าแพงที่ได้รับเป็นของขวัญมาต่อหน้าอีอูยอนได้
ทำได้ เราทำได้ เราทำเรื่องที่ใหญ่กว่านี้มากแล้ว แค่แพะดำกับตะพาบจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ชเวอินซอบหลับตาปี๋พร้อมกับเอายาบำรุงที่เหลือเข้าปากไปในคำเดียว แม้เขาจะรู้สึกว่าตะพาบและแพะดำเข้ากันได้ดี และกำลังเต้นรำกันอยู่ในปากของเขา แต่เขาก็นึกถึงเจนนี่พร้อมกับกลืนยาบำรุงที่เหลือลงไป
แม้เขาจะรู้สึกคลื่นไส้เหมือนจะอ้วกออกมา แต่อินซอบก็พยายามกลั้นมันไว้พร้อมกับสตาร์ทรถ ยิ่งอีอูยอนนั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้เขายิ่งต้องใส่ใจมากกว่าเดิม เขารู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นๆ อยู่ในปาก เขาจึงระมัดระวังแม้กระทั่งการหายใจ
“สามครั้งในหนึ่งวัน ครึ่งชั่วโมงหลังอาหาร”
ทันทีที่อีอูยอนอ่านออกเสียงตัวหนังสือที่เขียนไว้บนห่อยาบำรุง อินซอบก็สะดุ้งพร้อมกับไหล่ที่สั่น
“กินให้ครบนะครับ แล้วก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ชเวอินซอบตอบด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเศร้าและไม่รู้สึกขอบคุณแม้แต่น้อย แม้จะดื่มจนหมดไปหนึ่งถุงใหญ่แล้ว แต่ก็ยังทำเสียงโหยหวนขนาดนั้นอยู่อีก อีอูยอนสงสัยว่าอินซอบจะสามารถกินยาที่อยู่ในห่อนั่นได้หมดหรือเปล่า และเขาก็อารมณ์ขึ้นมากับความคิดที่ว่าเขาจะต้องคอยเช็กทุกหลังมื้ออาหารเสียแล้ว
อินซอบเหลือบมองอีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านข้างตลอดเวลาแม้จะขับรถอยู่ อีอูยอนถือบทเอาไว้ในมือ และอ่านบทพลางเอนหัวพิงหน้าต่างรถตามความเคยชิน
“อันตรายนะครับ”
“ครับ?”
“ถ้าคุณไม่มีสมาธิกับการขับรถ และชำเลืองมองมาทางผมตลอดแบบนั้นน่ะ มันอันตรายนะครับ”
“ขอโทษครับ”
อีอูยอนพลิกบทไปหนึ่งหน้า ข้างๆ บทพูดมีข้อความที่เขาเขียนไว้ด้วยปากกาจนแน่นเอี้ยด ตอนที่เห็นสิ่งนี้กรรมการผู้จัดการคิมเรียกมันว่า ‘ความจริงใจ’ ที่ไม่เหมาะกับตัวเขา แต่สำหรับอีอูยอนแล้วนี่เป็นอาชีพที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ถ้าอยากจะแสดงให้ราบรื่น ก็จะต้องเข้าใจความรู้สึกของบุคคลรอบข้างด้วย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับอีอูยอนมากกว่าใคร
การเข้าใจคร่าวๆ ว่าทำไมคนถึงโกรธ หรือทำไมคนถึงอารมณ์ดีนั้น ต่างกับการต้องแสดงมันออกมาราวฟ้ากับเหว อินซอบเหลือบมองด้านข้างของอีอูยอนที่กำลังอ่านบทในขณะที่ติดไฟแดง
“ชอบขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ครับ?”
“ผมถามว่าชอบขนาดนั้นเลยเหรอครับ ที่ได้อยู่ข้างๆ ดาราที่ฝันน่ะ คุณมองผมบ่อยมากเลยไม่ใช่หรือไง”
อีอูยอนปิดบทละครลง เป็นน้ำเสียงที่ยากจะรู้ได้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น ชเวอินซอบเกร็งมือที่กำลังจับพวงมาลัย เขาจะต้องไม่ทำสีหน้าจริงจัง และปล่อยให้มันผ่านไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“ผมแค่ประหลาดใจน่ะครับ”
“ประหลาดใจ?”
“ครับ ก็คุณเป็นคนที่ผมเห็นมองจากที่ไกลๆ พอได้มาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้…”
นี่ไม่ใช่คำโกหก
อินซอบจ้องมองอีอูยอนจากที่ไกลๆ เสมอ เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนจากโลกอื่น และเขาไม่เคยคิดว่าจะได้พูดคุยกันแบบนี้ในระยะห่างที่แค่เอื้อมมือไปก็ถึงเลยสักครั้ง
ในตอนนั้นน่ะนะ
***
“ปีเตอร์!”
เจนนี่ที่ตื่นเต้นเต็มที่วิ่งเข้ามาในห้อง ปีเตอร์ปิดสมุดโน้ตที่กำลังเขียนอยู่ลง
“อะไรอะ กำลังเขียนอะไรอยู่”
“ไม่มีอะไรหรอก”
เจนนี่รู้จักนิสัยที่ชอบจดเรื่องไร้สาระลงในสมุดโน้ตอยู่เสมอของปีเตอร์ดี เธอจึงไม่ถามอะไรอีกและเริ่มพูดเรื่องของตัวเอง
“จะไม่ไปดูเจ้าชายเหรอ”
“อะไรนะ เจ้าชายเหรอ”
“ใช่ วันนี้เป็นวันที่มีซ้อมแข่งไง ไปดูกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”
“ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยเหรอ”
ปีเตอร์ย่นจมูกเหมือนจะบอกว่ามันยุ่งยาก นอกจากเขาจะยังไม่ได้สระผมจนมันชี้โด่ชี้เด่ตามอำเภอใจแล้ว เขายังมีงานที่จะต้องทำให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้ด้วย ปีเตอร์ที่ไปโรงเรียนไม่ได้มักจะมีการบ้านให้ตัวเองเสมอ และแม่ก็จะเป็นคนตรวจแทน
“ทำไมล่ะ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปก็ได้แล้ว”
“ผมฉัน…”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย น่ารักจะตาย”
เจนนี่ดันหลังปีเตอร์พร้อมกับเร่งให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าไวๆ ปีเตอร์ล้างหน้าแค่พอเป็นพิธีและเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปโดยทำอะไรไม่ได้ แก้มของเจนนี่ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นกลายเป็นสีแดง ใบหน้าของเจนนี่แดงขึ้นในทันที มันแดงถึงขนาดที่เขาคิดว่าเธอเป็นโรคหน้าแดงหรือเปล่า เขามองภาพนั้นแล้วนึกถึงนักเรียนหญิงร่วมชั้นที่ล้อเจนนี่ว่าเป็น ’หมูโง่’ แต่เจนนี่ไม่สนใจ ไม่สิ แกล้งทำเป็นไม่สนใจต่างหาก ปีเตอร์เห็นใจในส่วนนั้น เขาจึงมักจะพูดว่าหน้าของเธอกลายเป็นสีดอกกุหลาบทุกครั้งที่หน้าของเจนนี่แดงขึ้น ถ้าเขาทำแบบนั้น เธอก็จะยิ้มกว้าง ปีเตอร์ชอบเจนนี่ตอนยิ้ม
เจนนี่ลากปีเตอร์ออกมาด้วยใบหน้าที่แดงกว่าปกติ เหงื่อของเธอไหลออกมาเยอะเป็นพิเศษ และปีเตอร์เองก็ค่อยๆ หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน…”
“ไปต่ออีกนิดหนึ่งก็ถึงแล้ว เร็วสิ ถ้าไม่ไปตอนนี้จะไม่มีที่นั่งด้านหน้านะ ฉันได้ยินมาว่าวันที่เจ้าชายลงแข่งน่ะ พวก ‘ฝูงผึ้ง’ จะมาตอมกันที่รั้วเต็มเลย”
“พักสักหน่อยค่อยไป…แฮ่ก…”
แม้เขาจะอ้าปากกว้างและพยายามสูดลมหายใจเข้าไป แต่ปอดเขาเจ็บเหมือนจะฉีก หัวใจของเขาก็เต้นตึกตัก เจนนี่บอกว่าเธอจะต้องได้ที่นั่งดีๆ และเดินต่อไปเรื่อยๆ
“เร็วปีเตอร์ เร็ว…”
เธอหยุดพูดทั้งๆ ที่อ้าปากอยู่ พอปีเตอร์รู้ว่าที่ที่สายตาของเจนนี่หยุดลงคือด้านหลังของตน เขาจึงหันหน้าไปบ้าง
ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินผ่านเขาไป ปีเตอร์รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าชายที่เจนนี่พูดถึงจนปากจะฉีกคือใคร ท่ามกลางชาวตะวันตกที่มีสรีระแตกต่างกันตามกรรมพันธุ์ ผู้ชายเจ้าของไหล่ที่กว้างไม่แพ้ใครก็เข้ามาในสายตาของปีเตอร์
ไหล่ของควอร์เตอร์แบ็ก
ชายเจ้าของไหล่ที่เจนนี่พูดถึงอยู่เสมอเดินข้ามถนนไป ทั้งๆ ที่เขามีผมและตาสีดำเหมือนตน แต่ความรู้สึกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตอนที่เขาเดินผ่าน ปีเตอร์ก็เผลอมองตามหลังเขาไปโดยไม่รู้ตัว เขาเปรียบเทียบอีกฝ่ายกับตัวเองทุกอย่าง ไม่สิ แม้แต่เปรียบเทียบยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฝ่ายนั้นเป็นสิ่งที่ชีวิตที่อาศัยอยู่คนละโลกกับตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เจ้าชายในสายตาของปีเตอร์ไม่ใช่คนในความเป็นจริงที่ตนอาศัยอยู่เลย
***
“…แล้วครับ”
“…”
“สัญญาณไฟเปลี่ยนแล้วครับ”
“อ้อ…ขอโทษครับ”
อินซอบที่เหม่อลอยและจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่สักพักรีบเหยียบคันเร่ง
“ว่าแต่แปลกมากเลยนะครับ”
“หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ปกติคุณจะสุขุมแล้วก็รอบคอบมากเลยนี่ครับ แต่บางครั้งคุณก็ดูสะเพร่า อันไหนเป็นตัวตนที่แท้จริงกันแน่ครับ”
ท้องไส้อินซอบปั่นป่วน เขารู้สึกว่าตอนนี้แพะดำที่ดื่มไปเมื่อสักครู่กำลังเต้นอยู่ในท้อง อินซอบพยายามทำตัวใจเย็นและตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’
“ครับ คนเรามักจะมีเบื้องหลังที่ซ่อนเอาไว้ประมาณหนึ่งกันทั้งนั้นแหละครับ”
“ครับ…”
อินซอบที่ติดไฟแดงอีกครั้งคิดว่าตนน่าจะใส่ใจกับการขับรถน่าจะดีกว่า ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งหรือสองครั้งที่เขาขับรถให้อีอูยอนนั่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายนั่งข้างๆ เขาจะต้องใส่ใจ แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องใส่ใจในเวลาปกติ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีคำพูดอะไรออกมาจากปากของอีอูยอนอีก เหงื่อจึงซึมออกมาเต็มฝ่ามือที่กำลังกำพวงมาลัยไว้ อีอูยอนปิดบทละครลงด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง และเอนตัวพิงเบาะรถพร้อมกับมองอินซอบอย่างจริงจัง อินซอบเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่โผล่ขึ้นมาในหัวเนื่องจากความกดดันที่เหมือนจะบีบให้เขาต้องพูดเรื่องอะไรก็ได้ออกมา
“วันนี้มีให้สัมภาษณ์กับนิตยสารสองฉบับนะครับ ส่วนตอนเย็นต้องไปร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์อีกหนึ่งเรื่อง และตอนหัวค่ำก็ไปให้สัมภาษณ์ในรายการบันเทิงด้วยครับ”
“ทราบแล้วครับ”
ชเวอินซอบไม่มีเรื่องที่จะคุยอีกต่อไปแล้ว อีอูยอนมองใบหน้าด้านข้างของผู้จัดการส่วนตัวที่กังวลและกำลังหาเรื่องคุยอย่างเพลิดเพลิน
“ผมเรียบเรียงเรื่องที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ใส่ไว้ในแฟ้มหมดแล้วนะครับ”
“ครับ ผมจะลองอ่านดูนะ”
“แล้วผมก็เตรียมชุดที่จะต้องใส่ตอนเข้าร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ไว้แล้วนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“…”
มันยากเกินไปสำหรับเขา
เขาไม่สามารถพูดคุยกับอีอูยอนได้เรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับงาน ในที่สุดชเวอินซอบก็กำพวงมาลัยและถลึงตามองไปที่ด้านหน้ารถอย่างเดียว
ชเวอินซอบรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าเพราะสายตาของอีอูยอนที่จ้องมาที่แก้ม หากเป็นไปตามแผนการเดิม ฝ่ายที่จะต้องคอยสังเกตคือเขา แต่วันนี้พวกเขากลับเปลี่ยนสถานะกัน เขาจะต้องใช้ลิ้นมอบความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากที่แตกอยู่ถึงสองสามรอบด้วยรู้สึกปากแห้ง
“เลี้ยวซ้าย”
“ครับ?”
“ต้องเลี้ยวซ้ายตรงนี้ครับ”
“อ๋อ ขอโทษครับ”
เขาพลาดช่วงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเลนถนน เพราะมัวแต่คิดสนใจอีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ผมคงจะต้องข้ามไฟแดงไปแล้วเลี้ยวรถกลับนะครับ เพราะด้านหน้ากลับรถไม่ได้ คุณไม่ต้องกังวลมากนะครับ ยังพอมีเวลาเหลืออยู่”
มีพวกดาราที่ต่อว่าผู้จัดการส่วนตัวแม้แต่เรื่องขับรถผิดทางแค่ครั้งเดียวอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยนิสัยของอีอูยอนแล้ว เขามักจะอยู่ในกลุ่มคนดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ปัญหาไม่ใช่นิสัยหรือน้ำเสียงของอีอูยอน
“มีอะไรติดอยู่ที่หน้าผมหรือเปล่าครับ”
ในที่สุดอินซอบที่ถูกอีอูยอนจ้องไปทั้งตัวอยู่ประมาณสิบนาทีก็ทนไม่ไหวและเอ่ยถาม
“เปล่าครับ”
“…”
อินซอบอยากจะถามว่า ‘แล้วทำไมถึงจ้องผมขนาดนั้นล่ะครับ’ แต่ก็ปิดปากเงียบ ดูเหมือนการที่ตัวเขาซึ่งเป็นผู้ชายพูดอะไรแบบนั้นจะเป็นการแสดงความเป็นตัวเองเยอะเกินไป
“แล้ววันนี้ตอนผมให้สัมภาษณ์คุณจะไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ผมว่าจะอยู่ในรถครับ”
“อย่าเลยครับ มานั่งข้างๆ กันดีกว่า”
“…”
ทำไมวันนี้คุณถึงทำแบบนี้กับผมล่ะครับ
ชเวอินซอบกลืนคำที่อยากพูดไปและค่อยๆ หมุนพวงมาลัย
“พอดีสัมภาษณ์วันนี้น่าจะยาวน่ะครับ ถ้าอยู่แต่ในรถจะลำบาก”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรออยู่แถวๆ นั้นแล้วกันครับ”
เขาคิดไว้นานแล้วว่าเขาจะได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอีอูยอนในระหว่างที่สัมภาษณ์บ้างหรือเปล่า แม้อีอูยอนจะให้สัมภาษณ์ได้อย่างน่าประทับใจ แต่เขาไม่ใช่นักแสดงที่ให้สัมภาษณ์ได้อย่างสนุกสนาน ในที่สุดอินซอบที่นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อจับตาดูการสัมภาษณ์ที่ถูกเปลี่ยนคำตอบให้อยู่แค่ภายในกรอบที่กำหนดเอาไว้อย่างเหมาะสมก็ตัดสินใจว่าในตอนที่เวลานอนไม่พอเหมือนอย่างตอนนี้ ให้เขาไปนอนหลับเสียยังจะดีกว่า
น่าจะมีนักข่าวที่เหมือนกับนักข่าวคิมแฮชินที่เคยสัมภาษณ์ในคราวก่อนโผล่มาบ้าง เพราะนักข่าวที่เลือกมาสัมภาษณ์ในวันนี้เป็นเพียงคนที่โด่งดังเรื่องมารยาทดีในบรรดานักข่าวสายบันเทิง
เขาเดาว่ามันคงเป็นการสัมภาษณ์ที่ยาวนานและน่าเบื่อ อินซอบถอนหายใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ครับ?”
“ก็คุณถอนหายใจนี่ครับ กังวลอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรเลย”
ถ้าจะให้กังวล เขาคงกังวลแค่เรื่องที่เขาหาข้อเสียอะไรของอีอูยอนไม่ได้เลย แต่เวลากำลังผ่านไปเรื่อยๆ อย่างเดียวเท่านั้น นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว
“ถ้าผมช่วยอะไรได้ ผมจะช่วยนะครับ”
สิ่งที่ผมต้องการก็คือนิสัยที่แท้จริงอันเน่าเฟะของคุณยังไงล่ะ แต่ถึงผมจะเอ่ยขอ คุณก็คงจะไม่ให้อย่างแน่นอน…
“แค่คำพูดผมก็รู้สึกขอบคุณแล้วครับ”
เมื่อชเวอินซอบตอบคำตอบที่แข็งกระด้างกลับมา อีอูยอนก็ยิ้มและเอนตัวไปด้านหลัง แม้จะพยายามทำตัวเป็นคนแข็งกระด้าง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าชเวอินซอบกังวลแค่ไหน เขารู้สึกเหมือนกำลังมองทหารหนุ่มที่ตัวสั่นงกๆ ทั้งๆ ที่สวมเสื้อเกราะแข็งๆ เอาไว้ ถ้าถอดเสื้อเกราะนี้ออกไปจนหมด เขาจะทำสีหน้าแบบไหนกันน้า
อีอูยอนคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยพร้อมกับจ้องมองด้านข้างของชเวอินซอบที่กำลังขับรถไปด้วย