“ถึงแล้วครับ”
ชเวอินซอบจอดรถ
“งั้นผมไปก่อนนะครับ คุณจอดรถเสร็จแล้วก็ขึ้นมานะ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบปล่อยให้อีอูยอนลงไปก่อน และไปจอดรถที่ลานจอดรถ รถยนต์คันเล็กจอดง่ายกว่ารถตู้ที่ขับไปไหนมาไหนในเวลาปกติ พอเขาจอดรถเสร็จและออกมาจากรถ ใครสักคนก็จับไหล่ของเขาไว้
“ขอโทษนะคะ”
“ครับ?”
“พี่อูยอนมีสัมภาษณ์ที่นี่วันนี้ใช่ไหมคะ”
“ครับ ใช่ครับ”
มีแฟนคลับหลายคนที่ชอบไล่ตามดาราที่ชอบ การขวางพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ให้ดีเป็นหนึ่งในงานของผู้จัดการส่วนตัว แต่แน่นอนว่าต้องมีคนที่ขวางไว้ไม่ได้เช่นกัน
ต่อมาอินซอบก็ได้รู้ความจริงว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือจินซูมี แฟนคลับเอาแต่ใจที่สาดกาแฟใส่เขาก่อนหน้านี้ แม้แต่อีอูยอนซึ่งไม่มีทางทำหน้านิ่งใส่แฟนคลับที่เป็นคนปกติยังเอาแต่หันหน้าหนีเมื่อผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว จินซูมีไม่ยอมแพ้อยู่แค่นั้น เธอมาถึงที่และส่งเสียงกรี๊ดให้อีอูยอนมามองตน เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรถึงได้โผล่มาเหมือนผีในสถานที่สัมภาษณ์หรือกองถ่ายที่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ
“ช่วยเอาอันนี้ไปให้พี่เขาให้หน่อยได้ไหมคะ”
จินซูมียื่นซองให้ ชเวอินซอบลังเลอยู่พักหนึ่ง อีอูยอนยึดมั่นในกฎที่บอกว่าจะไม่รับของขวัญจากแฟนคลับ
“แค่จดหมายไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
จินซูมียื่นจดหมายพร้อมกับยิ้มราวกับว่าเธอรู้เหตุผลที่อินซอบลังเล
แต่ถ้าเป็นจดหมายจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ
“เข้าใจแล้วครับ”
ชเวอินซอบรับจดหมายมาใส่ไว้ในกระเป๋า เธอก้มหัวลาก่อนจะออกจากลานจอดรถไป เมื่อเขาเข้ามาในร้านอาหารฝรั่งเศสที่อยู่ชั้นสอง อีอูยอนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็โบกมือให้
อินซอบพยักหน้าให้นักข่าวและนั่งลงที่โต๊ะตัวข้างๆ จากนั้นการสัมภาษณ์ก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง เรื่องราวที่น่าเบื่อเกี่ยวกับปรัชญาในการแสดงกับละครเรื่องใหม่ที่อีอูยอนจะร่วมแสดงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย อินซอบเปิดหนังสือที่เอามาด้วยและเริ่มอ่าน การนอนหรืออ่านหนังสือในเวลาที่เหลือเป็นความหรูหราที่เยี่ยมที่สุดที่เขาจะสามารถสนุกกับปัจจุบันได้
ถ้ารักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจนนี่ได้ เราก็จะสามารถทำทุกเรื่องที่อยากทำได้เต็มที่ เราจะสนุกกับช่วงเวลาเหล่านั้นที่สามารถเขียนหนังสือ ไปเที่ยว ถ่ายรูป อ่านหนังสือ และเพ้อฝันได้อย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีตราบาป
…วันเหล่านั้นที่เราสามารถเป็นอิสระจาตราบาปได้จะมาถึงหรือเปล่านะ
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ”
อีอูยอนขออนุญาตนักข่าวและลุกขึ้น อินซอบมองตามหลังอีกฝ่ายไปและเบนสายตากลับมาที่หนังสืออีกครั้ง
“กำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอคะ หนังสือนิยายหรือเปล่า”
นักข่าวพูดกับอินซอบเพราะเธอรู้สึกเบื่อเวลาที่ต้องรอ อินซอบยกหนังสือที่ตนกำลังอ่านอยู่ขึ้นมาให้เธอดูชื่อหนังสือเงียบๆ
“ ‘This book will save your life’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการช่วยชีวิตเหรอคะ”
“เป็นนิยายน่ะครับ”
“สนุกไหมคะ”
“ครับ จนถึงตอนนี้น่ะนะครับ”
“อ๋า จริงด้วย ฉันคงทักทายช้าไป ฉันนักข่าวยุนอารึมจากนิตยสารบลูรายเดือนค่ะ”
“ชเวอินซอบครับ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอน”
นักข่าวที่ปัดผมไปด้านหลังอย่างสุภาพยื่นนามบัตรของตนให้อินซอบ ชเวอินซอบลังเลก่อนจะเขียนชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของตนลงบนมุมหนังสือ ก่อนจะฉีกแล้วยื่นให้หญิงสาว
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมยังไม่ได้ทำนามบัตร”
และเขาก็ไม่คิดจะทำไปตลอดกาล
นักข่าวยุนอารึมรับกระดาษมา และอุทานด้วยสีหน้าตกใจ เธอมองหน้าตาจริงจังของคู่สนทนาและหัวเราะคิกคัก
“ได้เลยค่ะ ฉันจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลยค่ะ”
“ครับ? อ๋อ…ครับ”
แม้เขาจะคาใจว่าตนทำอะไรผิดอีกแล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีช่องว่างให้ได้ถาม เพราะอีอูยอนกลับมาจากห้องน้ำพอดี
“กำลังคุยเรื่องสนุกๆ อะไรกันอยู่เหรอครับ”
อินซอบคิดที่จะตอบว่าเปล่า แต่ยุนอารึมกลับตอบตัดหน้าเขา
“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนให้เบอร์โทรศัพท์ฉันค่ะ”
“ครับ?”
“…!”
“ฉันให้นามบัตรเขาไป เขาก็เลยให้เบอร์โทรศัพท์กับฉันน่ะค่ะ”
นักข่าวยุนอารึมโบกกระดาษที่ได้รับมาเมื่อกี้ให้ดูพร้อมกับคลี่ยิ้ม อีอูยอนหันกลับมามองอินซอบด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ชเวอินซอบโบกมือทั้งสองข้างแสดงท่าทีปฏิเสธ แต่บนกระดาษที่หญิงสาวถืออยู่มีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเขาเขียนอยู่จริงๆ
“ผมไม่มีนามบัตรก็เลย…”
“เดี๋ยวค่อยคุยครับ ไม่เป็นไร”
อีอูยอนขัดจังหวะการพูดของชเวอินซอบ อินซอบอยากจะแก้ตัวว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพราะอีกฝ่ายกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ เขาจึงไม่สามารถพูดแทรกได้
ชเวอินซอบฟังเสียงคนทั้งคู่พูดกระซิบกระซาบกันก่อนจะกางหนังสือออก แม้เขาจะอ่านตัวหนังสืออยู่ แต่เนื้อหากลับไม่เข้าหัวเลยแม้แต่อย่างเดียว สุดท้ายตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง เขาก็อ่านหนังสือได้ไม่ถึงสามสิบหน้าและต้องปิดหนังสือลง
“ขอบคุณสำหรับการสัมภาษณ์ครับ”
“ฉันสิคะต้องขอบคุณ เป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยค่ะ”
อินซอบเห็นว่าอีอูยอนกำลังจับมือกับนักข่าวแล้วจึงลุกขึ้น
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะเป็นกำลังให้กับละครของคุณอูยอนด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ชเวอินซอบเองก็ก้มหัวเพื่อร่ำลานักข่าวด้วย นักข่าวยุนอารึมยิ้มพร้อมกับโบกมือ
“ว่าแต่ฉันโทรศัพท์ไปเบอร์นั้นได้จริงๆ เหรอคะ”
“เอ่อ…ถ้าเป็นเรื่องงานก็ไม่เป็นครับ”
“ล้อเล่นค่ะ ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ”
“ครับ ไว้เจอกันนะครับ”
อีอูยอนไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารจนกระทั่งเข้ามาในลิฟต์ เมื่ออยู่กันตามลำพังในลิฟต์ อีอูยอนก็เปิดปากพูด
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นสินะครับ”
“ครับ?”
“คนในสเปคน่ะครับ”
“ปะ เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ…ผมแค่ไม่มีนามบัตร พอได้รับนามบัตรมาก็เลย…ขอโทษครับ ผมไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไปด้วยจุดประสงค์นั้นนะครับ ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิดผมก็ขอโทษด้วยครับ”
อีอูยอนมองชเวอินซอบที่เอ่ยขอโทษตนอย่างตื่นตระหนก เขาฉีกยิ้มมากกว่าปกติ
“เข้าใจผิดอะไรกันล่ะครับ ถ้าถูกใจคุณก็ให้เบอร์ติดต่อเขาได้ครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
“งั้นเหรอครับ”
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียง ติ๊ง แม้ขณะที่เดินไปยังที่จอดรถ ชเวอินซอบก็ยังทำสีหน้าเหมือนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้เขาจะไม่ใช่คนประเภทที่จะแก้ตัวให้กับการกระทำของตน แต่เรื่องคราวนี้ทำให้เขารู้สึกอยากอธิบายให้ชัดเจน
อีอูยอนนั่งที่ตรงเบาะข้างคนขับพลางคาดเข็มขัดนิรภัยและเอ่ยถาม
“งั้นสเปคของคุณอินซอบเป็นแบบไหนเหรอครับ”
อินซอบซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับหันหน้ามาหาพร้อมสีหน้าคล้ายโดนจี้จุดอ่อน เหมือนคนที่ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยิน
“ผมไม่คิดว่าคุณจะมีสเปคนะ เอาเป็นว่าชอบคนที่อ่อนโยนและมีความเป็นผู้หญิงเหมือนคุณยุนอารึมเมื่อสักครู่นี้ไหมครับ”
อินซอบรีบปิดประตูรถและคาดเข็มขัดนิรภัย เขาพึมพำว่า ‘จะออกเดินทางแล้วนะครับ’ พร้อมกับสตาร์ทรถ อีอูยอนโยนคำถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่มีสเปคเหรอครับ”
“…”
“มีคนที่ไม่มีสเปคอยู่ด้วยเหรอ”
“…”
ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้นะ คนที่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้กับเราได้
ถ้าหากทำได้ เราก็อยากจะตะโกนออกไปว่าให้เลิกเล่นได้แล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้นสิ่งที่ได้กลับมาน่าจะเป็นการแจ้งให้ออกจากหรือเปล่า
“มีสิครับ สเปคน่ะ”
“คืออะไรเหรอครับ”
“…คนอ่อนโยนครับ”
“แล้ว”
“แค่นั้นครับ”
อีอูยอนหัวเราะต่ำๆ ให้กับคำตอบที่เฉียบขาดของชเวอินซอบ
“แค่อ่อนโยนก็พอเหรอครับ”
“ครับ”
“ง่ายดีนะครับ คุณอินซอบ”
อินซอบไม่รู้ว่าควรตีความคำพูดของอีกฝ่ายว่าอย่างไร เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ตอบกลับไปว่า ’ไม่หรอกครับ’ พร้อมกับส่ายหน้า
“คนอ่อนโยนหายากกว่าที่คิดนะครับ”
“งั้นเหรอครับ”
ดูเหมือนชเวอินซอบจะเข้าใจประธานของคำว่า ‘ยาก’ ผิดไป อ่อนโยนก็พออย่างนั้นเหรอ อีอูยอนเพียงแค่ประหลาดใจกับความจริงที่ว่ายังมีคนแบบนี้เหลืออยู่ก็เท่านั้น
“เคยรักกับคนที่อ่อนโยนเหรอครับ”
แววตาของอินซอบที่กำลังถอยรถอยู่สั่นไหว ถึงจะรู้ว่าคู่สนทนารู้สึกไม่สบายใจกับคำถามก่อนหน้านี้ แต่อีอูยอนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และถามต่อ
“รักแรกเป็นคนอ่อนโยนเหรอครับ”
“…”
ชเวอินซอบกัดริมฝีปาก อีอูยอนสงสัยว่าในหัวเล็กๆ นั้นกำลังพยายามคิดอะไรอยู่กันแน่
“เป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
สีหน้าของอินซอบค่อยๆ หมองลง ท่าทางของเจ้าตัวดูเหมือนน้ำตาจะไหลถ้าเขาต้อนให้จนมุมอีกเพียงนิดเดียว
ดูเหมือนรักแรกจะตายไปแล้วหรือเปล่านะ น่าสงสารจัง
อีอูยอนซ่อนจิตใจที่บิดเบี้ยวของตนไว้และถามอินซอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวเสียงกระซิบ
“เป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
อินซอบปวดหัวตุบๆ เพราะการซักถามที่มีความรบเร้าอยู่เนืองๆ เขารู้สึกว่าถ้าอยากจะหยุดคำถามโจมตีของอีอูยอน เขาต้องตอบอะไรสักอย่างออกไป
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
“…เป็นคนไม่ดีครับ”
คำพูดที่เบาหวิวเหมือนกับเสียงลมหายใจหลุดออกมาจากปากของชเวอินซอบ
“คนไม่ดีเหรอครับ”
“…”
“รักแรกของคุณเป็นคนไม่ดีเหรอครับ ไม่สิ คุณมีรักครั้งแรกด้วย ฮ่าๆๆ ขอโทษครับ ไม่ใช่ว่าผมจะล้อนะ แต่เพราะคุณอินซอบดูห่างไกลกับอะไรแบบนั้นมากเลย”
“…”
ชเวอินซอบปิดปากสนิทเพราะคิดว่าตัวเองพูดมากเกินไป เขากัดริมฝีปากและค้นหาของในกระเป๋าก่อนจะยื่นซองจดหมายสีชมพูอ่อนให้อีอูยอน
“อะไรเหรอครับ”
“แฟนคลับเอามาให้น่ะครับ”
พอรู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่ดีที่สุดที่อีกฝ่ายจะสามารถทำได้ อีอูยอนก็เกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เป็นแผนการที่มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งแบบนี้เลยงั้นเหรอ
“ผมรับมาเพราะมันไม่ใช่ของขวัญ…อ๊ะ!”
อินซอบที่กำลังพูดอยู่ส่งเสียงร้องพร้อมกับทำตาโต รถยนต์ที่กำลังออกมาจากลานจอดรถส่งเสียงดังสนั่นและหยุดทันที ผู้หญิงที่วิ่งออกมาตรงหน้าอย่างกะทันหันยิ้มอย่างเชื่องช้าและเดินเข้ามาใกล้ๆ กับหน้าต่างฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เธอใช้ฝ่ามือทุบหน้าต่างรถ ตอนที่เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้น สีหน้าของอีอูยอนก็เคร่งเครียดขึ้นมา
“พี่คะ รักนะคะ”
เธอสารภาพรักอย่างเยือกเย็นก่อนจะยิ้มและถอยห่างออกไป แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ แต่ความหงุดหงิดของอีอูยอนก็ยังคงพลุ่งพล่านขึ้นมาเพราะผู้หญิงที่ปรากฏตัวอย่างน่ารำคาญเหมือนแมลงสาบ แม้จะเคยเตือนไปแล้ว ถ้าเขาเป็นคนจับพวงมาลัยอยู่ล่ะก็ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะเหยียบคันเร่งต่อแล้วแกล้งทำเหมือนเป็นเรื่องผิดพลาดหรือไม่
อีอูยอนใช้มือเสยผมที่ยุ่งเหยิงพร้อมกับหันไปหาคนข้างๆ
“ตกใจเหรอครับ เดิมทีผู้หญิงคนนั้น…ทำไมมือถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”
“ครับ? คือ…เอ๊ะ?”
เมื่ออีอูยอนชี้มา อินซอบถึงได้รู้ว่ามือของตัวเองมีเลือดไหล เขาใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาอย่างมึนงงแล้วใช้มันพันมือข้างที่เป็นแผลไว้อย่างรวดเร็ว
อีอูยอนแย่งจดหมายที่อยู่ในมือของชเวอินซอบมาโดยไม่พูดอะไรและเปิดดูซองจดหมายที่เปื้อนเลือด ข้างในนั้นมีใบมีดซ้อนติดกันอยู่มากมายอย่างที่คิด
“…”
อีอูยอนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกลั้นคำด่าที่ปะทุขึ้นมาไว้ เขาเปิดกระจกรถแล้วโยนซองจดหมายทิ้งไปก่อนจะหันมาจับมือของอินซอบ
“บาดเจ็บมากหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรเลยครับ”
“แต่เลือดออกเยอะมากเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เดี๋ยวผมจะโทรศัพท์หาหัวหน้าทีมชา รอก่อนนะ…”
“อย่านะครับ!”
ชเวอินซอบคว้าอีอูยอนไว้สุดชีวิต
“อย่านะครับ อย่าโทรศัพท์หาหัวหน้าทีมชานะครับ แล้วก็ห้ามบอกกรรมการผู้จัดการด้วย ผมไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกเขาไปมากกว่านี้แล้วครับ”
ชเวอินซอบเบิกตาโต ใบหน้าซีดเผือดเหมือนรู้ว่าถ้าคนพวกนั้นรู้เรื่องที่เจ้าตัวบาดเจ็บจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ คงไม่ใช่ว่าชเวอินซอบไปสร้างความลำบากใหญ่หลวงอะไรให้สองคนนั้นโดยที่เราไม่รู้หรอกนะ อีอูยอนคิด ในขณะเดียวกันชเวอินซอบเองก็ดิ้นรนสุดชีวิต
“ผมขับรถได้ครับ เดี๋ยวเลือดก็หยุดแล้ว จริงๆ นะครับ ดูสิครับ แผลไม่ค่อย…”
เมื่อเปิดผ้าเช็ดหน้าที่กดแผลไว้ออก สีเลือดก็หายไปจากใบหน้าของอินซอบ ตอนที่เห็นเนื้อด้านในผิวหนังที่เผยออกมาเป็นสีชมพู เขาก็รู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมาก
“อุ๊บ…”
เขารีบเอามือปิดปากกลั้นอาเจียน อีอูยอนใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผลของอินซอบไว้โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
“ถึงแผลเหมือนจะไม่ลึก แต่ก็ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ”
“…ครับ”
“ผมจะไม่บอกหัวหน้าทีมหรือกรรมการผู้จัดการเรื่องที่คุณบาดเจ็บตามที่ขอครับ”
“ขอบคุณครับ”
“แต่คุณอินซอบช่วยฟังคำขอร้องของผมสักข้อแทนนะครับ”
อีอูยอนว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากเสื้อของตน ก่อนจะช่วยเช็ดเลือดที่เปื้อนหน้าของอินซอบ ชเวอินซอบขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เพราะการกระทำอันแสนอ่อนโยนของอีกฝ่ายต้องเป็นการแสดงอย่างแน่นอน
“คุณจะช่วยฟังคำขอร้องของผมใช่ไหมครับ”
เสียงอันอ่อนโยนของอีอูยอนปักเข้ามาในหูของอินซอบราวกับใบมีด
***