“เจอแล้ว!”
ชเวอินซอบหาตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติจนเจอและรีบหยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋า เหรียญไม่ยอมเข้าไปในเครื่องและเขาต้องดันมันเข้าไปซ้ำๆอย่างงุ่นง่าน เมื่อไฟของตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติติดขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาก็ร้องไซโยในใจ ต้องรีบแล้ว เร็วเข้า เร็วเข้า
ชเวอินซอบใช้นิ้วไล่หาโค้กพร้อมพึมพำว่าเร็วๆ แต่ในระหว่างที่เขากำลังคิดว่าจะกดโค้กหรือเป๊ปซี่ดี ใครบางคนก็ยื่นมือออกมาและหยุดความกังวลของเขาไว้อย่างโหดร้าย
“ขอบคุณครับ กำลังคอแห้งอยู่พอดี”
“…เอ่อ”
อีอูยอนก้มตัวลงไปหยิบเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ตกลงมาด้านล่างพร้อมเผยยิ้ม
“นี่เป็นสินค้าที่ผมโฆษณาครับ การดื่มต่อหน้านักข่าวเป็นผลดีสำหรับโฆษณานะครับ มีการคุยเรื่องต่อสัญญากันพอดีด้วย”
“อ๋อ ครับ”
ชเวอินซอบหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าอีกรอบและดันมันเข้าไปในตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติอย่างระมัดระวัง อีอูยอนมองอีกฝ่ายเลือกโค้กและเอาใส่ไว้ในกระเป๋าก่อนจะเผยสีหน้าฉงนสงสัย
“จะดื่มโคล่าเหรอครับ”
“เอ่อ…”
“ตอนคอแห้งดื่มน้ำแร่น่าจะดีกว่านะครับ ถึงเครื่องดื่มเกลือแร่จะพอใช้ได้ แต่น้ำแร่ดีกว่าครับ หายเหนื่อยแล้วค่อยไปนะครับ”
“ครับ…เชิญไปรอที่รถก่อนได้เลยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ไปด้วยกันเถอะ”
“…”
“ผมกำลังคิดว่าถ้าคุณไม่มา ผมจะลงไปเองอยู่พอดีเลย”
เมื่อชเวอินซอบที่มักแสดงท่าทีเชื่องช้าไม่ยอมกลับมาเสียที ทั้งยังทิ้งตนไว้ที่ล็อบบี้ของตึก อีอูยอนก็อดรำคาญไม่ได้ ถึงแม้จะดูงงๆ แต่ชเวอินซอบก็มาตรงตามเวลานัดเสมอ อีอูยอนคิดว่าผ่านไปได้ไม่เท่าไรความตรงต่อเวลานั้นก็ลดน้อยถอยลงเสียแล้วพร้อมกับดูนาฬิกา เขาเห็นร่างของชเวอินซอบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในตึก พร้อมกันนั้นเขาก็ทำตายิ้มให้กับคำพูดเจือการหยอกเย้าของนักข่าวที่บอกว่า ‘ดูเหมือนจะมีนัดสำคัญนะคะ’
แปลก เขาไม่เคยเห็นชเวอินซอบวิ่งมาก่อนเลย แม้อีกฝ่ายจะทำหน้าจนปัญญาในยามที่ฝนตก แต่เจ้าตัวก็แค่ก้าวยาวๆ เท่านั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ทำไมถึงวิ่งเข้าไปข้างในแบบนั้น อีอูยอนคิดพลางเอ่ยขอตัวกับนักข่าว และเดินตามอินซอบไป
ตอนที่เจอชเวอินซอบทำสีหน้าเหม่อลอยเพราะมัวแต่เลือกเครื่องดื่มอยู่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ อีอูยอนก็กำหมัดแน่น
แทนที่จะซัดมันเข้ากับหลังหัวของอีกฝ่าย อีอูยอนกลับเดินเข้าไปด้านหลังเงียบๆ และกดปุ่มอะไรก็ได้สักปุ่ม จากนั้นเครื่องดื่มออกมา
“ไปกันครับ”
“…ครับ”
ชเวอินซอบพูดอ้อมแอ้มพร้อมกับสังเกตท่าทีของเขาไปด้วยและเดินตามหลังมา อีอูยอนเห็นดังนั้นจึงถามเปรยๆ
“ทำไมถึงช้าแบบนี้ล่ะครับ ผมกำลังรอคุณอยู่นะ”
“ขอโทษครับ”
ต่อให้ทำความผิด ชเวอินซอบก็ไม่มีทางแก้ตัว เจ้าตัวมักจะยอมรับความผิดนั้นเงียบๆ และกล่าวขอโทษ ทีแรกอีอูยอนรู้สึกว่ามันก็ดูอ่อนน้อมดี แต่ตอนนี้เขาชักจะรำคาญแล้ว
อีอูยอนถามอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ คงไม่ใช่ว่าเจอใครเข้าตอนที่จอดรถรอผมหรอกใช่ไหม”
“…”
เขาแค่พูดเล่น แต่ชเวอินซอบกลับก้มหัวลง ไม่ยอมพูดอะไร อีอูยอนดึงห่วงของกระป๋องเครื่องดื่มที่เขากำลังถืออยู่ เกิดเสียง แกร๊ก จากนั้นเขาก็ดื่มเข้าไประหว่างที่รอคำตอบจากอีกฝ่าย
“…”
ชเวอินซอบเดินตามหลังมาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเลย อีอูยอนรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าตนไม่รู้เลยว่าเจ้าของใบหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะแอบไปทำอะไรลับหลังหรือไม่ ความรำคาญที่ถูกกดเอาไว้ก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เขาอยากบีบคอเรียวบางนั่นและตะโกนสั่งให้พูดมาเดี๋ยวนี้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อีอูยอนที่เดินนำหน้าหันขวับกลับไป
“คุณชเวอินซอบ”
“ครับ?”
ทันทีที่สบตากัน ตาของชเวอินซอบก็เบิกโตขึ้นกว่าเดิม เขาเกลียดความจริงที่ว่าฝ่ายนั้นกำลังโกหกและชอบทำท่าทีกระสับกระส่ายเวลาที่ต้องหลอกคนอื่น แต่ก็ยังทำตาใสซื่อขนาดนั้นได้อยู่อีก อีอูยอนพูดเหมือนตักเตือนเด็กเล็ก
“ที่นี่มีปัญหาเรื่องคนเยอะที่สุดครับ ถึงคุณจะวางตัวดีอยู่แล้ว แต่ก็ควรระวังตัวไว้ จะได้ไม่เกิดเรื่องไม่ดีนะครับ”
“ครับ ผมทราบแล้วครับ”
แม้ชเวอินซอบจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอีอูยอนจะพูดเรื่องอะไร แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสั่งให้เขาระมัดระวัง อินซอบจึงกะพริบตาพร้อมเอ่ยตอบ
“เข้าใจใช่ไหมครับว่าผมหมายความว่าอะไร”
“หมายความว่าให้ระวังคนเอาไว้ใช่ไหมครับ”
“ครับ ถูกแล้วครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
แม้จะได้ยินคำตอบที่ว่านอนสอนง่ายจากอีกฝ่าย แต่อีอูยอนก็ยังไม่หายโมโห
ทันทีที่เข้ามาในลานจอดรถ อาการกระสับกระส่ายของชเวอินซอบก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดูจากท่าทีที่เจ้าตัวหันไปมองรอบๆ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหาใครสักคนอยู่
“…”
อีอูยอนไม่อยากจะเชื่อเลย
ถ้าจะหลอกคนอื่นก็ควรทำให้มันดูสมจริงหน่อยไหม หรือว่าจะโกหกนะ เขาอยากจะถามออกไปว่า ‘นายคิดอะไรอยู่กันแน่’ ตอนนั้นเองเบนท์ลีย์สีเงินก็สาดไฟหน้ามาทางพวกเขาและกะพริบไฟใส่ แสงไฟหน้ารถที่แสบตาจนมองข้างหน้าไม่เห็นทำให้อีอูยอนต้องยกมือขึ้นมาบัง และสำรวจดูว่าคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถเป็นใคร
คังยองโมโน้มตัวพิงพวงมาลัยรถและกำลังมองมาทางนี้ อีอูยอนหันไปมองชเวอินซอบ เขาเห็นว่าอินซอบหยิบเครื่องดื่มออกมาจากกระเป๋า และในวินาทีนั้นเขาก็รู้เลยว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร
อีอูยอนจับมือของชเวอินซอบไว้
“…!”
“อยู่เฉยๆ ครับ”
เขาจับมือของชเวอินซอบไว้และบังคับให้อีกฝ่ายเก็บเครื่องดื่มลงในกระเป๋าไปอีกครั้ง จากนั้นก็ลากเจ้าตัวเดินไปข้างรถของคังยองโมทั้งอย่างนั้น
“จะไปแล้วเหรอครับ”
“อ้อ ใช่ แต่ว่ามีธุระด่วนกับผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นนิดหน่อย…”
ชเวอินซอบพยายามจะหยิบโค้กที่อยู่ในกระเป๋าออกมา แต่อีอูยอนกลับจับข้อมือเขาไว้ไม่ปล่อย
“พวกเรากำลังยุ่ง งั้นขอตัวก่อนนะครับ”
“ว่าไงนะ เดี๋ยวก่อน จะเมินเรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อกี้เหรอ”
บรรยากาศเลวร้ายลงเรื่อยๆ
อินซอบไม่ชอบความเดือดร้อน แม้บางครั้งเขาจะอึดอัดที่ต้องคอยหลบคนที่เข้ามาแกล้งโรงเรียน แต่เขาไม่ชอบการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทำให้เหนื่อยใจมากเสียกว่า แต่หลังจากก้าวเข้ามาในวงการนี้ กระเพาะของเขาถึงกับเหี่ยวเพราะสถานการณ์รุนแรงที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะเจอทันที
เขาอยากเอาเครื่องดื่มให้อีกฝ่ายและรีบๆ จากไป แต่ดูเหมือนอีอูยอนที่จับข้อมือของเขาไว้จะไม่ได้คิดแบบนั้น
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“ฉันสั่งให้ผู้จัดการส่วนตัวของนายไปซื้อโคล่ามาให้ฉันน่ะสิ แล้วจะไปเฉยๆ เหรอ”
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอครับ ดูเหมือนผู้จัดการส่วนตัวของผมจะยุ่งจนลืมไปแล้วนะครับ รุ่นพี่”
อีอูยอนว่าพลางยื่นเครื่องที่ตนดื่มเปิดแล้วไปตรงหน้าคังยองโม
“งั้นในเมื่อรุ่นพี่กำลังยุ่ง งั้นรับนี่ไปแทนไหมครับ”
“แก! อี…!”
วันนี้ชเวอินซอบก็ได้เห็นกับตาถึงสองครั้งว่าสีหน้าของมนุษย์สามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดไหน
“ออกไปด้านหน้าตรงนั้นมีร้านสะดวกซื้ออยู่นะครับ จะแวะซื้อน้ำแร่มาดื่มก็ไม่เลวเหมือนกัน น่าจะดีต่อร่างกายของรุ่นพี่มากกว่าเครื่องดื่มแบบนี้นะครับ”
อีอูยอนบอกลาอย่างมีมารยาทพร้อมจับมือของชเวอินซอบอีกครั้ง คังยองโมจ้องเขม็งมาทางด้านนี้อย่างน่ากลัวจนอินซอบต้องหันกลับไปมองอยู่หลายรอบ
“อย่าหันกลับไปมองครับ”
“…ครับ”
คนทั้งคู่เดินมาจนถึงจุดที่จอดรถไว้ อินซอบยืนกังวลอยู่หน้ารถว่าจะเอามือของอีอูยอนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตนออกไปอย่างไรดี
“คนคนนั้นใช้ให้ทำเหรอครับ”
“ขอโทษครับ”
ไม่ว่าอย่างไรคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็คือตัวเขาเองจึงรู้สึกอยากขอโทษ แต่อีอูยอนไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา
“ต่อไปอย่าทำแบบนั้นนะครับ”
“…”
“แน่นอนว่าคุณเองอาจจะไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ แต่คุณชเวอินซอบคือผู้จัดการส่วนตัวของผมนะครับ ไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวของคนคนนั้น เข้าใจไหมครับ”
“ครับ เข้าใจครับ”
แม้จะตอบไปแบบนั้นแล้ว แต่อินซอบก็คิดว่ามันยังไม่พอ เขาจึงเสริมว่า ‘จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครับ’ พอได้ยินคำพูดนั้น อีอูยอนก็หัวเราะหึ
“คือว่า…”
อินซอบมองไปที่มือที่ไม่คิดจะเอาออกไปจากกระเป๋าพร้อมกับพูดอย่างระมัดระวัง
“มีอะไรเหรอครับ”
“มือน่ะครับ…”
“อ้อ จริงด้วย”
อีอูยอนดึงมือออกมาจากกระเป๋าทั้งๆ ที่ยังจับข้อมือของชเวอินซอบไว้
“ผมทิ้งนะครับ”
อีอูยอนแย่งโคล่าที่อยู่ในมือชเวอินซอบมาและโยนทิ้งลงถังขยะ อินซอบรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำที่เด็ดขาดนั้นเลย คุณยายบอกว่าคนที่ทิ้งอาหารราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นคนไม่ดี อีอูยอนเป็นคนไม่ดีอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย
“ทำไมตรงนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ”
“ครับ?”
“ล้มเหรอครับ”
อีอูยอนมองฝ่ามือของชเวอินซอบและเอ่ยถาม อินซอบซ่อนมือไว้ข้างหลังและพยายามตอบเสียงแข็งว่าไม่มีอะไร
“ไม่มีอะไรงั้นเหรอครับ คุณไปล้มที่ไหนมา”
“ผมล้มตอนเดินไปที่ลานจอดรถน่ะครับ”
อีอูยอนจับไหล่ของชเวอินซอบให้หมุนตัวหันหลัง
“ล้มไปข้างหลังสินะครับ”
ชเวอินซอบหน้าแดงปัดฝุ่นที่เปื้อนบริเวณสะโพกออก ไม่บ่อยนักที่คนเราจะล้มไปข้างหลังทั้งๆ ที่ไม่ได้เดินบนน้ำแข็ง นอกเสียจากว่าจะมีอะไรคุกคามจากด้านหน้า
อีอูยอนนึกถึงรถเบนท์ลีย์สีเงินที่จอดรออินซอบอยู่ตรงมุมถนน
“ฮ่าๆๆๆ ให้ตายสิ ไอ้…”
“ครับ?”
อินซอบที่กำลังเปิดประตูรถหันหน้ามาด้วยความตกใจ อีอูยอนตอบว่า ‘ไม่มีอะไรครับ’ ด้วยสีหน้าปกติและขึ้นไปนั่งบนรถ
เมื่อชเวอินซอบนั่งประจำที่คนขับและปิดประตู เขาก็เอียงคอด้วยความสงสัย ถ้าฟังไม่ผิด เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินอะไรสักอย่างนะ…
“วันนี้ผมจะไปออกกำลังกาย รบกวนด้วยนะครับ”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
ชเวอินซอบเลือกเพลงที่อีอูยอนชอบและเปิด CD ที่ใส่เอาไว้ เสียงสตาร์ทรถถูกกลบด้วยเสียงทำนองเพลง
ระหว่างที่ขับรถ อินซอบก็ครุ่นคิดว่าคำที่ตนได้ยินเมื่อสักครู่นี้หมายความว่าอะไรกันแน่
หมาเคี้ยว เขาพูดว่าหมาเคี้ยวใช่ไหม
หมายถึงหมากฝรั่งที่หมาเคี้ยว[1]เหรอ
ในระหว่างที่เขากำลังรุ่นคิดอยู่นั้น รถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากลานจอด
[1] หมาเคี้ยว ภาษาเกาหลีคือ 개씹 (เคชิบ) หมายถึงโคตรเหี้ย ซึ่งใน개 (เค) พ้องเสียงกับคำว่าหมาหรือสุนัข ส่วน 씹 (ชิบ) พ้องเสียงกับคำว่าเคี้ยว