ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 3-2

ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 3-2

“…!”

“ฝันเหรอครับ”

“…”

“ดูเหมือนจะฝันร้ายนะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ถ้าอินซอบอาการไม่ค่อย เราเลี้ยวรถกลับเลยดีไหม”

“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าไปหน่อยเลยครับ อีกไม่ถึงสามสิบนาทีเราก็จะถึงบ้านพักตากอากาศกันแล้วนะ”

เสียงของกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาที่ได้ยินอย่างต่อเนื่องทำให้ชเวอินซอบรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน

ชเวอินซอบ ชายเกาหลีอายุ 24 ปีที่โกหกว่าตนอายุ 26 เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน และตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปเที่ยวที่ไหนสักที่ในคังวอนโด

ทุกอย่างคือความฝัน

เขากะพริบตาอยู่สองสามครั้ง แล้วน้ำตาที่ติดอยู่บริเวณดวงตาก็ไหลลงมา เขารีบใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาออกเพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นและมองอีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ

อีอูยอนที่อ่านบทอยู่หันหน้ามาถามเขาว่า ‘ยังรู้สึกไม่ดีอยู่อีกเหรอครับ’ ตอนที่ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนนั้น เขารู้สึกเหมือนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนจะขึ้นรถเป็นเรื่องโกหก

ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่อินซอบก็สัมผัสได้ถึงด้านที่เย็นชาของอีอูยอน เขาไม่ได้รู้สึกไปเอง อีกฝ่ายเผชิญหน้ากับเขาด้วยท่าทีป่าเถื่อนเหมือนเป็นคนอื่นทั้งตอนที่อยู่ในห้องน้ำและตอนที่ออกมาด้านนอกแล้ว

“ดื่มน้ำสักหน่อยนะครับ”

อีอูยอนยื่นน้ำแร่ที่เจ้าตัวซื้อไว้มาให้ แม้จะรับมาแล้ว แต่ชเวอินซอบก็ยังเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของอีอูยอนอยู่ตลอด

“ตอนอินซอบนอนน้ำลายน่าจะไหลโดนไหล่ของอีอูยอนนะ เช็ดหน่อยไหม”

ชเวอินซอบหน้าแดงเพราะคำพูดล้อเล่นของกรรมการผู้จัดการคิมที่นั่งอยู่ด้านหน้า

“ขะ ขอโทษครับ”

เขาควานหาของในกระเป๋าและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา จากนั้นเขาก็สำรวจไหล่ของอีอูยอนอย่างลุกลี้ลุกลนเพื่อหาคราบน้ำลายที่น่าจะเหลืออยู่

“กรรมการผู้จัดการเขาล้อเล่นครับ”

“ครับ?”

“ล้อเล่นน่ะครับ ล้อเล่น”

“ใช่แล้ว ฉันล้อเล่น อีอูยอนเขาไม่ปล่อยคนที่ทำน้ำลายหกใส่ไหล่เขาวะ…อุก”

หัวหน้าทีมชาใช้ปลายนิ้วแทงสีข้างของกรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังพูดพล่ามอย่างเงียบๆ อีอูยอนหัวเราะพร้อมหยิบปากกาออกมา และเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงบนหลังบท

[ผมไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ให้ใครฟัง คุณโอเคใช่ไหมครับ]

ชเวอินซอบพยักหน้าน้อยๆ มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากแม้แต่จะพูดออกมา เขาไม่คิดว่าเขาจะอยากสร้างความกังวลหรือได้รับการปลอบโยนจากใครเมื่อพูดเรื่องนั้น

…อันที่จริงการถูกอีอูยอนเห็นเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด แค่นึกถึง ท้องไส้ของเขาก็ปั่นป่วนแล้ว ชเวอินซอบกลืนน้ำลงไป

“อ้อ ว่าแต่ไอ้พวกเจ๊กเมื่อกี้มันน่ารำคาญจริงๆ นะ”

“เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะไปที่นี่ก็เป็นแบบนี้หมดแหละครับ”

“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ”

ชเวอินซอบฟังคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าคุยกันแล้วเอ่ยถาม เขาอาการไม่ค่อยดีและหลับไปเหมือนคนหมดสติทันทีที่ขึ้นมาบนรถ

“ก็เกือบจะเกิดอุบัติเหตุเข้าน่ะสิ จู่ๆ ดันมีพวกคนบ้าที่ไหนไม่รู้มาขวางหน้ารถพวกเราไว้”

“ครับ?”

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ มันโยนก้นบุหรี่ใส่รถฉันด้วยนะ รู้ไหมว่าค่าฟิล์มราคาตั้งเท่าไร”

กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันกรอดพลางใช้ฝ่ามือลูบกระจกรถ

“ฉันนึกว่ามันเป็นคนบ้าซะอีก พอลดหน้าต่างลงมันก็ด่าภาษาจีนใส่ฉันเลย”

ชเวอินซอบฟังเสียงบ่นของกรรมการผู้จัดการคิมแล้วมองอีอูยอนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก อีอูยอนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางทำสีหน้าลำบากใจ อย่างไรก็ตามดูเหมือนเรื่องที่ได้ฟังจะเป็นการกระทำของพวกผู้ชายที่เขาเจอในห้องน้ำก่อนหน้านี้

“ไม่ใช่พวกชนชาติโชซอน[1] เหรอครับ เขาอาจจะเป็นพวกชนชาติโชซอนก็ได้”

“ไม่ว่าจะเป็นชนชาติโชซอนหรือคนจีนก็เป็นเจ๊กสำหรับฉันทั้งนั้น เพราะมันด่าฉันด้วยภาษาจีนยังไงล่ะ”

ถ้ามีใครมาได้ยินคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม เขาอาจถูกด่าว่าเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติได้ แต่เขากลับพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย อีอูยอนเขียนอะไรบางอย่างลงบนด้านหลังบทและยื่นให้อินซอบอ่าน ทำเอาสีหน้าของชเวอินซอบซีดเผือดอีกครั้ง

[มีเรื่องนิดหน่อยตอนที่คุณหลับไปน่ะครับ]

แม้จะได้อ่านตัวหนังสือพวกนั้นแล้ว แต่ความไม่สบายใจของอินซอบก็ไม่ได้สงบลงเลย

[ไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจหรอกครับ ยังไงก็ใช่ว่าจะได้เจอกันอีก]

 ชเวอินซอบลังเลอยู่สักพักก่อนจะขยับมือเพื่อบอกให้อีกฝ่ายส่งปากกามา เมื่ออีอูยอนยื่นปากกาให้ เขาก็เขียนข้อความลงไปอย่างระมัดระวัง

[ขอโทษครับที่ทำให้พวกคุณต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องน่าอายพวกนี้]

เรื่องน่าอาย

ชเวอินซอบรู้สึกไม่ดีแม้เขาจะเขียนลงไปด้วยตัวเองก็ตาม การที่เขาซึ่งเป็นผู้ชายถูกผู้ชายคนอื่นมองด้วยจุดประสงค์แบบนั้น แถมยังสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ไหวและโดนทำแบบนั้น เป็นเรื่องน่าอายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ในตอนที่ประตูห้องน้ำเปิดออกและเห็นใบหน้าของอีอูยอนเป็นคนแรก ความคิดในหัวของอินซอบก็คือ ‘อยากตาย’ ไม่ใช่ ‘รอดแล้ว’ แม้กระทั่งตอนที่อีอูยอนลากเขาออกมา ความไม่สบายใจก็ยังสั่นไหวอยู่ในอกโดยสัญชาตญาณ

จะเป็นแบบนี้ไม่ได้

หากมองตามความเป็นจริงแล้วอีอูยอนคือคนที่เสี่ยงอันตรายมาช่วยเขา ที่ถูกคือเขาต้องแยกความรู้สึกส่วนตัวออกไปแล้วขอบคุณให้เหมาะสม

ต้องขอบคุณไหมนะ หรือจะปล่อยมันไปเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นดี แล้วเราจะขอบคุณเขาด้วยตัวเองได้ไหม

…แบบนั้นน่าจะดีกว่า

ชเวอินซอบหยิบปากกาขึ้นมา ขณะที่เขาจะเขียนคำว่าขอบคุณลงไป กรรมการผู้จัดการคิมก็ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า

“ถึงแล้ว!”

เจ้าตัวส่งเสียงดีใจเหมือนเด็กทันทีที่มาถึงทางเข้าบ้านพักตากอากาศพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัยออก มันเป็นคฤหาสน์ที่มีหน้าต่างบานใหญ่กับกำแพงด้านนอกสีเทาอ่อนดูทันสมัย ดูจากตำแหน่งที่มีทะเลสาบอยู่ไม่ไกลและมีภูเขาอยู่ด้านหลังแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าตอนสร้างได้รับการใส่ใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะรู้เหตุผลที่กรรมการผู้จัดการคิมชมบ้านพักตากอากาศของตัวเองจนน้ำลายแห้งแล้ว

“เป็นไงล่ะบ้านพักตากอากาศของฉัน”

“ดีครับ”

“อินซอบ เวลาแบบนี้จะมาพูดแค่ว่าดีครับอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องเติมสำนวนเว่อร์ๆ เข้าไปด้วย”

คำว่า สำนวนเว่อร์ๆ ทำให้ชเวอินซอบขมวดคิ้วไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดสำนวนที่เด็กสมัยนี้ชอบใช้และเป็นสำนวนที่เขาเคยพยายามเรียนมาบ้างออกมา

“เวอร์วังอลังการมากครับ”

“…”

“…”

“ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ”

“เปล่า…ฮ่าๆๆ ช่างเป็นสำนวนที่ทั้งเว่อร์ทั้งคลาสสิกอะไรอย่างนี้”

หัวหน้าทีมชาจอดรถเสร็จก็เอาของลงมาจากท้ายรถ เมื่อชเวอินซอบเดินไปข้างๆ ทำท่าจะช่วย หัวหน้าทีมชาก็โบกมือปฏิเสธ

“ช่างเถอะน่า คุณอินซอบอาการไม่ค่อยดี ไปพักเถอะ”

“ไอ้อาการเมาอะไรนั่นรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ สีหน้ายังไม่ดีขึ้นเลย”

ในตอนนั้นอีอูยอนดันชเวอินซอบที่ไปเข้าห้องน้ำมาไปที่หลังรถ แล้วบอกคนอื่นไว้ว่าที่อีกฝ่ายดูอาการไม่ดีเป็นเพราะเมารถ มาตอนนี้ชเวอินซอบบอกว่าดีขึ้นแล้วและพยายามจะยกของ แต่อีอูยอนก็ยังดันไหล่ของอีกฝ่ายไปด้านหลังเบาๆ

“ไปพักเถอะครับ”

“…”

เพียงคำพูดเดียวนั้นทำให้ชเวอินซอบไม่สามารถพูดอะไรต่อได้และรีบลุกขึ้น

รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเพราะคำนึงถึงตัวเอง แต่คำพูดเพียงคำเดียวของอีอูยอนกลับยังคงมีน้ำหนักอย่างประหลาด เขาถึงกับรู้สึกว่าเรื่องในห้องน้ำนั้นเขาไม่ได้ถูกช่วยเหลือ แต่เหมือนถูกเจอจุดอ่อนเสียมากกว่า

“อินซอบมานี่เร็ว มาดูนี่ วิวนี้น่าตะลึงใช่ไหมล่ะ”

กรรมการผู้จัดการตื่นเต้นอย่างมากพลางชี้ไปที่ทะเลสาบพร้อมกับวางมาดเหมือนมันเป็นของตัวเอง เป็นท่าทีที่ต่างจากกรรมการผู้จัดการเท่ๆ ที่มักจะใส่เสื้อผ้าดีๆ มาพบพวกพนักงานในบริษัทอย่างสิ้นเชิง ถึงจะไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่ชเวอินซอบก็เริ่มเห็นถึงข้อดีของคนรอบตัวและรู้สึกลำบากใจขึ้นมา

หัวหน้าทีมชามองกรรมการผู้จัดการคิมพลางเดาะลิ้นก่อนจะเอาของทั้งหมดเข้าไปเก็บในบ้านพักตากอากาศ

“คุณลุงที่เป็นคนดูแลเตรียมของเอาไว้ให้อย่างดีเลยนะครับ”

“แน่นอน เขาโทรมาบอกว่าเตรียมของเสร็จแล้วตั้งแต่สองสามวันก่อนโน่น”

อินซอบเปลี่ยนมาสวมรองเท้าสลิปเปอร์ที่ถูกเตรียมไว้แล้วกวาดตามองด้านในบ้านพักตากอากาศอย่างเหม่อๆ

“อินซอบไปนั่งพักตรงนั้นสิ”

กรรมการผู้จัดการคิมชี้ไปที่โซฟา อินซอบนั่งลงบนโซฟาอย่างระมัดระวังพลางสำรวจรอบๆ ด้วยใบหน้าเหม่อลอย

“เป็นไง ใช้ได้ไหม”

“ครับ ดีเลยครับ”

“ตอนที่สร้างบ้านหลังนี้น่ะ ฉันมาอยู่ที่คังวอนโดตั้งหนึ่งเดือน ฉันต้องคอยดูอยู่ตลอดเลยล่ะ เพราะถ้าฉันไม่คอยบ่นอยู่ข้างๆ หูพวกผู้รับเหมา งานก็จะเสร็จช้าน่ะ”

“ตอนนั้นเหนื่อยมากจริงๆ ครับ มีเรื่องที่ต้องจัดการกองเป็นภูเขา แต่กรรมการผู้จัดการไม่ยอมเข้าบริษัทเลย เพราะบ้าอยู่แต่กับเรื่องบ้านพักตากอากาศ”

หัวหน้าทีมชานึกถึงอดีตพลางถอนหายใจ

“แต่ฉันก็เซ็นเอกสารที่จะต้องอนุมัติหมดนะ”

“กรรมการผู้จัดการแค่พูดว่าโอเคนี่ครับ ส่วนผมเป็นทั้งคนประทับตรา ทั้งคนตรวจสอบเอกสาร”

“แต่ฉันก็ให้โบนัสนี่”

“เหอะ โบนัสเท่าหางอึ่ง”

ชเวอินซอบมองภาพคนสองคนเถียงกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานและงเอ่ยพูด

“คุณทั้งคู่ดูสนิทกันมากจริงๆ นะครับ”

“สนิทกะผีน่ะสิ ฉันพามาอยู่ด้วยเพราะสงสารเด็กเด๋อๆ ที่เป็นโร้ดเมเนเจอร์ให้ฉันมากกว่า”

“หึๆๆๆ กรรมการผู้จัดการครับ ถ้าผมเล่าเรื่องสมัยที่กรรมการผู้จัดการพาเด็กๆ มาเที่ยวเล่นล่ะก็ จะไม่มีใครเชื่อฟังคุณเอาได้นะครับ”

“เฮ้ย หัวหน้าทีมชา เอาเรื่องสมัยนั้นมาพูดตอนนี้เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”

“แล้วใครจะมาสนใจฟังคำพูดของเด็กเด๋อๆ ล่ะครับ ทำไมต้องทำหน้าเครียดด้วย”

หัวหน้าทีมชายิ้มอย่างล้อเลียนก่อนจะจับไหล่ของชเวอินซอบและพูดต่อ

“นายเองก็ต้องหาจุดอ่อนของดาราที่นายดูแลอยู่ให้เจอสักข้อสองข้อนะ เพราะวันหนึ่งมันต้องกลายเป็นสมบัติของนายอย่างแน่นอน”

อีอูยอนที่กำลังมองไปรอบๆ บ้านเท้าเอวพร้อมกับหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆ ให้ตายสิ คุณหัวหน้าทีม จะยุให้คุณอินซอบขุดคุ้ยจุดอ่อนของผมเหรอครับ”

“เปล่านะ ฉันก็แค่…”

“ผมมีจุดอ่อนที่ไหนล่ะครับ”

อีอูยอนขยิบตาอย่างขี้เล่น แต่คนทั้งสามคนกลับได้แต่หน้าซีด ไม่รู้สึกถึงความขี้เล่นนั้นเลยสักนิด

“ผมหมายถึง…ดาราคนอื่นน่ะ คุณอินซอบ ที่ผมจะพูดก็คือให้ทำแบบนั้นตอนที่ดูแลดาราคนอื่นนะ เพราะอูยอนเขาไม่มีจุดอ่อนหรอก…ไม่มีเลย”

หัวหน้าทีมชาพูดตะกุกตะกัก

“ผมไม่คิดจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคนอื่นหรอกครับ”

“หา?”

ชเวอินซอบเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปก่อนจะร้อง ‘โอ๊ะ’ แล้วก้มหน้าลง อีอูยอนหัวเราะอย่างสดใสมากกว่าเมื่อครู่

“อินซอบ นายจะรักษาตำแหน่งหัวหน้าแฟนคลับของอีอูยอนไว้เหรอ”

ได้ยินกรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยล้อ ชเวอินซอบก็ส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังหน้าแดงอยู่ อีอูยอนมองท่าทางของอินซอบอย่างเพลิดเพลินพร้อมหมุนไหล่และเอ่ยพูด

“ผมจะไปอาบน้ำหน่อยนะครับ”

“ชั้นสองเลย”

กรรมการผู้จัดการคิมชี้ไปที่บันได อีอูยอนจึงเดินขึ้นไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เมื่ออีอูยอนไม่อยู่ คนทั้งคู่ก็นั่งลงข้างๆ อินซอบ

“คุณอินซอบ เมื่อกี้มีเรื่องอะไรเหรอ”

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ชนชาติโชซอนหรือคนจีนนั่นน่ะ มีเรื่องอะไรกับอีอูยอนเหรอ”

“ครับ?”

แต่ในรถอีอูยอนบอกว่าไม่ได้พูดอะไรกับสองคนนี้ไม่ใช่เหรอ ชเวอินซอบรู้สึกเหมือนเลือดจะไม่ไปเลี้ยงปลายนิ้วจึงค่อยๆ หายใจเข้า-ออกช้าๆ

“…ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ”

การโกหกนั้นยากเสมอ แต่ก็ช่วยไม่ได้ อินซอบไม่อยากให้ใครรู้เรื่องน่าอนาถที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพิ่มอีก

“งั้นเหรอ แต่เหมือนเขาจะทะเลาะอะไรกันเลยนะ”

หัวหน้าทีมชาที่จัดของอยู่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมและพูดว่า ‘ใช่ไหมล่ะครับ’

“ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่งั้นอีอูยอนคงไม่โยนไอ้นั่นโดยไม่มีเหตุผล…ฮ่าๆๆ ตรงนี้มีฝุ่นนี่นา”

หัวหน้าทีมชาที่กำลังพูดอยู่จู่ๆ ก็ก้มตัวลงไปและแกล้งทำเป็นเช็ดฝุ่น พอชเวอินซอบหันกลับไปมอง กรรมการผู้จัดการคิมก็ถลึงตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่ผมหลับเหรอครับ”

“เปล่าหรอก แค่ลองถามดูเฉยๆ น่ะว่าได้มีเรื่องอะไรกับเจ๊กพวกนั้นหรือเปล่า อย่าใส่ใจเลย”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงกลับใส่ใจมาก

เจ้าตัวสาดคำด่าที่มีทั้งหมดออกมาตอนที่เกือบจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะคนบ้าที่ไหนไม่รู้มาขวางหน้ารถอย่างกะทันหันและไร้เหตุผล ตอนที่คนบ้าพวกนั้นเปิดหน้าต่างและโยนก้นบุหรี่ติดไฟใส่ ท้องไส้ของกรรมการผู้จัดการคิมก็ปั่นป่วนด้วยคำด่าที่มีอยู่เต็มท้อง

กรรมการผู้จัดการคิมถึงกับหงายหลัง เพราะผู้ชายพวกนั้นถุยน้ำลายและชูนิ้วกลางใส่รถแลนด์โรเวอร์ อีโวคที่ตนเพิ่งถอยมาใหม่ได้ไม่นาน จากนั้นก็ด่าเป็นภาษาจีนที่ตนไม่เข้าใจอีก ตอนที่ตนชี้นิ้วไปที่คนบ้าพวกนั้นและพยายามจะด่า อีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่เงียบๆ ด้านหลังก็ยื่นมือที่ถืออะไรสักอย่างออกมา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างและโยนประแจออกไป มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่กรรมการผู้จัดการคิมไม่ทันได้ห้าม

กรรมการผู้จัดการคิมเห็นรถที่มีประแจปักอยู่ที่กระจกหน้าจอดอยู่ตรงไหล่ทางและตะโกนออกมาว่า ‘มึงจะบ้าเหรอ’ ด้วยความตกใจ เพราะมันอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่โตขึ้นได้

แต่อีอูยอนกลับขยับมือบอกให้เขาเงียบและนั่งอ่านบทอีกครั้งราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร นั่นเป็นเพียงช่วงเวลาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ชเวอินซอบนอนหลับพิงเบาะร้องครวญครางอยู่ และมันก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าอีอูยอนเป็นคนแบบไหนเท่านั้นเอง


[1] ชนชาติโชซอน คนเกาหลีที่อพยพไปอยู่ที่ประเทศจีนแต่ก็ยังใช้ภาษาเกาหลีในการสื่อสารระหว่างกันอยู่

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท