เขาไม่สามารถพูดคำต่อไปได้ ชเวอินซอบรีบใช้มือปิดจมูกและเอนหัวไปด้านหลัง อีอูยอนเอ่ยถาม
“เป็นอะไรไปครับ เลือดกำเดาไหลเหรอ”
“…ครับ”
“เอนหัวแบบนั้นไม่ได้นะครับ”
อีอูยอนเอาทิชชู่ซับใต้จมูกของอินซอบพลางเอ่ยพูด
“แบบนั้นเลือดจะไหลไปด้านหลังหมด ต้องก้มหัวไปด้านหน้าแบบนี้ครับ”
ชเวอินซอบก้มหัวไปด้านหน้าตามที่อีอูยอนสั่ง ทันใดนั้นเลือดสีแดงเข้มก็หยดลงบนทิชชู่
“ขอโทษครับ มันหยดลงบท…”
อินซอบชี้ไปที่เลือดที่หยดลงบนบท
“ถ้ามีเวลามาห่วงเรื่องแบบนั้น คุณควรจะดูแลร่างกายของตัวเองมากกว่านะครับ”
“ขอโทษครับ”
“ถ้าคุณพูดว่าขอโทษอีกครั้งเดียว ผมจะไม่ให้คุณเป็นหัวหน้าแฟนคลับแล้วนะครับ”
อีอูยอนเอ่ยคำขู่ที่ไม่จริงจังและเจือไปด้วยคำล้อเล่น เขาดึงทิชชู่มาช่วยเช็ดหน้าของอินซอบ
“ผม…”
“อยู่เฉยๆ ครับ เลือดยังไหลอยู่เลยนะ”
อินซอบรอให้เลือดกำเดาหยุดไหลเงียบๆ นี่เป็นเลือดกำเดาที่ไหลหลังจากที่ไม่ได้ไหลมานานแล้ว เมื่อก่อนเลือดกำเดาของเขาไหลอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเสมอ จนถึงขั้นมีตอนที่เขาตื่นนอนมาพบว่าหมอนของเขาชุ่มไปด้วยเลือดอยู่เหมือนกัน
“ยังไม่หยุดไหลเลยนะครับเนี่ย”
“ครับ…”
“ลองนอนลงสิครับ”
อีอูยอนดันไหล่ของอินซอบไปด้านหลัง
“ไม่เป็นไรครับ แค่…”
“นอนตะแคงนะครับ แบบนี้”
เขาไม่สามารถเอาชนะแรงของอีอูยอนได้ อินซอบถูกบังคับให้นอนลงบนโซฟา
“เหนื่อยเหรอครับ”
“ผมสบายดีครับ”
ปัญหาคือความเครียดทางด้านจิตใจมากกว่าความเหนื่อยล้าทางด้านร่างกาย อินซอบเป็นแบบนี้เสมอ เลือดกำเดาของเขามักจะไหลในวันที่เขามีสอบครั้งสำคัญในวันรุ่งขึ้นหรือตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ไม่อยากทำ
“รู้ไหมครับว่าคุณดูไม่สบายดีเลยสักนิด”
“…”
“หน้าคุณซีด และใต้ตาของคุณก็โหล แถมเลือดกำเดายังมาไหลอีก แบบนี้ไม่ใช่ว่าร่างกายคุณกำลังทรุดโทรมอยู่เหรอครับ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าผมจะต้องเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวหรือเปล่า”
“ไม่นะครับ ผมทำได้ครับ”
อินซอบดีดตัวขึ้นมาทันทีและยืนกรานด้วยความดื้อรั้นว่าตนเองไม่เป็นไร
“เลือดกำเดาไม่ได้ไหลเพราะเหนื่อยหรอกครับ มันไหลเพราะผมเครียด ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมทำงานได้ครับ”
“เครียดเหรอครับ”
“…!”
“ถ้าคุณเครียดเลือดกำเดาจะไหลเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นคุณกำลังจะบอกว่าการอ่านบทที่นี่ตอนนี้น่ะ มันเครียดมากเลยสินะครับ”
“นะ นั่นมัน…”
“ฉากไหนกันครับ ฉากที่ต้องสวมปลอกนิ้วแล้วหอมแก้มตรงนี้น่ะเหรอครับ หรือว่าฉากที่ต้องกอดคิมยองฮาที่ยืนหันหลังอยู่จากด้านหลังครับ”
“มีฉากแบบนั้นด้วยเหรอครับ”
เลือดกำเดาที่หยุดไหลอย่างยากลำบากไหลลงมาอีกครั้ง อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ พร้อมกับทำให้อินซอบนอนลงบทโซฟาอีกครั้ง และในขณะเดียวกันเขาก็เอาทิชชู่กดจมูกจองอีกฝ่ายไว้ด้วย
อินซอบหลับตาลงเพราะสายตาของอีอูยอนที่มองลงมา ความจริงที่ว่าแค่อ่านบทอย่างเดียวก็ทำให้ตนเครียดจนเลือดกำเดาไหลกับความจริงที่ว่าอีอูยอนรู้เรื่องนั้นแล้วทำให้เขาอับอายอย่างร้ายกาจ
ยิ่งเขาตั้งใจและพยายามมากเท่าไร ก็ยิ่งเละเทะและน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น พอหลับตาลง เขาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยที่ลืมไปแล้วขึ้นมาใหม่
“ว่าแต่ถ้าคุณเครียดมากๆ เลือดกำเดาจะไหลเหรอครับ”
“…บางครั้งครับ”
แม้จะเป็นแบบนั้นบ่อยๆ สมัยเป็นวัยรุ่น แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือดกำเดาก็ไม่ค่อยไหลจนเขาใช้ชีวิตโดยลืมความเคยชินนั้นไปเลย เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ภาพของปีเตอร์ในสมัยก่อนกลับมาปรากฏตัวที่นี่อยู่เรื่อย
ชเวอินซอบไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าตอนนี้ตนเองได้ถึงขีดจำกัดทางด้านจิตใจแล้ว เขาเหงามากๆ เขาเหนื่อยล้าทางด้านจิตใจถึงขนาดที่เขาหวังให้ใครก็ได้ช่วยมาอยู่ข้างๆ ตนที เพราะเขาทั้งเหงาและเปล่าเปลี่ยว ในร่างกายของเขาไม่เหลือแม้กระทั้งแรงที่จะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ เพราะเขาใช้มันไปกับการเกลียดอีอูยอนหมดแล้ว
เขาเหนื่อย
ทันทีที่เขาตระหนักถึงสิ่งนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองเหนื่อยเหมือนจะตาย
“คุณไม่อยากมาที่นี่เหรอครับ”
“แน่นอนว่าผม…”
“ห้ามบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้จัดการงานส่วนตัวนะครับ คุณไม่อยากมาใช่ไหมครับ ตอนที่โดนผมเรียกมาในเวลาแบบนี้น่ะ”
ถ้าเป็นตอนปกติเขาจะตอบกลับไปว่าไม่ใช่ กับเรื่องแบบนี้เขาจะต้องพูดว่า ‘ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่ไม่ได้นอนวันเดียวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผมสามารถอดทนกับงานที่เหนื่อยกว่านี้ได้’
“…ครับ ผมไม่อยากมา”
ทันทีที่เขาตอบอย่างจริงใจออกไป อีอูยอนก็หัวเราะเบาๆ อินซอบสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เขาจะต้องลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เขาเหนื่อยจนการเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้
“ถ้าคุณเครียดถึงขนาดนั้น ทำไมถึงอยู่เฉยอยู่ล่ะครับ”
“…”
ถ้าทำแบบนั้นได้ก็คงจะดี ฉันอยากออกไปจากที่นี่ ฉันอยากออกไป…แต่ทำไมเสียงของอีอูยอนถึงได้อ่อนโยนขนาดนั้นนะ มันดีมากเลย…
เนื่องจากความเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด อินซอบจึงไม่สามารถกดความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวลงไปได้ และเขาก็ปล่อยให้ตัวเองให้เป็นไปตามนั้น
“คุณกลับไปก็ได้นะครับ”
อีอูยอนใช้มือตบไหล่อินซอบพลางพูดต่อ
“ถ้าไม่ชอบถึงขนาดนั้น ก็แค่หันหลังแล้วเดินออกไปได้ครับ”
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเหมือนกับการกระซิบเพลงกล่อมเด็กที่หูเด็กเล็กๆ อีอูยอนรู้สึกว่าไหล่ของอินซอบผงะทุกครั้งที่มือของตนแตะโดน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่หยุดตบบ่าอีกฝ่าย
ตั้งแต่วันที่อีอูยอนรู้ว่าวิธีรับรู้ความรู้สึกของเขาต่างจากคนอื่น เขาก็ไม่พยายามเข้าใจคนอื่นอีกเลย เขาแค่ท่องจำรูปแบบของการกระทำที่เขาไม่เข้าใจเอาไว้ก็พอแล้ว
แต่เขาไม่สามารถท่องจำรูปแบบการกระทำของมนุษย์ที่ชื่อชเวอินซอบได้เลย เขาสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายชอบหรือเกลียดตน ถ้าหากเป็นคนที่เกลียดตนแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายก็ดูจะอุทิศตัวมากเกินไปหน่อย และถ้าหากเป็นคนที่ชื่นชอบตน เขาก็คาใจกับท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อตนอยู่ดี เขาคิดว่าถ้าจับตามองอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ต่อไปอีกสักหน่อย เขาก็จะสามารถแยกได้อย่างชัดเจน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งตัดสินได้ยาก ความจริงที่ว่าผู้จัดการส่วนตัวผู้อุทิศตนถึงขนาดวิ่งมาที่นี่โดยไม่แสดงความรู้สึกว่าไม่อยากมาผ่านข้อความเลยสักคำนั้นเครียดจนเลือดกำเดาไหลทำให้เขาไม่สบายใจ
เขาอารมณ์ไม่ดี
“คุณชเวอินซอบครับ ถ้าคุณไม่ชอบขนาดนั้น คุณก็แค่เลิกแล้วก็เดินออกไปสิครับ”
“…”
อีอูยอนใช้มือกุมไหล่ผอมบางของอินซอบไว้เหมือนกับโอบกอด
เขาคิดว่าถ้าชเวอินซอบออกไป วันนี้เขาก็จะสั่งให้อีกฝ่ายลาออกไปตามนั้น เขาไม่อยากให้คนที่เกลียดตนถึงขนาดนี้อยู่ข้างตัว
แม้จะถูกใจที่ชเวอินซอบทำหน้าเป็นทุกข์หรือทำตัวมึนงงใส่ตน แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำหน้าเคร่งเครียดและเกลียดเขาจริงๆ
เขารู้ดีว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้
อีอูยอนตัดสินใจว่าจะลบมันไปก่อนที่ความคิดเกี่ยวกับอินซอบจะซับซ้อนขึ้นมากกว่านี้ แม้เขาจะรู้สึกเสียดายกาแฟหรืออาหารที่อีกฝ่ายเอามาให้ได้ตรงกับรสนิยมของตนทุกเช้า เพลงที่อีกฝ่ายเลือกได้สมบูรณ์แบบตรงกับอารมณ์ของเขาในวันนั้น รวมไปถึงฝีมือการทำงานที่ละเอียดรอบคอบที่ไม่เคยทำพลาดเลยสักครั้งก็ตาม
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขาเสียดายที่จะไม่ได้เห็นดวงตากลมโตที่คอยแอบมองเขาอย่างระมัดระวัง แต่ก็เหมือนกับหวาดกลัวเขาไปด้วยอีกแล้ว แต่ถ้านายเกลียดฉันถึงขนาดนี้ ตอนนี้ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไปแล้ว
“ตอบมาตรงๆ ก็ได้ครับ”
แม้เวลาจะผ่านไปสักพักแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบกลับมา
“คุณอินซอบ ยังคิดอยู่อีกเหรอครับ”
อีอูยอนก้มหน้าและพิจารณาใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัว
ผ่านไปได้ไม่เท่าไรเขาก็แน่ใจว่าอินซอบที่เขาคิดว่ากำลังหลับตาอยู่นั้นได้หลับไปแล้ว
เขาอึ้งจนพูดไม่ออก
มนุษย์ที่เลือดกำเดาไหลเพราะความเครียดอยู่เมื่อสักครู่นี้หลับลงได้ในสถานการณ์แบบนี้หรือเนี่ย
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ…อะไรกันวะ ในสถานการณ์เหี้ยๆ แบบนี้เนี่ยนะ”
เขาหัวเราะไม่หยุด เขาเพียงแต่รู้สึกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างที่เขาจินตนาการไม่ถึงนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ
เขาลุกขึ้น กลืนเสียงแกล้งหัวเราะลงไปและมองหน้าของผู้จัดการส่วนตัวให้ชัดๆ อีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาหนึ่ง แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองที่กังวลโดยไม่มีเหตุผลนั้นเหมือนคนโง่
“ให้ตายสิ คุณชเวอินซอบ…!”
อีอูยอนเอื้อมไปเพื่อที่จะปลุกชเวอินซอบที่หลับอยู่พลางกลอกตา ชเวอินซอบกำลังร้องไห้ ขนตางอนยาวของอีกฝ่ายมีน้ำตาเกาะอยู่
นี่เป็นภาพที่น่าสงสารที่เรียกเอาความอยากรู้อย่างเห็นอันแสนป่าเถื่อนของเขาออกมา
อีอูยอนนึกถึงลูกสุนัขน่าสงสารที่ตนเก็บมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นในตอนเด็ก แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันถูกทิ้งหรือเดินออกจากบ้านมาเอง แต่ลูกสุนัขที่ถูกยึดความรักคืนนั้นสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว เขาเกิดความสนใจในสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ครางหงิงๆ พร้อมกับพยายามทำให้คนเกิดความรู้สึกเมตตาตนเอง
แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นก็อยู่ได้เพียงไม่นาน เขาหลับๆ ตื่นๆ เพราะลูกสุนัขตัวนั้นร้องทั้งคืน สุดท้ายเขาก็ถือลูกสุนัขออกไป และเอามันไปปล่อยบนถนนในที่ที่เขาเก็บมันมาตอนเช้ามืด เช้าวันต่อมาพอเขากลับไปหามันในที่ที่เขาทิ้งมันไว้ เพราะน้องสาวของเขาร้องงอแง เขาก็พบว่าลูกสุนัขตัวนั้นตายแล้ว เขาไม่แปลกใจเลย เพราะมันเป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะเมื่อคืนฝนตกและอากาศก็หนาว
แต่จะเกิดความรักความผูกพันอะไรขึ้นมาในวันเดียวล่ะ น้องสาวของเขาร้องไห้อย่างหนักหน่วงเหมือนกับโลกล่มสลาย ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวของเขายังตะโกนด้วยว่า ‘พี่ฆ่าลูกหมา’ เขาไม่เข้าใจการกล่าวหาของน้องสาวเลยสักนิด
นี่เป็นการกล่าวหาที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะการเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองกลับไปคืนในที่ที่เอามาจะเป็นปัญหาอะไรล่ะ
สุดท้ายหลังจากวันนั้นน้องสาวก็ไม่พูดกับเขาไปอีกหนึ่งเดือน และเขาต้องฟังการสั่งสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบจากพ่อแม่อย่างเต็มที่
ตอนนั้นเองมีคติหนึ่งที่เขาเพิ่งเข้าใจอย่างชัดเจน
‘อย่าเก็บอะไรมาจากถนน และถ้าจะเก็บมาก็อย่าปล่อยมือจนกว่ามันจะตาย เพราะนี่เป็นเรื่องของความรับผิดชอบ’
ปัญหาคือในการรอให้สัตว์ตายลงตามธรรมชาติจะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาลดน้อยลงทันที ถ้าอยากตัดความรำคาญออกไป เขาก็ทำได้แค่ทิ้งหรือทำให้สัตว์นั้นตายเท่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าเขาจะต้องรำคาญกับการเก็บกวาดและเสียงบ่นที่ตามมาทีหลังแน่ถ้าหากเขาฆ่ามัน ดังนั้นหลังจากวันนั้นเขาก็เลยไม่เก็บสัตว์กลับมาอีกเลย แม้แต่ตอนที่คบหรือหลับนอนกับผู้หญิง เขาก็ไม่เหลือผู้หญิงที่น่าจะต้องรับผิดชอบเอาไว้โดยเด็ดขาด
พอมองผู้จัดการส่วนตัวที่นอนหลับอย่างหมดสภาพเหมือนผ้าขี้ริ้วอยู่ที่โซฟา อีอูยอนก็นึกถึงสุนัขที่เปียกฝนและร้องหงิงๆ เขาท่องจำสีหน้าของคน เขาไม่เคยลืมชื่อเรียกของสีหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขาฝึกซ้ำๆ มาตั้งแต่เด็ก ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหม แต่ความรู้สึกที่ชเวอินซอบแสดงออกมาตอนนี้คือความรู้สึกนั้น นั่นก็คือความกลัวเหมือนลูกสุนัขที่ถูกโลกทอดทิ้ง อีอูยอนมองภาพของผู้จัดการส่วนตัวที่นอนหลับในขณะที่ยังตัวสั่นอยู่บนโซฟาพลางคิด
นี่ฉันเก็บไอ้หมานั่นมาอีกแล้วเหรอ
ความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่รู้ว่าคือความดีใจหรือเสียใจปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ค่อยยังชั่วที่ถึงแม้ไอ้หมาตัวนี้จะตัวสั่นระริกเพราะความกลัว แต่ก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมา
เขาช่วยเช็ดน้ำตาที่ติดอยู่ที่ตาของอินซอบแทนที่จะปลุกอีกฝ่าย ทันทีที่เขาทำแบบนั้น ตัวของอินซอบก็งอเหมือนกุ้งพร้อมกับเอามือกอดไหล่ตัวเองเอาไว้
“…หนาว…”
อินซอบพึมพำเบาๆ พร้อมกับงอตัวในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น
อีอูยอนเอาผ้าห่มผืนหนึ่งออกมาจากห้องนอน และช่วยห่มมันลงบนตัวของอินซอบ นั่นคือความใจดีที่ดีที่สุดที่เขาจะมีให้ไอ้หมานี่ได้ในตอนนี้
***