ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-6

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-6

เขาไม่สามารถพูดคำต่อไปได้ ชเวอินซอบรีบใช้มือปิดจมูกและเอนหัวไปด้านหลัง อีอูยอนเอ่ยถาม

“เป็นอะไรไปครับ เลือดกำเดาไหลเหรอ”

“…ครับ”

“เอนหัวแบบนั้นไม่ได้นะครับ”

อีอูยอนเอาทิชชู่ซับใต้จมูกของอินซอบพลางเอ่ยพูด

“แบบนั้นเลือดจะไหลไปด้านหลังหมด ต้องก้มหัวไปด้านหน้าแบบนี้ครับ”

ชเวอินซอบก้มหัวไปด้านหน้าตามที่อีอูยอนสั่ง ทันใดนั้นเลือดสีแดงเข้มก็หยดลงบนทิชชู่

“ขอโทษครับ มันหยดลงบท…”

อินซอบชี้ไปที่เลือดที่หยดลงบนบท

“ถ้ามีเวลามาห่วงเรื่องแบบนั้น คุณควรจะดูแลร่างกายของตัวเองมากกว่านะครับ”

“ขอโทษครับ”

“ถ้าคุณพูดว่าขอโทษอีกครั้งเดียว ผมจะไม่ให้คุณเป็นหัวหน้าแฟนคลับแล้วนะครับ”

อีอูยอนเอ่ยคำขู่ที่ไม่จริงจังและเจือไปด้วยคำล้อเล่น เขาดึงทิชชู่มาช่วยเช็ดหน้าของอินซอบ

“ผม…”

“อยู่เฉยๆ ครับ เลือดยังไหลอยู่เลยนะ”

อินซอบรอให้เลือดกำเดาหยุดไหลเงียบๆ นี่เป็นเลือดกำเดาที่ไหลหลังจากที่ไม่ได้ไหลมานานแล้ว เมื่อก่อนเลือดกำเดาของเขาไหลอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเสมอ จนถึงขั้นมีตอนที่เขาตื่นนอนมาพบว่าหมอนของเขาชุ่มไปด้วยเลือดอยู่เหมือนกัน

“ยังไม่หยุดไหลเลยนะครับเนี่ย”

“ครับ…”

“ลองนอนลงสิครับ”

อีอูยอนดันไหล่ของอินซอบไปด้านหลัง

“ไม่เป็นไรครับ แค่…”

“นอนตะแคงนะครับ แบบนี้”

เขาไม่สามารถเอาชนะแรงของอีอูยอนได้ อินซอบถูกบังคับให้นอนลงบนโซฟา

“เหนื่อยเหรอครับ”

“ผมสบายดีครับ”

ปัญหาคือความเครียดทางด้านจิตใจมากกว่าความเหนื่อยล้าทางด้านร่างกาย อินซอบเป็นแบบนี้เสมอ เลือดกำเดาของเขามักจะไหลในวันที่เขามีสอบครั้งสำคัญในวันรุ่งขึ้นหรือตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ไม่อยากทำ

“รู้ไหมครับว่าคุณดูไม่สบายดีเลยสักนิด”

“…”

“หน้าคุณซีด และใต้ตาของคุณก็โหล แถมเลือดกำเดายังมาไหลอีก แบบนี้ไม่ใช่ว่าร่างกายคุณกำลังทรุดโทรมอยู่เหรอครับ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าผมจะต้องเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวหรือเปล่า”

“ไม่นะครับ ผมทำได้ครับ”

อินซอบดีดตัวขึ้นมาทันทีและยืนกรานด้วยความดื้อรั้นว่าตนเองไม่เป็นไร

“เลือดกำเดาไม่ได้ไหลเพราะเหนื่อยหรอกครับ มันไหลเพราะผมเครียด ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมทำงานได้ครับ”

“เครียดเหรอครับ”

“…!”

“ถ้าคุณเครียดเลือดกำเดาจะไหลเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นคุณกำลังจะบอกว่าการอ่านบทที่นี่ตอนนี้น่ะ มันเครียดมากเลยสินะครับ”

“นะ นั่นมัน…”

“ฉากไหนกันครับ ฉากที่ต้องสวมปลอกนิ้วแล้วหอมแก้มตรงนี้น่ะเหรอครับ หรือว่าฉากที่ต้องกอดคิมยองฮาที่ยืนหันหลังอยู่จากด้านหลังครับ”

“มีฉากแบบนั้นด้วยเหรอครับ”

เลือดกำเดาที่หยุดไหลอย่างยากลำบากไหลลงมาอีกครั้ง อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ พร้อมกับทำให้อินซอบนอนลงบทโซฟาอีกครั้ง และในขณะเดียวกันเขาก็เอาทิชชู่กดจมูกจองอีกฝ่ายไว้ด้วย

อินซอบหลับตาลงเพราะสายตาของอีอูยอนที่มองลงมา ความจริงที่ว่าแค่อ่านบทอย่างเดียวก็ทำให้ตนเครียดจนเลือดกำเดาไหลกับความจริงที่ว่าอีอูยอนรู้เรื่องนั้นแล้วทำให้เขาอับอายอย่างร้ายกาจ

ยิ่งเขาตั้งใจและพยายามมากเท่าไร ก็ยิ่งเละเทะและน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น พอหลับตาลง เขาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยที่ลืมไปแล้วขึ้นมาใหม่

“ว่าแต่ถ้าคุณเครียดมากๆ เลือดกำเดาจะไหลเหรอครับ”

“…บางครั้งครับ”

แม้จะเป็นแบบนั้นบ่อยๆ สมัยเป็นวัยรุ่น แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือดกำเดาก็ไม่ค่อยไหลจนเขาใช้ชีวิตโดยลืมความเคยชินนั้นไปเลย เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ภาพของปีเตอร์ในสมัยก่อนกลับมาปรากฏตัวที่นี่อยู่เรื่อย

ชเวอินซอบไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าตอนนี้ตนเองได้ถึงขีดจำกัดทางด้านจิตใจแล้ว เขาเหงามากๆ เขาเหนื่อยล้าทางด้านจิตใจถึงขนาดที่เขาหวังให้ใครก็ได้ช่วยมาอยู่ข้างๆ ตนที เพราะเขาทั้งเหงาและเปล่าเปลี่ยว ในร่างกายของเขาไม่เหลือแม้กระทั้งแรงที่จะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ เพราะเขาใช้มันไปกับการเกลียดอีอูยอนหมดแล้ว

เขาเหนื่อย

ทันทีที่เขาตระหนักถึงสิ่งนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองเหนื่อยเหมือนจะตาย

“คุณไม่อยากมาที่นี่เหรอครับ”

“แน่นอนว่าผม…”

“ห้ามบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้จัดการงานส่วนตัวนะครับ คุณไม่อยากมาใช่ไหมครับ ตอนที่โดนผมเรียกมาในเวลาแบบนี้น่ะ”

ถ้าเป็นตอนปกติเขาจะตอบกลับไปว่าไม่ใช่ กับเรื่องแบบนี้เขาจะต้องพูดว่า ‘ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่ไม่ได้นอนวันเดียวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผมสามารถอดทนกับงานที่เหนื่อยกว่านี้ได้’

“…ครับ ผมไม่อยากมา”

ทันทีที่เขาตอบอย่างจริงใจออกไป อีอูยอนก็หัวเราะเบาๆ อินซอบสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เขาจะต้องลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เขาเหนื่อยจนการเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้

“ถ้าคุณเครียดถึงขนาดนั้น ทำไมถึงอยู่เฉยอยู่ล่ะครับ”

“…”

ถ้าทำแบบนั้นได้ก็คงจะดี ฉันอยากออกไปจากที่นี่ ฉันอยากออกไป…แต่ทำไมเสียงของอีอูยอนถึงได้อ่อนโยนขนาดนั้นนะ มันดีมากเลย…

เนื่องจากความเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด อินซอบจึงไม่สามารถกดความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวลงไปได้ และเขาก็ปล่อยให้ตัวเองให้เป็นไปตามนั้น

“คุณกลับไปก็ได้นะครับ”

อีอูยอนใช้มือตบไหล่อินซอบพลางพูดต่อ

“ถ้าไม่ชอบถึงขนาดนั้น ก็แค่หันหลังแล้วเดินออกไปได้ครับ”

น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเหมือนกับการกระซิบเพลงกล่อมเด็กที่หูเด็กเล็กๆ อีอูยอนรู้สึกว่าไหล่ของอินซอบผงะทุกครั้งที่มือของตนแตะโดน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่หยุดตบบ่าอีกฝ่าย

ตั้งแต่วันที่อีอูยอนรู้ว่าวิธีรับรู้ความรู้สึกของเขาต่างจากคนอื่น เขาก็ไม่พยายามเข้าใจคนอื่นอีกเลย เขาแค่ท่องจำรูปแบบของการกระทำที่เขาไม่เข้าใจเอาไว้ก็พอแล้ว

แต่เขาไม่สามารถท่องจำรูปแบบการกระทำของมนุษย์ที่ชื่อชเวอินซอบได้เลย เขาสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายชอบหรือเกลียดตน ถ้าหากเป็นคนที่เกลียดตนแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายก็ดูจะอุทิศตัวมากเกินไปหน่อย และถ้าหากเป็นคนที่ชื่นชอบตน เขาก็คาใจกับท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อตนอยู่ดี เขาคิดว่าถ้าจับตามองอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ต่อไปอีกสักหน่อย เขาก็จะสามารถแยกได้อย่างชัดเจน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งตัดสินได้ยาก ความจริงที่ว่าผู้จัดการส่วนตัวผู้อุทิศตนถึงขนาดวิ่งมาที่นี่โดยไม่แสดงความรู้สึกว่าไม่อยากมาผ่านข้อความเลยสักคำนั้นเครียดจนเลือดกำเดาไหลทำให้เขาไม่สบายใจ

เขาอารมณ์ไม่ดี

“คุณชเวอินซอบครับ ถ้าคุณไม่ชอบขนาดนั้น คุณก็แค่เลิกแล้วก็เดินออกไปสิครับ”

“…”

อีอูยอนใช้มือกุมไหล่ผอมบางของอินซอบไว้เหมือนกับโอบกอด

เขาคิดว่าถ้าชเวอินซอบออกไป วันนี้เขาก็จะสั่งให้อีกฝ่ายลาออกไปตามนั้น เขาไม่อยากให้คนที่เกลียดตนถึงขนาดนี้อยู่ข้างตัว

แม้จะถูกใจที่ชเวอินซอบทำหน้าเป็นทุกข์หรือทำตัวมึนงงใส่ตน แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำหน้าเคร่งเครียดและเกลียดเขาจริงๆ

เขารู้ดีว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้

อีอูยอนตัดสินใจว่าจะลบมันไปก่อนที่ความคิดเกี่ยวกับอินซอบจะซับซ้อนขึ้นมากกว่านี้ แม้เขาจะรู้สึกเสียดายกาแฟหรืออาหารที่อีกฝ่ายเอามาให้ได้ตรงกับรสนิยมของตนทุกเช้า เพลงที่อีกฝ่ายเลือกได้สมบูรณ์แบบตรงกับอารมณ์ของเขาในวันนั้น รวมไปถึงฝีมือการทำงานที่ละเอียดรอบคอบที่ไม่เคยทำพลาดเลยสักครั้งก็ตาม

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขาเสียดายที่จะไม่ได้เห็นดวงตากลมโตที่คอยแอบมองเขาอย่างระมัดระวัง แต่ก็เหมือนกับหวาดกลัวเขาไปด้วยอีกแล้ว แต่ถ้านายเกลียดฉันถึงขนาดนี้ ตอนนี้ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไปแล้ว

“ตอบมาตรงๆ ก็ได้ครับ”

แม้เวลาจะผ่านไปสักพักแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบกลับมา

“คุณอินซอบ ยังคิดอยู่อีกเหรอครับ”

อีอูยอนก้มหน้าและพิจารณาใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัว

ผ่านไปได้ไม่เท่าไรเขาก็แน่ใจว่าอินซอบที่เขาคิดว่ากำลังหลับตาอยู่นั้นได้หลับไปแล้ว

เขาอึ้งจนพูดไม่ออก

มนุษย์ที่เลือดกำเดาไหลเพราะความเครียดอยู่เมื่อสักครู่นี้หลับลงได้ในสถานการณ์แบบนี้หรือเนี่ย

“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ…อะไรกันวะ ในสถานการณ์เหี้ยๆ แบบนี้เนี่ยนะ”

เขาหัวเราะไม่หยุด เขาเพียงแต่รู้สึกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างที่เขาจินตนาการไม่ถึงนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ

เขาลุกขึ้น กลืนเสียงแกล้งหัวเราะลงไปและมองหน้าของผู้จัดการส่วนตัวให้ชัดๆ อีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาหนึ่ง แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองที่กังวลโดยไม่มีเหตุผลนั้นเหมือนคนโง่

“ให้ตายสิ คุณชเวอินซอบ…!”

อีอูยอนเอื้อมไปเพื่อที่จะปลุกชเวอินซอบที่หลับอยู่พลางกลอกตา ชเวอินซอบกำลังร้องไห้ ขนตางอนยาวของอีกฝ่ายมีน้ำตาเกาะอยู่

นี่เป็นภาพที่น่าสงสารที่เรียกเอาความอยากรู้อย่างเห็นอันแสนป่าเถื่อนของเขาออกมา

อีอูยอนนึกถึงลูกสุนัขน่าสงสารที่ตนเก็บมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นในตอนเด็ก แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันถูกทิ้งหรือเดินออกจากบ้านมาเอง แต่ลูกสุนัขที่ถูกยึดความรักคืนนั้นสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว เขาเกิดความสนใจในสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ครางหงิงๆ พร้อมกับพยายามทำให้คนเกิดความรู้สึกเมตตาตนเอง

แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นก็อยู่ได้เพียงไม่นาน เขาหลับๆ ตื่นๆ เพราะลูกสุนัขตัวนั้นร้องทั้งคืน สุดท้ายเขาก็ถือลูกสุนัขออกไป และเอามันไปปล่อยบนถนนในที่ที่เขาเก็บมันมาตอนเช้ามืด เช้าวันต่อมาพอเขากลับไปหามันในที่ที่เขาทิ้งมันไว้ เพราะน้องสาวของเขาร้องงอแง เขาก็พบว่าลูกสุนัขตัวนั้นตายแล้ว เขาไม่แปลกใจเลย เพราะมันเป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะเมื่อคืนฝนตกและอากาศก็หนาว

แต่จะเกิดความรักความผูกพันอะไรขึ้นมาในวันเดียวล่ะ น้องสาวของเขาร้องไห้อย่างหนักหน่วงเหมือนกับโลกล่มสลาย ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวของเขายังตะโกนด้วยว่า ‘พี่ฆ่าลูกหมา’ เขาไม่เข้าใจการกล่าวหาของน้องสาวเลยสักนิด

นี่เป็นการกล่าวหาที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะการเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองกลับไปคืนในที่ที่เอามาจะเป็นปัญหาอะไรล่ะ

สุดท้ายหลังจากวันนั้นน้องสาวก็ไม่พูดกับเขาไปอีกหนึ่งเดือน และเขาต้องฟังการสั่งสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบจากพ่อแม่อย่างเต็มที่

ตอนนั้นเองมีคติหนึ่งที่เขาเพิ่งเข้าใจอย่างชัดเจน

‘อย่าเก็บอะไรมาจากถนน และถ้าจะเก็บมาก็อย่าปล่อยมือจนกว่ามันจะตาย เพราะนี่เป็นเรื่องของความรับผิดชอบ’

ปัญหาคือในการรอให้สัตว์ตายลงตามธรรมชาติจะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาลดน้อยลงทันที ถ้าอยากตัดความรำคาญออกไป เขาก็ทำได้แค่ทิ้งหรือทำให้สัตว์นั้นตายเท่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าเขาจะต้องรำคาญกับการเก็บกวาดและเสียงบ่นที่ตามมาทีหลังแน่ถ้าหากเขาฆ่ามัน ดังนั้นหลังจากวันนั้นเขาก็เลยไม่เก็บสัตว์กลับมาอีกเลย แม้แต่ตอนที่คบหรือหลับนอนกับผู้หญิง เขาก็ไม่เหลือผู้หญิงที่น่าจะต้องรับผิดชอบเอาไว้โดยเด็ดขาด

พอมองผู้จัดการส่วนตัวที่นอนหลับอย่างหมดสภาพเหมือนผ้าขี้ริ้วอยู่ที่โซฟา อีอูยอนก็นึกถึงสุนัขที่เปียกฝนและร้องหงิงๆ เขาท่องจำสีหน้าของคน เขาไม่เคยลืมชื่อเรียกของสีหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขาฝึกซ้ำๆ มาตั้งแต่เด็ก ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหม แต่ความรู้สึกที่ชเวอินซอบแสดงออกมาตอนนี้คือความรู้สึกนั้น นั่นก็คือความกลัวเหมือนลูกสุนัขที่ถูกโลกทอดทิ้ง อีอูยอนมองภาพของผู้จัดการส่วนตัวที่นอนหลับในขณะที่ยังตัวสั่นอยู่บนโซฟาพลางคิด

นี่ฉันเก็บไอ้หมานั่นมาอีกแล้วเหรอ

ความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่รู้ว่าคือความดีใจหรือเสียใจปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ค่อยยังชั่วที่ถึงแม้ไอ้หมาตัวนี้จะตัวสั่นระริกเพราะความกลัว แต่ก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมา

เขาช่วยเช็ดน้ำตาที่ติดอยู่ที่ตาของอินซอบแทนที่จะปลุกอีกฝ่าย ทันทีที่เขาทำแบบนั้น ตัวของอินซอบก็งอเหมือนกุ้งพร้อมกับเอามือกอดไหล่ตัวเองเอาไว้

“…หนาว…”

อินซอบพึมพำเบาๆ พร้อมกับงอตัวในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น

อีอูยอนเอาผ้าห่มผืนหนึ่งออกมาจากห้องนอน และช่วยห่มมันลงบนตัวของอินซอบ นั่นคือความใจดีที่ดีที่สุดที่เขาจะมีให้ไอ้หมานี่ได้ในตอนนี้

***

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท