ปีเตอร์ตื่นนอนเพราะเสียงที่ได้ยินตั้งแต่เมื่อกี้นี้ พอเขาลืมตาและมองไปรอบๆ เขาก็เห็นว่ามีเศษอะไรบางอย่างเล็กๆ กระแทกหน้าต่าง ปีเตอร์เดินสะลึมสะลือไปเปิดหน้าต่าง
“เจนนี่…?”
เจนนี่ยืนอยู่ข้างล่างอย่างที่คิด ปีเตอร์หายง่วงทันทีเพราะความตกใจ เขาไม่ได้ตกใจที่เธอปลุกเขาในเวลาแบบนี้ แต่ตกใจกับสภาพของเธอมากกว่า
“รอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันลงไป”
ปีเตอร์สวมเสื้อคลุมกันหนาวทับชุดนอนลวกๆ และถือเสื้อคาร์ดิแกนไว้ในมือข้างหนึ่งก่อนจะออกจากห้อง เขาเดินยกส้นเท้าในขณะที่ลงบันไดเพื่อไม่ให้พ่อแม่ตื่น
พอเขาออกมาข้างนอกและเห็นเธอใกล้ๆ แล้วสภาพของเจนนี่ยิ่งไม่น่าดูเข้าไปใหญ่ ผมของเธอกระเซอะกระเซิง ปากก็แตกและมีเลือดซึมออกมา แถมที่ตาก็ยังมีรอยช้ำสีม่วงอีกด้วย ปีเตอร์ปวดใจที่เด็กหญิงที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อนปรากฏตัวด้วยสภาพแบบนี้
“…ทะเลาะกันเหรอ”
“อื้อ”
เขาไม่ถามว่าเธอทะเลาะกับใคร เพราะนี่เป็นระเบียบทางสังคม
ปีเตอร์เอาเสื้อคาร์ดิแกนที่เขาหยิบมาคลุมไหล่ให้เจนนี่ แม้พอเอามาคลุมร่างที่ใหญ่โตของเธอแล้วจะทำให้รู้สึกว่ามันเล็กไปสักหน่อย แต่จิตใจที่อบอุ่นของปีเตอร์ก็ช่วยให้หัวใจของเธอที่เย็นจนเป็นน้ำแข็งละลายลงได้
“ไปที่ห้องไหม”
“ไม่ล่ะ”
“ข้าวเย็นล่ะ”
“…”
ปีเตอร์จับมือเธอโดยไม่พูดอะไร เขาให้เธอนั่งลงบนม้านั่งที่อยู่ตรงสวนหลังบ้านและบอกเธอว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาก่อนจะเข้าไปในบ้าน และกลับออกมาข้างนอกอีกครั้งภายในไม่กี่นาทีพร้อมกับขนมปังที่ทาเนยถั่วกับแยมเอาไว้
“กินสิ”
ปีเตอร์ยัดขนมปังใส่มือเจนนี่
“ฉันกำลังลดน้ำหนักอยู่…”
“เหรอ งั้นฉันกินให้หมดเลยนะ”
ทันทีที่ปีเตอร์แกล้งทำเป็นแย่งขนมปังกลับมาอีกครั้ง เจนนี่ก็รีบคว้าขนมปังไว้
“ไม่ล่ะ ก็ได้ เห็นแก่ความใส่ใจของนายฉันจะกินเอง ค่อยเริ่มลดน้ำหนักพรุ่งนี้ก็ได้”
“ดีมาก”
ปีเตอร์นั่งลงข้างๆ เธอ เจนนี่เริ่มกัดขนมปังกินเหมือนคนตะกละ ปีเตอร์ยิ้มพร้อมกับรอให้เธอกินขนมปังจนหมดก่อนจะยื่นน้ำส้มให้ พอน้ำส้มหนึ่งขวดหมดลงเรียบร้อยสีหน้าของเจนนี่ก็ดีขึ้น
“ขอโทษนะที่ปลุก”
“ไม่เป็นไรเลย”
“ฉันแค่อยากคุยกับใครสักคนน่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะตายแน่ๆ”
“อยากคุยเรื่องอะไรขนาดนั้นเหรอ”
เจนนี่หัวเราะเบาๆ
“ฉันจำไม่ได้แล้ว”
น้ำเสียงของเด็กสาวที่พูดแบบนั้นน่าสงสารมาก ปีเตอร์นึกถึงเรื่องดีๆ เพราะเขาอยากจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
“ทำการบ้านที่ฉันให้ไปหมดหรือยัง”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันลืมไปเลย”
“งั้นจะทำยังไงล่ะ จะไม่เขียนจดหมายหาเจ้าชายแล้วเหรอ”
“นายเขียนให้แทนได้ไหม”
“เขียนแทนเหรอ”
“ตอนฉันเขียนจดหมาย นายก็ช่วยแปลเป็นภาษาเกาหลีให้ไง เป็นไง”
“แล้วนั่นจะเรียกว่าจดหมายรักเหรอ! มีคนที่ไหนให้เขียนจดหมายรักแทนกันล่ะ”
“เอ๋ ทำไมล่ะ ฉันให้นายช่วยแปลเฉยๆ เอง”
เธอเช็ดปากที่เปื้อนแยมพลางยิ้มอย่างหน้าตาเฉย ปีเตอร์ปวดใจขึ้นมาทันทีที่เห็นปากของเธอที่โดนตีจนแตก ดังนั้นเขาจึงรับปากให้กับคำขอร้องที่ไร้สาระแบบนั้น
“จริงเหรอ จริงๆ เหรอ ว้าววว ดีใจจัง”
เจนนี่หัวเราะเหมือนเด็กๆ
ใช่แล้ว แค่เจนนี่หัวเราะก็พอ
ปีเตอร์พยักหน้า
ตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มีความหมายแบบไหน
***
ยิ่งเวลาผ่านไปการประชุมเยาวชนของสมาคมชาวเกาหลีโพ้นทะเลก็ยิ่งมีคนเยอะมากขึ้น พอมีข่าวลือเกี่ยวกับฟิลลิปแพร่ออกไป คนที่ไม่เคยเห็นก็เริ่มมาทีละคนสองคน โดยเฉพาะการเข้าร่วมของพวกผู้หญิงนั้นเพิ่มขึ้นจนสังเกตได้ แม้กระทั่งพวกผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ในวัยที่จะเข้าร่วมสมาคมนักเรียนได้ก็ยังมาเข้าร่วม ถึงขนาดที่จะต้องยืนเรียนเพราะไม่มีที่นั่งแม้จะมาสายไปแค่นิดเดียว วันนี้ปีเตอร์จึงออกจากบ้านเร็วขึ้นเพื่อไปจับจองที่นั่ง
เขามองนาฬิกาที่สวมไว้ที่ข้อมือ เขาช้ากว่าที่คิดไว้เพราะการไหว้วานของแม่ เขารู้สึกงุ่นง่าน ถ้าอยากได้ที่นั่งตรงหน้าต่างเขาจะต้องเข้าไปในห้องประชุมก่อนที่จะเริ่มเรียนสักสามสิบนาที
ฟิลลิปมักจะนั่งที่ด้านหลังตรงหน้าต่างบานที่สี่เสมอ ที่ตรงนั้นไม่มีใครนั่งเหมือนกับเป็นที่นั่งที่ถูกกำหนดไว้
ปีเตอร์นั่งถัดจากที่นั่งของฟิลลิปไปข้างหลังราวสองถึงสามแถว เขาชอบมองอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง เขาคิดตื้นๆ ว่าถ้าเป็นด้านหลังต่อให้ไม่บอกเจนนี่ก็คงจะไม่เป็นไรล่ะมั้ง
“สายแล้ว”
แต่เขาไม่สามารถวิ่งได้ เขาเร่งฝีเท้าในขณะที่เลี้ยวตรงหัวมุม ปีเตอร์ที่ชนกับใครบางคนที่เดินมาจากอีกด้านหนึ่งล้มลงไปนั่งกับพื้น หนังสือที่ปีเตอร์กำลังถืออยู่ก็กระจายไปทั่วพื้น
ปีเตอร์พูดขอโทษราวกับพึมพำและรีบเก็บหนังสือ คนที่ถูกเขาชนก้มตัวลงมาและช่วยปีเตอร์
“ขอบคุณคระ…”
ปีเตอร์ไม่สามารถหุบปากลงได้ ฟิลลิป ไม่สิ อีอูยอน อีกฝ่ายที่สวมยีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดสีขาวเอ่ยถามปีเตอร์
“ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม”
เป็นเสียงที่อ่อนโยนมาก เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเสียงนั้นจะลอยมาทางตนเอง ดังนั้นปีเตอร์จึงยืนมองอีกฝ่ายอยู่สักพัก
“หนังสือเล่มนี้สนุกหรือเปล่า”
อีกฝ่ายอ่านชื่อหนังสือที่ถืออยู่ในมือก่อนจะเอ่ยถาม นี่เป็นหนังสือชื่อ ‘การท่องเที่ยวไม่มีสิ้นสุด’ ของคิมซึงอุคที่ได้รับเป็นของขวัญจากคุณลุง เพราะเป็นหนังสือที่เขายังอ่านได้ไม่ถึงสิบหน้า ปีเตอร์จึงไม่สามารถตอบคำถามของอีกฝ่ายได้
“ถ้าเกิดอ่านแล้วสนุกไว้ผมจะขอยืมนะครับ”
ฟิลลิปพูดดังนั้นแล้วยื่นหนังสือให้ปีเตอร์ โดยไม่ทันได้รู้ตัวพวกนักเรียนผู้หญิงที่ตามหาฟิลลิปก็มายืนล้อมเขาไว้ ปีเตอร์กอดหนังสือที่รับมาจากอีกฝ่ายไว้และจ้องมองด้านหลังของฟิลลิปที่เดินจากไป
ปีเตอร์ไม่เข้าเรียน เขานั่งลงบนม้านั่งและเริ่มอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ตรงนั้น นี่เป็นนิยายที่สนุก มันสนุกถึงขนาดที่เขาเงยหน้ามองฟ้าอยู่สักพักและลองย่อยข้อความนั้นในละเอียด
ฟิลลิปออกมาทันทีที่ชั่วโมงเรียนจบลง แต่รอบๆ ตัวเขากลับมีกำแพงของนักเรียนหญิงที่หนามากกว่าเมื่อกี้นี้ล้อมรอบ ปีเตอร์จ้องมองด้านหลังของฟิลลิปที่เดินไปไกลจากม้านั่ง โอกาสที่อีอูยอนจะพูดกับเขาก่อนคงจะไม่มาถึงอีกแล้ว
สุดท้ายเขาก็เก็บหนังสือเล่มนั้นใส่กระเป๋า
***
[อีอูยอนบาดเจ็บเหรอ]
“ครับ ขอโทษนะครับ”
[ไม่ต้องขอโทษหรอก เขาไม่ได้บาดเจ็บเพราะนายสักหน่อย]
“เขาบาดเจ็บเพราะผมครับ เพราะผมผลักคุณอีอูยอนจนล้ม เขาเลยบาดเจ็บครับ”
เขารู้สึกวุ่นวายใจทันทีที่แจ้งอีกฝ่ายไป เกิดความเงียบจากปลายสาย อินซอบคิดว่าตนจะต้องโดนด่าหรือถูกตวาด มือที่กำโทรศัพท์เอาไว้จึงเกร็ง
[…นายเป็นอะไรหรือเปล่า]
“ครับ?”
[นายเป็นอะไรหรือเปล่า นายผลักอีอูยอนนี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ]
อินซอบถามกลับไปว่า ‘ครับ?’ เพราะเขาไม่เข้าใจว่ากรรมการผู้จัดการคิมหมายความว่าอะไร
[แล้วอีอูยอนไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ ไม่สิ ไม่ นายกลับมาเดี๋ยวนี้เลย ห้ามอยู่กับอีอูยอนตามลำพังเด็ดขาด]
อินซอบมองหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนที่ตนกำลังคุยด้วยใช่กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงหรือเปล่า
“ผมไม่เข้าใจครับว่ากรรมการผู้จัดการหมายความว่ายังไง คนที่บาดเจ็บไม่ใช่ผมนะครับ แต่เป็นคุณอีอูยอนครับ”
[เพราะอย่างนั้นไงล่ะ! อีอูยอนน่ะหวงร่างกายตัวเองมากแค่ไหน! ต่อให้เหนื่อยยังไงเขาก็ยังออกกำลัง กินแต่อาหารที่ดีต่อร่างกาย เหล้ากับบุหรี่ก็ไม่ใช้นอกเหนือจากตอนที่ต้องการจะคลายเครียด ยิ่งไปกว่านั้น…อ๊าก]
เสียงของกรรมการผู้จัดการคิมไกลออกไปจากปลายสาย ชเวอินซอบจึงตะโกนว่า ‘ฮัลโหล ฮัลโหล’ เขาได้ยินเสียงของหัวหน้าทีมชาที่กำลังรังแกกรรมการผู้จัดการคิม และหลังจากนั้นหัวหน้าทีมชาก็บอกว่า ‘นี่ฉันเอง’ พร้อมกับคุยโทรศัพท์ต่อ
[เอ้อ คุณอินซอบ นี่ฉันเองนะ หัวหน้าทีมชา]
“ว่าไงครับคุณหัวหน้าทีม”
[คุณอินซอบไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม]
“ครับ ผมสบายดีครับ”
[โอเค อีอูยอนน่ะหวงร่างกายตัวเองอย่างกับเป็นเพชร เพราะฉะนั้นวันนี้เขาอาจจะอารมณ์รุนแรงเป็นพิเศษ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม]
“ครับ ผมเข้าใจครับ”
อินซอบเอียงคอด้วยความสงสัยอยู่พักหนึ่งให้กับคำว่าอารมณ์รุนแรงเป็นพิเศษ
ถึงจะได้รับบาดเจ็บที่มือ แต่อารมณ์ของอีอูยอนก็ไม่ได้ดูแย่เป็นพิเศษ
แม้เขาจะพิจารณาและเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นนักแสดงที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาอย่างแน่นอน แม้ตนจะเป็นสตอล์กเกอร์ในเรื่องเกี่ยวกับอีอูยอน แต่อินซอบที่คุ้ยเขี่ยและรวบรวมข้อมูลของเขามาพอสมควรกล้าตัดสินได้เลยว่าสภาพอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ได้แย่
ไม่สิ กลับกันอีกฝ่ายยังดูตื่นเต้นนิดๆ เสียด้วยซ้ำ อินซอบคิดว่าความตื่นเต้นของอีกฝ่ายเกิดจากการถ่ายทำบนหลังม้าที่จะมีในช่วงบ่าย
[แล้ววันนี้พอเลิกกองแล้วก็ให้กลับบ้านทันที่ที่ส่งอีอูยอนเสร็จเลยนะ ถ้าเขาชวนให้นายดื่มเหล้าด้วยตามลำพังก็ให้บอกไปว่าดื่มไม่ไหวเพราะเหนื่อย]
“ดื่มเหล้าไม่ได้หรอกครับ เพราะพรุ่งนี้มีถ่ายต่อ”
[ไม่สิ เพราะอย่างนั้นเขาถึงจะใช้วิธีแบบนั้นกับคุณอินซอบ…เอาเถอะ ยังไงก็ตามระวังตัวด้วยนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ให้ติดต่อมาทันทีเลย]
“ครับ ทราบแล้วครับ”
หัวหน้าทีมชาวางสายไปหลังจากกำชับให้เขาระวังตัวอยู่สองถึงสามครั้ง อินซอบใส่โทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าพลางรู้สึกว่าตนไม่ได้เบาใจขึ้นเลย
“คุณอินซอบ!”
อีอึนยองโบกมือให้จากที่ไกลๆ และวิ่งมาหาอินซอบ เธอสวมชุดไปรเวทเพราะฉากที่เธอต้องถ่ายหมดลงแล้ว
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ วันนี้ฉันถ่ายเสร็จแล้ว แล้วคุณอินซอบล่ะคะจะกลับเมื่อไหร่”
“ผมยังต้องอยู่อีกสักพักเลยครับ บางทีอาจจะได้กลับตอนเลยเที่ยงคืนไปแล้ว”
“เหนื่อยแย่เลยนะคะ ไปนอนรอที่รถสิคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะต้องอยู่ช่วยข้างๆ เพราะคุณอีอูยอนบาดเจ็บ”
“คุณอีอูยอนน่ะเหรอคะ บาดเจ็บตรงไหนคะ”
“มือครับ…เป็นเพราะผมครับ ผมผิดเอง เขาบาดเจ็บเพราะถูกผมผลัก”
หน้าของเขาร้อนวูบวาบในขณะที่พูด เขาอับอายกับความจริงที่ว่าตนเองเป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่ดันทำให้นักแสดงที่ตนดูแลบาดเจ็บ
“คุณอีอูยอนล้มเหรอคะ อ๋า คิดไม่ถึงเลยนะคะเนี่ย ฉันได้ยินข่าวลือมาว่าคุณอูยอนชอบออกกำลังกายมาก แบบว่าเป็นคนที่เก่งด้านกีฬาน่ะค่ะ แต่ดันล้มเพราะโดนคุณอินซอบผลักน่ะเหรอคะ ด้วยร่างกายแบบนั้นเนี่ยนะคะ”
“ผะ ผมผลักแรงครับ”
ชเวอินซอบค้านเสียงเบา
“ฮ่าๆๆๆ แรงเลยสินะคะ แต่ฉันได้ยินเขาบอกว่าคุณอีอูยอนบอกว่าลื่นล้มลงไปเองนะคะ ดูเหมือนตอนนั้นเขาจะไม่ทันได้ระวังอะไรนี่แหละค่ะ”
อูยอนมีนิสัยไม่ระมัดระวังด้วยเหรอ