ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 4-3

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 4-3

“ถึงแล้วครับ”

ชเวอินซอบจอดรถ

“งั้นผมไปก่อนนะครับ คุณจอดรถเสร็จแล้วก็ขึ้นมานะ”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

อินซอบปล่อยให้อีอูยอนลงไปก่อน และไปจอดรถที่ลานจอดรถ รถยนต์คันเล็กจอดง่ายกว่ารถตู้ที่ขับไปไหนมาไหนในเวลาปกติ พอเขาจอดรถเสร็จและออกมาจากรถ ใครสักคนก็จับไหล่ของเขาไว้

“ขอโทษนะคะ”

“ครับ?”

“พี่อูยอนมีสัมภาษณ์ที่นี่วันนี้ใช่ไหมคะ”

“ครับ ใช่ครับ”

มีแฟนคลับหลายคนที่ชอบไล่ตามดาราที่ชอบ การขวางพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ให้ดีเป็นหนึ่งในงานของผู้จัดการส่วนตัว แต่แน่นอนว่าต้องมีคนที่ขวางไว้ไม่ได้เช่นกัน

ต่อมาอินซอบก็ได้รู้ความจริงว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือจินซูมี แฟนคลับเอาแต่ใจที่สาดกาแฟใส่เขาก่อนหน้านี้ แม้แต่อีอูยอนซึ่งไม่มีทางทำหน้านิ่งใส่แฟนคลับที่เป็นคนปกติยังเอาแต่หันหน้าหนีเมื่อผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว จินซูมีไม่ยอมแพ้อยู่แค่นั้น เธอมาถึงที่และส่งเสียงกรี๊ดให้อีอูยอนมามองตน เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรถึงได้โผล่มาเหมือนผีในสถานที่สัมภาษณ์หรือกองถ่ายที่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ

“ช่วยเอาอันนี้ไปให้พี่เขาให้หน่อยได้ไหมคะ”

จินซูมียื่นซองให้ ชเวอินซอบลังเลอยู่พักหนึ่ง อีอูยอนยึดมั่นในกฎที่บอกว่าจะไม่รับของขวัญจากแฟนคลับ

“แค่จดหมายไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

จินซูมียื่นจดหมายพร้อมกับยิ้มราวกับว่าเธอรู้เหตุผลที่อินซอบลังเล

แต่ถ้าเป็นจดหมายจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ

“เข้าใจแล้วครับ”

ชเวอินซอบรับจดหมายมาใส่ไว้ในกระเป๋า เธอก้มหัวลาก่อนจะออกจากลานจอดรถไป เมื่อเขาเข้ามาในร้านอาหารฝรั่งเศสที่อยู่ชั้นสอง อีอูยอนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็โบกมือให้

อินซอบพยักหน้าให้นักข่าวและนั่งลงที่โต๊ะตัวข้างๆ จากนั้นการสัมภาษณ์ก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง เรื่องราวที่น่าเบื่อเกี่ยวกับปรัชญาในการแสดงกับละครเรื่องใหม่ที่อีอูยอนจะร่วมแสดงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย อินซอบเปิดหนังสือที่เอามาด้วยและเริ่มอ่าน การนอนหรืออ่านหนังสือในเวลาที่เหลือเป็นความหรูหราที่เยี่ยมที่สุดที่เขาจะสามารถสนุกกับปัจจุบันได้

ถ้ารักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจนนี่ได้ เราก็จะสามารถทำทุกเรื่องที่อยากทำได้เต็มที่ เราจะสนุกกับช่วงเวลาเหล่านั้นที่สามารถเขียนหนังสือ ไปเที่ยว ถ่ายรูป อ่านหนังสือ และเพ้อฝันได้อย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีตราบาป

…วันเหล่านั้นที่เราสามารถเป็นอิสระจาตราบาปได้จะมาถึงหรือเปล่านะ

“ผมขอตัวสักครู่นะครับ”

อีอูยอนขออนุญาตนักข่าวและลุกขึ้น อินซอบมองตามหลังอีกฝ่ายไปและเบนสายตากลับมาที่หนังสืออีกครั้ง

“กำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอคะ หนังสือนิยายหรือเปล่า”

นักข่าวพูดกับอินซอบเพราะเธอรู้สึกเบื่อเวลาที่ต้องรอ อินซอบยกหนังสือที่ตนกำลังอ่านอยู่ขึ้นมาให้เธอดูชื่อหนังสือเงียบๆ

“ ‘This book will save your life’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการช่วยชีวิตเหรอคะ”

“เป็นนิยายน่ะครับ”

“สนุกไหมคะ”

“ครับ จนถึงตอนนี้น่ะนะครับ”

“อ๋า จริงด้วย ฉันคงทักทายช้าไป ฉันนักข่าวยุนอารึมจากนิตยสารบลูรายเดือนค่ะ”

“ชเวอินซอบครับ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอน”

นักข่าวที่ปัดผมไปด้านหลังอย่างสุภาพยื่นนามบัตรของตนให้อินซอบ ชเวอินซอบลังเลก่อนจะเขียนชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของตนลงบนมุมหนังสือ ก่อนจะฉีกแล้วยื่นให้หญิงสาว

“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมยังไม่ได้ทำนามบัตร”

และเขาก็ไม่คิดจะทำไปตลอดกาล

นักข่าวยุนอารึมรับกระดาษมา และอุทานด้วยสีหน้าตกใจ เธอมองหน้าตาจริงจังของคู่สนทนาและหัวเราะคิกคัก

“ได้เลยค่ะ ฉันจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลยค่ะ”

“ครับ? อ๋อ…ครับ”

แม้เขาจะคาใจว่าตนทำอะไรผิดอีกแล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีช่องว่างให้ได้ถาม เพราะอีอูยอนกลับมาจากห้องน้ำพอดี

“กำลังคุยเรื่องสนุกๆ อะไรกันอยู่เหรอครับ”

อินซอบคิดที่จะตอบว่าเปล่า แต่ยุนอารึมกลับตอบตัดหน้าเขา

“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนให้เบอร์โทรศัพท์ฉันค่ะ”

“ครับ?”

“…!”

“ฉันให้นามบัตรเขาไป เขาก็เลยให้เบอร์โทรศัพท์กับฉันน่ะค่ะ”

นักข่าวยุนอารึมโบกกระดาษที่ได้รับมาเมื่อกี้ให้ดูพร้อมกับคลี่ยิ้ม อีอูยอนหันกลับมามองอินซอบด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ชเวอินซอบโบกมือทั้งสองข้างแสดงท่าทีปฏิเสธ แต่บนกระดาษที่หญิงสาวถืออยู่มีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเขาเขียนอยู่จริงๆ

“ผมไม่มีนามบัตรก็เลย…”

“เดี๋ยวค่อยคุยครับ ไม่เป็นไร”

อีอูยอนขัดจังหวะการพูดของชเวอินซอบ อินซอบอยากจะแก้ตัวว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพราะอีกฝ่ายกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ เขาจึงไม่สามารถพูดแทรกได้

ชเวอินซอบฟังเสียงคนทั้งคู่พูดกระซิบกระซาบกันก่อนจะกางหนังสือออก แม้เขาจะอ่านตัวหนังสืออยู่ แต่เนื้อหากลับไม่เข้าหัวเลยแม้แต่อย่างเดียว สุดท้ายตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง เขาก็อ่านหนังสือได้ไม่ถึงสามสิบหน้าและต้องปิดหนังสือลง

“ขอบคุณสำหรับการสัมภาษณ์ครับ”

“ฉันสิคะต้องขอบคุณ เป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยค่ะ”

อินซอบเห็นว่าอีอูยอนกำลังจับมือกับนักข่าวแล้วจึงลุกขึ้น

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ ฉันจะเป็นกำลังให้กับละครของคุณอูยอนด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“สวัสดีค่ะ”

ชเวอินซอบเองก็ก้มหัวเพื่อร่ำลานักข่าวด้วย นักข่าวยุนอารึมยิ้มพร้อมกับโบกมือ

“ว่าแต่ฉันโทรศัพท์ไปเบอร์นั้นได้จริงๆ เหรอคะ”

“เอ่อ…ถ้าเป็นเรื่องงานก็ไม่เป็นครับ”

“ล้อเล่นค่ะ ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ”

“ครับ ไว้เจอกันนะครับ”

อีอูยอนไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารจนกระทั่งเข้ามาในลิฟต์ เมื่ออยู่กันตามลำพังในลิฟต์ อีอูยอนก็เปิดปากพูด

“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นสินะครับ”

“ครับ?”

“คนในสเปคน่ะครับ”

“ปะ เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ…ผมแค่ไม่มีนามบัตร พอได้รับนามบัตรมาก็เลย…ขอโทษครับ ผมไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไปด้วยจุดประสงค์นั้นนะครับ ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิดผมก็ขอโทษด้วยครับ”

อีอูยอนมองชเวอินซอบที่เอ่ยขอโทษตนอย่างตื่นตระหนก เขาฉีกยิ้มมากกว่าปกติ

“เข้าใจผิดอะไรกันล่ะครับ ถ้าถูกใจคุณก็ให้เบอร์ติดต่อเขาได้ครับ”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”

“งั้นเหรอครับ”

ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียง ติ๊ง แม้ขณะที่เดินไปยังที่จอดรถ ชเวอินซอบก็ยังทำสีหน้าเหมือนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้เขาจะไม่ใช่คนประเภทที่จะแก้ตัวให้กับการกระทำของตน แต่เรื่องคราวนี้ทำให้เขารู้สึกอยากอธิบายให้ชัดเจน

อีอูยอนนั่งที่ตรงเบาะข้างคนขับพลางคาดเข็มขัดนิรภัยและเอ่ยถาม

“งั้นสเปคของคุณอินซอบเป็นแบบไหนเหรอครับ”

อินซอบซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับหันหน้ามาหาพร้อมสีหน้าคล้ายโดนจี้จุดอ่อน เหมือนคนที่ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยิน

“ผมไม่คิดว่าคุณจะมีสเปคนะ เอาเป็นว่าชอบคนที่อ่อนโยนและมีความเป็นผู้หญิงเหมือนคุณยุนอารึมเมื่อสักครู่นี้ไหมครับ”

อินซอบรีบปิดประตูรถและคาดเข็มขัดนิรภัย เขาพึมพำว่า ‘จะออกเดินทางแล้วนะครับ’ พร้อมกับสตาร์ทรถ อีอูยอนโยนคำถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้

“ไม่มีสเปคเหรอครับ”

“…”

“มีคนที่ไม่มีสเปคอยู่ด้วยเหรอ”

“…”

ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้นะ คนที่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้กับเราได้

ถ้าหากทำได้ เราก็อยากจะตะโกนออกไปว่าให้เลิกเล่นได้แล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้นสิ่งที่ได้กลับมาน่าจะเป็นการแจ้งให้ออกจากหรือเปล่า

“มีสิครับ สเปคน่ะ”

“คืออะไรเหรอครับ”

“…คนอ่อนโยนครับ”

“แล้ว”

“แค่นั้นครับ”

อีอูยอนหัวเราะต่ำๆ ให้กับคำตอบที่เฉียบขาดของชเวอินซอบ

“แค่อ่อนโยนก็พอเหรอครับ”

“ครับ”

“ง่ายดีนะครับ คุณอินซอบ”

อินซอบไม่รู้ว่าควรตีความคำพูดของอีกฝ่ายว่าอย่างไร เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ตอบกลับไปว่า ’ไม่หรอกครับ’ พร้อมกับส่ายหน้า

“คนอ่อนโยนหายากกว่าที่คิดนะครับ”

“งั้นเหรอครับ”

ดูเหมือนชเวอินซอบจะเข้าใจประธานของคำว่า ‘ยาก’ ผิดไป อ่อนโยนก็พออย่างนั้นเหรอ อีอูยอนเพียงแค่ประหลาดใจกับความจริงที่ว่ายังมีคนแบบนี้เหลืออยู่ก็เท่านั้น

“เคยรักกับคนที่อ่อนโยนเหรอครับ”

แววตาของอินซอบที่กำลังถอยรถอยู่สั่นไหว ถึงจะรู้ว่าคู่สนทนารู้สึกไม่สบายใจกับคำถามก่อนหน้านี้ แต่อีอูยอนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และถามต่อ

“รักแรกเป็นคนอ่อนโยนเหรอครับ”

“…”

ชเวอินซอบกัดริมฝีปาก อีอูยอนสงสัยว่าในหัวเล็กๆ นั้นกำลังพยายามคิดอะไรอยู่กันแน่

“เป็นคนแบบไหนเหรอครับ”

สีหน้าของอินซอบค่อยๆ หมองลง ท่าทางของเจ้าตัวดูเหมือนน้ำตาจะไหลถ้าเขาต้อนให้จนมุมอีกเพียงนิดเดียว

ดูเหมือนรักแรกจะตายไปแล้วหรือเปล่านะ น่าสงสารจัง

อีอูยอนซ่อนจิตใจที่บิดเบี้ยวของตนไว้และถามอินซอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวเสียงกระซิบ

“เป็นคนแบบไหนเหรอครับ”

อินซอบปวดหัวตุบๆ เพราะการซักถามที่มีความรบเร้าอยู่เนืองๆ เขารู้สึกว่าถ้าอยากจะหยุดคำถามโจมตีของอีอูยอน เขาต้องตอบอะไรสักอย่างออกไป

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“…เป็นคนไม่ดีครับ”

คำพูดที่เบาหวิวเหมือนกับเสียงลมหายใจหลุดออกมาจากปากของชเวอินซอบ

“คนไม่ดีเหรอครับ”

“…”

“รักแรกของคุณเป็นคนไม่ดีเหรอครับ ไม่สิ คุณมีรักครั้งแรกด้วย ฮ่าๆๆ ขอโทษครับ ไม่ใช่ว่าผมจะล้อนะ แต่เพราะคุณอินซอบดูห่างไกลกับอะไรแบบนั้นมากเลย”

“…”

ชเวอินซอบปิดปากสนิทเพราะคิดว่าตัวเองพูดมากเกินไป เขากัดริมฝีปากและค้นหาของในกระเป๋าก่อนจะยื่นซองจดหมายสีชมพูอ่อนให้อีอูยอน

“อะไรเหรอครับ”

“แฟนคลับเอามาให้น่ะครับ”

พอรู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่ดีที่สุดที่อีกฝ่ายจะสามารถทำได้ อีอูยอนก็เกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เป็นแผนการที่มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งแบบนี้เลยงั้นเหรอ

“ผมรับมาเพราะมันไม่ใช่ของขวัญ…อ๊ะ!”

อินซอบที่กำลังพูดอยู่ส่งเสียงร้องพร้อมกับทำตาโต รถยนต์ที่กำลังออกมาจากลานจอดรถส่งเสียงดังสนั่นและหยุดทันที ผู้หญิงที่วิ่งออกมาตรงหน้าอย่างกะทันหันยิ้มอย่างเชื่องช้าและเดินเข้ามาใกล้ๆ กับหน้าต่างฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เธอใช้ฝ่ามือทุบหน้าต่างรถ ตอนที่เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้น สีหน้าของอีอูยอนก็เคร่งเครียดขึ้นมา

“พี่คะ รักนะคะ”

เธอสารภาพรักอย่างเยือกเย็นก่อนจะยิ้มและถอยห่างออกไป แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ แต่ความหงุดหงิดของอีอูยอนก็ยังคงพลุ่งพล่านขึ้นมาเพราะผู้หญิงที่ปรากฏตัวอย่างน่ารำคาญเหมือนแมลงสาบ แม้จะเคยเตือนไปแล้ว ถ้าเขาเป็นคนจับพวงมาลัยอยู่ล่ะก็ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะเหยียบคันเร่งต่อแล้วแกล้งทำเหมือนเป็นเรื่องผิดพลาดหรือไม่

อีอูยอนใช้มือเสยผมที่ยุ่งเหยิงพร้อมกับหันไปหาคนข้างๆ

“ตกใจเหรอครับ เดิมทีผู้หญิงคนนั้น…ทำไมมือถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”

“ครับ? คือ…เอ๊ะ?”

เมื่ออีอูยอนชี้มา อินซอบถึงได้รู้ว่ามือของตัวเองมีเลือดไหล เขาใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาอย่างมึนงงแล้วใช้มันพันมือข้างที่เป็นแผลไว้อย่างรวดเร็ว

อีอูยอนแย่งจดหมายที่อยู่ในมือของชเวอินซอบมาโดยไม่พูดอะไรและเปิดดูซองจดหมายที่เปื้อนเลือด ข้างในนั้นมีใบมีดซ้อนติดกันอยู่มากมายอย่างที่คิด

“…”

อีอูยอนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกลั้นคำด่าที่ปะทุขึ้นมาไว้ เขาเปิดกระจกรถแล้วโยนซองจดหมายทิ้งไปก่อนจะหันมาจับมือของอินซอบ

“บาดเจ็บมากหรือเปล่าครับ”

“ไม่ครับ ไม่เป็นไรเลยครับ”

“แต่เลือดออกเยอะมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“เดี๋ยวผมจะโทรศัพท์หาหัวหน้าทีมชา รอก่อนนะ…”

“อย่านะครับ!”

ชเวอินซอบคว้าอีอูยอนไว้สุดชีวิต

“อย่านะครับ อย่าโทรศัพท์หาหัวหน้าทีมชานะครับ แล้วก็ห้ามบอกกรรมการผู้จัดการด้วย ผมไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกเขาไปมากกว่านี้แล้วครับ”

ชเวอินซอบเบิกตาโต ใบหน้าซีดเผือดเหมือนรู้ว่าถ้าคนพวกนั้นรู้เรื่องที่เจ้าตัวบาดเจ็บจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ คงไม่ใช่ว่าชเวอินซอบไปสร้างความลำบากใหญ่หลวงอะไรให้สองคนนั้นโดยที่เราไม่รู้หรอกนะ อีอูยอนคิด ในขณะเดียวกันชเวอินซอบเองก็ดิ้นรนสุดชีวิต

“ผมขับรถได้ครับ เดี๋ยวเลือดก็หยุดแล้ว จริงๆ นะครับ ดูสิครับ แผลไม่ค่อย…”

เมื่อเปิดผ้าเช็ดหน้าที่กดแผลไว้ออก สีเลือดก็หายไปจากใบหน้าของอินซอบ ตอนที่เห็นเนื้อด้านในผิวหนังที่เผยออกมาเป็นสีชมพู เขาก็รู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมาก

“อุ๊บ…”

เขารีบเอามือปิดปากกลั้นอาเจียน อีอูยอนใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผลของอินซอบไว้โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้

“ถึงแผลเหมือนจะไม่ลึก แต่ก็ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ”

“…ครับ”

“ผมจะไม่บอกหัวหน้าทีมหรือกรรมการผู้จัดการเรื่องที่คุณบาดเจ็บตามที่ขอครับ”

“ขอบคุณครับ”

“แต่คุณอินซอบช่วยฟังคำขอร้องของผมสักข้อแทนนะครับ”

อีอูยอนว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากเสื้อของตน ก่อนจะช่วยเช็ดเลือดที่เปื้อนหน้าของอินซอบ ชเวอินซอบขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เพราะการกระทำอันแสนอ่อนโยนของอีกฝ่ายต้องเป็นการแสดงอย่างแน่นอน

“คุณจะช่วยฟังคำขอร้องของผมใช่ไหมครับ”

เสียงอันอ่อนโยนของอีอูยอนปักเข้ามาในหูของอินซอบราวกับใบมีด

***

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท