม่ขยับ เขารู้สึกว่าเกิดเรื่องที่ไม่น่ายินดีขึ้นเยอะเกินไปในระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน
“มาแล้วเหรอครับ”
“อ๊ะ!”
อินซอบปล่อยโทรศัพท์มือถือลงพร้อมกับส่งเสียงร้อง เพราะจู่ๆ ก็มีใครบางคนมาเคาะกระจกรถ หัวใจของเขาเต้นตึกๆ จนเขาหยุดหายใจไปพักหนึ่งพร้อมกับโน้มตัวลงบนพวงมาลัยรถ
“ตกใจเหรอครับ ขอโทษนะ”
“ปะ เปล่าครับ”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับเปิดประตูด้านหลัง เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในรถ ชเวอินซอบก็ควบคุมลมหายใจและกำพวงมาลัยเอาไว้
“ร่างกายคุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ เพราะคุณผมถึงดีมากขึ้นแล้ว”
“เพราะผมเหรอครับ ผมสิครับที่รอดมาได้เพราะคุณอินซอบ”
“ไม่หรอกครับ ทั้งหมดเป็นเพราะผม…”
“เราคุยเรื่องนี้จบไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะครับ ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ขึ้นมาอีกล่ะ พอได้แล้วนะ”
พอได้สติชเวอินซอบก็บอกว่าที่อีอูยอนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีและเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเป็นเพราะตนเองและก้มหัวขอโทษ นั่นเป็นครั้งแรกที่อีอูยอนต้องย้ำด้วยน้ำเสียงโมโหว่าห้ามพูดเรื่องแบบนี้อีก
อินซอบครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีพลางสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างเงียบๆ และออกรถ นับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่เขาขับรถอยู่ในเวลาแบบนี้ เพราะอีอูยอนไม่ค่อยจะมีเรื่องให้คุยกับผู้จัดการส่วนตัวในระหว่างที่ขับรถเท่าไร ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วน
“คุณอินซอบ”
“ครับ?”
มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่านะ ชเวอินซอบเหลือบมองใบหน้าของอีอูยอนพร้อมตอบรับด้วยสมองที่ว่างเปล่า
“กินข้าวหรือยังครับ”
“ครับ?!”
คำพูดที่คาดไม่ถึงทำให้อินซอบเริ่มคิดว่าคำว่ากินข้าวหรือยังในภาษาเกาหลีมีความนัยที่เขาไม่รู้ซ่อนอยู่หรือเปล่า
“ผมถามว่าคุณกินข้าวหรือยังครับ”
ตอนที่อีอูยอนถามย้ำอีกครั้ง อินซอบถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายถามตนว่ากินข้าวแล้วหรือยังจริงๆ
“ครับ กินอะไรง่ายๆ…”
ก่อนมาที่นี่เขากินอะไรง่ายๆ รองท้องแล้วค่อยออกจากบ้านมาจริงๆ สำหรับชเวอินซอบที่รายล้อมไปด้วยครอบครัวขนาดใหญ่และมีช่วงเวลารับประทานอาหารที่เสียงดังโหวกเหวกตอนอยู่ที่อเมริกานั้น การกินข้าวคนเดียวเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาไม่อาจคุ้นเคยได้ง่ายๆ เขายังไม่คุ้นกับอาหารเกาหลี การกินข้าวคนเดียวจึงเป็นเรื่องที่มากเกินไปสำหรับเขา อาหารส่วนใหญ่ของเขาเป็นเมนูเล็กๆ น้อยๆ ที่ประกอบไปด้วยขนมปัง สลัด และเครื่องดื่ม
“แล้วกินอะไรมาเหรอครับ”
“ขนมปังปิ้งกับนม…”
แม้แต่ตอนที่ขับรถอยู่นี้ ชเวอินซอบเหมือนจะใส่ใจด้านหลังเป็นอย่างมาก
ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้นะ ทำไมคนแบบนั้นถึงได้ทำแบบนี้
ในความคิดของเขา อีอูยอนเป็นมนุษย์ประเภทที่จะไม่ถามคำถามจำพวก กินข้าวหรือยัง หรือว่า กินอะไรมา โดยเด็ดขาด ปากของชเวอินซอบแห้งผากด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรในการทำแบบนี้
“ห้ามกินของแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะครับ ร่างกายคุณน่าจะยังไม่หายป่วยเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมหายดีแล้ว”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหลัง อินซอบคิดว่าตนพูดอะไรผิดอีกแล้วหรือเปล่าพร้อมกัดริมฝีปากเบาๆ
“วันนี้จะเริ่มอ่านบทตอนกี่โมงเหรอครับ”
“เก้าโมงเช้าครับ”
“งั้นก็เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วครับ”
อีอูยอนขึ้นชื่อในเรื่องมาก่อนเวลานัด และมักจะมารอคนอื่นๆ และคนที่บอกตารางว่าวันนี้จะออกเดินทางเร็วกว่าเวลานัดสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงก็คืออีอูยอนเอง
“งั้นเราไปกินข้าวกันไหมครับ”
“ครับ?”
ชเวอินซอบถามซ้ำ เพราะคิดว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า
“ไปกินข้าวกันครับ คุณอินซอบอยากกินอะไรเหรอครับ”
“…คุณหมายถึงตอนนี้หรือครับ”
“ก็ตอนนี้มีเวลาพอนี่ ไม่ใช่เหรอครับ”
“มีเวลาพอครับ…แต่จะไม่เป็นไรเหรอครับ”
ปกติอีอูยอนจะไปถึงเร็วและรอคนอื่นจนเป็นนิสัยไปแล้ว และวันนี้แม้แต่กรรมการผู้จัดการคิมเองก็พูดขึ้นมาก่อนว่าทำแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน แม้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่มันก็กระทบนักแสดงคนอื่นๆ อย่างไม่ตั้งใจ เพราะการอ่านบทและการถ่ายทำถูกเลื่อนออกไปเพราะเขา เพราะฉะนั้นในวันแบบนี้การไปถึงเร็วและรอคนอื่นจึงเป็นท่าทีที่ดี ทั้งกรรมการผู้จัดการคิมและชเวอินซอบก็คิดแบบนั้นด้วย
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพราะผมหิว”
“ครับ ถ้าคุณว่าแบบนั้นก็ได้”
แม้เขาจะคาใจกับคำชวนกินข้าวที่กะทันหัน แต่ชเวอินซอบก็ตัดสินใจทำตามที่อีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ
“คุณอินซอบชอบกินอะไรเหรอครับ”
“ผมกินได้หมดแหละครับ…ยกเว้นของเผ็ด”
เขาแปะป้ายเกี่ยวกับของเผ็ดไว้ด้านหลังอย่างระมัดระวัง เขามีโอกาสได้กินอาหารเกาหลีอยู่บ้างเพราะพ่อของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเพลิดเพลินกับอาหารเผ็ดได้เลย อาหารเกาหลีที่อินซอบชอบอยู่ในระดับที่คนต่างชาติสามารถกินได้ง่ายเช่น หมูย่าง ผัดวุ้นเส้น และซี่โครงย่างเท่านั้น
“งั้นเหรอครับ งั้นก็ไปที่ดีๆ กันเถอะครับ”
ชเวอินซอบสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงหัวเราะเล็กๆ ในน้ำเสียงของอีอูยอนขณะที่พูดแบบนั้น
***
“ที่นี่อาหารอร่อยมากครับ”
“…”
“ผมเคยมาสองสามครั้งแล้ว”
นอกจากความใจดีที่แจ่มชัดแล้ว เขาไม่รู้สึกถึงความรู้สึกอะไรบนใบหน้าของอีอูยอนขณะที่พูดแบบนั้นเลย ชเวอินซอบมองแผ่นเมนูสลับกับหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้
“ตายแล้ว ใครกันเนี่ย ใช่พ่อหนุ่มหล่อที่อยู่ในทีวีหรือเปล่า”
“สวัสดีครับ”
“เฮ้อ ถึงจะรู้สึกทุกครั้งที่เห็นก็เถอะนะ แต่พ่อหนุ่มก็หล่อมากจริงๆ แม่อิ่มโดยไม่ต้องกินข้าวสักคำเลย”
พนักงานที่ออกมารับออเดอร์จำอีอูยอนได้และพูดคุยด้วยอย่างมีอารมณ์ขัน เขายิ้มโดยไม่แสดงออกว่ารำคาญเลยสักนิดแถมยังช่วยสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่ายพอสมควร
“กินอะไรกันดีครับ”
“…ไม่รู้สิครับ”
ชเวอินซอบลองอ่านแผ่นเมนูอีกครั้ง ตัวอักษรบนแผ่นเมนูง่ายๆ ที่บอกว่านอกจากข้าวกับเหล้าแล้ว ไม่มีอาหารที่ไม่ใส่พริกเลยทำให้เขาห่อเหี่ยว
“ปลาหมึกผัดที่นี่อร่อยนะครับ”
“…ครับ”
พอมองไปข้างๆ ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะกำลังกินเมนูนี้กันอยู่ ชเวอินซอบสำรวจแผ่นเมนูอาหารอีกครั้งด้วยสีหน้าเศร้าๆ ไม่มีอาหารที่ตนสามารถกินได้จริงๆ ด้วย
“งั้นผมสั่งเองครับ ขอปลาหมึกผัดสำหรับสองคนด้วยครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เขาไม่กล้าเรียกรั้งคุณป้าที่รับแผ่นเมนูกลับไป อินซอบได้แต่อ้าปาก
“เขาบอกว่าถ้ากินของเผ็ดๆ ท้องไส้จะเป็นปกตินะครับ”
“…ครับ”
“ขอให้กินแล้วท้องไส้หายกลับไปเป็นปกตินะครับ”
“…ครับ”
ถึงแม้ถ้วยข้าวและเครื่องเคียงจะถูกเสิร์ฟก่อน แต่ในบรรดาเครื่องเคียงพวกนั้นไม่มีอะไรที่อินซอบสามารถกินได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เขาใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากทีละนิดพร้อมกับพยายามใช้สมองคิดว่าอีอูยอนลากตนมาที่นี่ด้วยแผนการอะไรกันแน่
อะไรกัน ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ทำไมจู่ๆ เขาถึงแกล้งทำเป็นใจดีกับเราล่ะ…เราทำอะไรผิดหรือเปล่า อย่าบอกนะว่า…ไม่หรอก ไม่มีคนเห็นซะหน่อย
“คิดอะไรขนาดนั้นเหรอครับ”
“ครับ?”
“ก็คุณอินซอบไงครับ บางทีคุณก็เหม่อลอย ดูเหมือนคุณจะคิดเยอะมากเลยนะครับ”
“ขอโทษด้วยครับ ผมจะไม่เหม่อลอยอีกแล้ว”
อินซอบถือตะเกียบและทำสีหน้าเคร่งขรึมในท่านั่งคุกเข่าพลางเอ่ยตอบ เขาทำสายตาเหมือนกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ต่อว่า
เมื่ออีอูยอนเห็นดังนั้น จากที่หัวเราะเบาๆ เขาก็หัวเราะเสียงดังมากขึ้น เขาไม่ค่อยได้คุยกับอีกฝ่ายเท่าไรจึงไม่รู้ แต่พอได้ลองฟังแล้ว ภาษาเกาหลีของชเวอินซอบเละเทะมากจริงๆ มันเละเทะถึงขนาดที่เขาอยากถามว่าไปเรียนพูดโดยใช้ภาษาที่เหมือนกับคนโง่แบบนั้นมาจากไหน
“ถึงคุณจะเหม่อผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ผมแค่ถามดู เพราะสงสัยเฉยๆ ว่าคุณคิดอะไรอยู่”
เขาสงสัยว่าในหัวเล็กๆ นั่นคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากผ่าสมองนั่นออกมาและเข้าไปสำรวจภายในดู
“ไม่ได้คิดเรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ”
“งั้นเหรอครับ”
ถึงจะบอกว่าไม่สำคัญ แต่การกระทำกลับเป็นแบบนั้นชัดๆ นี่เป็นคำพูดที่ไม่มีความน่าเชื่อถือพอๆ กับที่พวกนักการเมืองยืนกรานว่าตนซื่อสัตย์สุจริต
อีอูยอนดื่มน้ำพลางทำตายิ้มไปทางผู้จัดการส่วนตัวของตน หลังจากวันที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเสี่ยงตายที่ก้นทะเลสาบและช่วยชีวิตตนขึ้นมา ภายในหัวของอีอูยอน ชเวอินซอบได้กลายเป็นเบอร์หนึ่งของมนุษย์ที่เขาไม่เข้าใจที่สุดในโลกไปแล้ว
ในตอนที่ทั้งคู่กำลังสำรวจกันและกันอยู่นั้น จานที่ใส่ปลาหมึกผัดส่งกลิ่นหอมฟุ้งก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
“กินเลยครับ”
อีอูยอนบอกให้อินซอบกินก่อน เมื่อชเวอินซอบยกตะเกียบขึ้นมาและพูดอ้อมๆ แอ้มๆ เขาก็ยื่นมือมาชี้ให้อีกฝ่ายรีบๆ กินเข้าไปคำหนึ่ง
“จะกินแล้วนะครับ”
ปลาหมึกผัดสีแดงชนิดที่ว่าแค่มองก็น้ำตาไหลถูกวางอยู่ตรงหน้า ชเวอินซอบเริ่มสวดมนต์ในใจ
ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดอย่ามอบบททดสอบให้ข้าพเจ้าเลย และขอบพระคุณสำหรับอาหารในชีวิตประจำวันนี้ด้วยเทอญ อามะ…เมน!
ใบหน้าของอินซอบที่ตักปลาหมึกผัดเข้าปากไปคำหนึ่งแดงขึ้นอย่างที่พูด อีอูยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เริ่มขยับตะเกียบอย่างสบายอารมณ์ อินซอบเอามือปิดปากและกลืนลูกไฟในปากลงไปอย่างยากลำบาก เขาใช้ช้อนตักข้าวให้ใหญ่เป็นสองเท่าและกินเข้าไป แต่ไฟที่ติดอยู่ที่ลิ้นก็ไม่ดับไปง่ายๆ
“เผ็ดเหรอครับ”
“…ครับ”
อินซอบไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วตนกำลังออกเสียงเหมือนกับคนลิ้นไก่สั้นเพราะเผ็ดมาก
“ครั้งแรกก็แบบนี้แหละครับ พอลองกินไปเรื่อยๆ ก็จะดีขึ้นเอง”
“…”
นั่นหมายความว่าจงต่อกินต่อไปเรื่อยๆ
“จะไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนแท้ๆ แต่กลับเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น คงเครียดมากเลยสินะครับ”
“ไม่เลยครับ”
“ถ้ากินของเผ็ดเข้าไป จะช่วยลดความเครียดได้เยอะเลยนะครับ เอ้า กินนี่สิครับ”
คราวนี้อีอูยอนใช้ตะเกียบคีบปลาหมึกให้ด้วยตัวเองและวางลงบนข้าวของอินซอบ มีแค่ผู้จัดการส่วนตัวเท่านั้นที่ได้ลิ้มรสชาติของความตายจากการบริการอย่างกะทันหันของดาราดัง
“ขะ ขอบคุณครับ”
อินซอบเอาปลาหมึกผัดเข้าปากเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เขากลืนลงไปโดยไม่เคี้ยว
“แค่ก แค่ก…แค่ก”
ลิ้นของเขาปลอดภัย แต่ปัญหาคือคอ ทันทีที่ความเผ็ดและร้อนถูกส่งเข้าไป เขาก็ไอพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลลงมา