“อูยอน! อีอูยอน! ฟื้นแล้วเหรอ”
อีอูยอนนิ่วหน้าโดยอัตโนมัติ เพราะเสียงของกรรมการผู้จัดการคิมที่วิ่งเข้ามาทันทีที่เขาลืมตา เขาหลับตาลงอีกครั้ง เพราะความรู้สึกเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นบริเวณศีรษะ
“ผมอยู่ที่ไหนครับ”
“โรงพยาบาลน่ะสิ ไอ้บ้านี่ รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหนที่จู่ๆ ตำรวจก็โทรมาถามว่ารู้จักนายหรือเปล่า…”
“นึกว่าผมฆ่าคนตายสินะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมทำสีหน้าเจ็บปวดพลางคิดว่าหมอนี่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
ตอนที่เขานั่งอยู่ข้างๆ หัวหน้าทีมชาและกำลังเถียงกันอย่างไร้สาระว่าปลาของใครใหญ่กว่ากัน กรรมการผู้จัดการคิมก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ สิ่งที่เขาคิดถึงทันทีที่ได้ยินปลายสายบอกว่าเป็นตำรวจคืออีอูยอนที่เขาทิ้งไว้ที่บ้านพักตากอากาศ เขาคิดก่อนเลยว่า ในที่สุดหมอนั่นก็ก่อเรื่องน่ากลัวขึ้นจนได้สิน่า! ให้ตายเถอะ เป็นไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย!
แต่พอได้ฟังรายละเอียดเกี่ยวกับอุบัติเหตุแล้ว มันก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาสามารถวางใจได้เหมือนกัน ตอนที่ได้ยินตำรวจบอกว่ากำลังพาอีอูยอนและผู้จัดการส่วนตัวที่กระโดดลงไปช่วยไปส่งที่โรงพยาบาล กรรมการผู้จัดการคิมก็แทบจะไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังร้องไห้จนกระทั่งหัวหน้าทีมชาแหวใส่ว่า ‘ตาแก่! จะร้องก็ร้องไปเถอะ แต่ก็ช่วยร้องเงียบๆ หน่อย! เพราะมันเปล่าประโยชน์’
อีอูยอนลองขยับแขนกับขาของตัวเองแล้วก็ได้แต่นิ่วหน้า จากการที่เขารู้สึกเจ็บแปลบๆ บริเวณหน้าอกดูเหมือนกระดูกซี่โครงจะร้าว
“ยังไงก็เถอะ โชคดีมากนะที่เป็นแค่นี้ ฉันนึกว่าจะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ ซะแล้ว”
“จับได้หรือเปล่าครับ”
แม้จะไม่ระบุชื่อ แต่เขาก็รู้ว่าอีอูยอนกำลังถามถึงใคร กรรมการผู้จัดการคิมส่ายหน้าด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“พวกคนจรจัดแถวนั้นบอกว่าเหมือนจะเป็นพวกคนงาน พวกเขาเจอรถที่จอดทิ้งไว้ เพราะฉันบอกลักษณะรูปร่างกับการแต่งกายรวมไปถึงรถที่ใช้กับตำรวจไว้ก่อนแล้ว แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตัวเจอได้จากรอยนิ้วมือ เพราะครึ่งหนึ่งของคนพวกนั้นเป็นคนที่ลักลอบอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย”
อีอูยอนเกร็งไหล่และพยายามจะลุกขึ้น แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะเตือนว่าอย่าทำอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นฟังเลยสักนิด
“แล้วเขาบอกไหมครับว่าจะหายังไง”
“แน่นอนว่าตำรวจได้ตามหาแล้ว แต่…”
“แม่งเอ๊ย งานที่ตำรวจทำแล้วได้เงินคืออะไรกันแน่ นี่มันพยายามฆ่าชัดๆ เข้าใจไหม การจับไอ้ขยะเฮงซวยพวกนั้นเป็นงานของตำรวจไม่ใช่เหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิดว่าโชคดีมากที่ประตูห้องพักฟื้นถูกปิดเอาไว้
“แต่นายก็ต้องทำตัวให้มีขอบเขตสิ การโยนประแจโดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้นน่ะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมเห็นว่าอีอูยอนจ้องตนอยู่จึงหุบปาก
แม้สมองจะรับรู้ว่าหมอนี่ไม่ทำอะไรเขาหรอก แต่ร่างกายกลับผงะและถอยหลังไปเอง การที่เขารู้สึกเสียววาบที่ต้นคอเป็นปฏิกิริยาตอบกลับตามสัญชาตญาณในทุกครั้งที่อีอูยอนมองคนด้วยสายตาแบบนั้น
“นั่นสินะครับ เป็นความผิดของผมเอง”
“…”
“ถ้าผมโยนประแจใส่หน้าคนพวกนั้น แทนกระจกรถ ก็คงไม่มีเรื่องโชคร้ายแบบนี้เกิดขึ้น”
“…”
ฉันล็อกประตูเอาไว้แล้วใช่ไหมนะ
กรรมการผู้จัดการคิมทำได้แค่ชำเลืองมองด้านหลังด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
อีอูยอนยันตัวขึ้นมานั่งพิงกำแพง
“ผลออกมาหรือยังครับ”
“ผลอะไร”
“ผลตรวจร่างกายผมไง”
“…ไหล่กับซี่โครงร้าวนิดหน่อย ตรงส่วนอื่นไม่เป็นอะไรเลย แต่ต้องนอนอยู่เฉยๆ นะ หมอบอกว่าถ้าไม่ขยับตัวสักพักก็น่าจะหายแล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องเลื่อนการถ่ายละครออกไปด้วย แต่นายเป็นแค่นี้ก็โชคดีมากแล้วล่ะ อินซอบเขากระโดดลงทะเลสาบที่เย็นเป็นน้ำแข็งเพื่อช่วยนายเลยนะ ให้ตายสิ ตอนที่เขาบอกว่ากำลังพาพวกนายไปโรงพยาบาล…เฮ้ย จะไปไหน”
“เด็กนั่นอยู่ไหนครับ”
“หมายความว่าไงที่ว่าอยู่ไหน ตำรวจเขากำลังตามหาอยู่…”
“ไม่ใช่ไอ้เวรพวกนั้น ผมหมายถึงเด็กนั่นต่างหากครับ ชเวอินซอบน่ะ”
เป็นครั้งแรกที่อีอูยอนเรียกชื่อของผู้จัดการส่วนตัวออกมา ต่อให้เป็นคนที่เพิ่งลาออกไป เมื่ออยู่ต่อหน้ากรรมการผู้จัดการคิม เขาก็จะเรียกโดยเติมคำว่าคุณไว้หน้าชื่อเสมอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ หรือว่าสมองจะได้รับความกระทบกระเทือน
“อีอูยอนรู้ไหมว่าฉันชื่ออะไร”
“คิมฮักซึง”
“…แล้วชื่อของหัวหน้าทีมชาล่ะ”
“ชาฮยอนคยู ถ้าจะตรวจสอบเพราะคิดว่าสมองผมผิดปกติก็พอเถอะครับ ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ไม่ดี”
อีอูยอนสวมสลิปเปอร์และลุกขึ้น เขารู้สึกรำคาญสายน้ำเกลือจึงดึงเข็มที่ปักอยู่บนแขนทิ้ง
“ร่างกายแบบนี้คิดจะไปไหน หา!”
“ผมถามว่าชเวอินซอบอยู่ที่ไหน”
“ห้อง ICU …เอ้ย ไอ้นี่”
อีอูยอนออกจากห้องพักฟื้นไปโดยไม่ทันฟังคำพูดที่เหลือ โชคดีที่ทางเดินของโรงพยาบาลมีคนไม่มากนัก เพราะเป็นช่วงเช้ามืด เขาถามตำแหน่งที่ตั้งของห้อง ICU จากพยาบาลและวิ่งขึ้นบันไดไป
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง ICU พยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ห้ามเขาด้วยความตกใจ
“จะเข้ามาที่นี่แบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ผู้ป่วยที่ชื่อชเวอินซอบอยู่ที่ไหนครับ”
“คะ? เอ่อ…”
ตอนนั้นเองที่พยาบาลจำอีอูยอนได้และเบิกตาโต
“ตอนนี้คุณชเวอินซอบอยู่ที่ไหนครับ”
อีอูยอนเอามือกุมหัวพร้อมกับเอ่ยถาม หัวเขาเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้สึกเหมือนมีใครใช้มืดแหลมๆ หั่นหัวของเขาออกเป็นชิ้นบางๆ
“คุณชเวอินซอบ…”
“อีอูยอน!”
กรรมการผู้จัดการคิมวิ่งตามมาจับไหล่เขาไว้ กรรมการผู้จัดการคิมรีบขอโทษพยาบาลและลากอีอูยอนออกมาด้านนอก
“ไอ้นี่หนิ ฟังให้จบก่อนสิ ตอนนี้ชเวอินซอบไม่ได้อยู่ที่ห้อง ICU หรอก ตอนแรกเขาอยู่ที่ห้อง ICU เพราะอาการหนักมาก แต่พอดีขึ้นตอนนี้เขาเลยได้ไปอยู่ห้องพักฟื้นธรรมดาแล้ว”
“…”
“ก็นายเล่นหลับไปตั้งครึ่งวันเลยนี่นา”
“งั้นเขาอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
อีอูยอนนิ่วหน้าและเอ่ยถามพลางหลับตาลง พอกรรมการผู้จัดการคิมตอบว่าห้องพักฟื้นที่อยู่ข้างๆ ห้องนาย เขาก็เดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลโดยไม่หันหลังกลับ กรรมการผู้จัดการคิมยอมแพ้และถอนหายใจออกมาก่อนจะตามหลังอีกฝ่ายไป อีอูยอนลงบันไดมาอีกครั้งและเข้าไปในห้องพักฟื้นที่มีชื่อชเวอินซอบแปะไว้
หัวหน้าทีมชาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเสริมลุกขึ้นด้วยความตกใจ อีอูยอนชี้ไปที่ประตูที่อยู่ด้านหลังพลางเอ่ย
“ช่วยออกไปข้างนอกหน่อยได้ไหมครับ”
“อีอูยอนนายไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ”
“ผมเป็นแบบนี้เพราะสภาพร่างกายผมไม่ดีโคตรๆ และการพูดรอบสองก็เกินกว่ากำลังของผม ช่วยออกไปทีนะครับ”
“ว่าไงนะ นายจะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมวิ่งตามมาจับแขนของหัวหน้าทีมชาไว้และพาเขาออกไปเงียบๆ แม้ทั้งคู่จะทำสีหน้าไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่บรรยากาศแบบนี้พวกเขาคงต้องทำตามที่อีอูยอนพูดไปก่อน
ภายในห้องพักฟื้นที่มีเพียงเสียงลมหายใจของชเวอินซอบที่นอนอยู่ อีอูยอนยืนอยู่ข้างเตียงพลางมองใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัวที่กำลังหลับเงียบๆ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะกระโดดลงไปช่วยเขาในทะเลสาบด้วยร่างที่ผอมและดูไม่ได้แบบนี้
เขาทำไปทำไม
มีเพียงความคิดนี้เท่านั้นที่เข้ามาในหัวตอนที่ได้ยินว่าชเวอินซอบช่วยตนเอาไว้
ตามที่เขารู้ ชเวอินซอบยืนเฉยๆ และมองร่างของเขาจมลงไปในน้ำไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมชเวอินซอบถึงช่วยเขาไว้ล่ะ
เขาเอื้อมมือออกไปและเปิดเสื้อผู้ป่วยของชเวอินซอบออก มีรอยแผลเป็นยาวๆ เหลืออยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายอย่างชัดเจน เขาดูไม่ผิดแน่
อีกฝ่ายอาจตายได้ การกระโดดลงไปช่วยคนในทะเลสาบที่เย็นแบบนั้นกลางฤดูหนาวเป็นเรื่องยากแม้แต่กับคนปกติ
นี่เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย อีอูยอนปวดหัว การกระทำของชเวอินซอบอยู่นอกเหนือขอบเขตของสิ่งที่เขาคิดว่าคนปกติเขาทำกัน อีอูยอนรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่มีเหตุผลกับความจริงที่ว่าผู้ชายผอมแห้งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นและไม่มีอะไรพิเศษอยู่นอกเหนือจากการคาดเดาของตน
เขาอยากทำให้มันชัดเจน เขาอยากเข้าไปในหัวของอีกฝ่าย เพื่อที่จะได้รู้ให้แน่ชัดว่าชเวอินซอบคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้
เขาหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาด้วยคิดจะปลุกชเวอินซอบและถามถึงเหตุผลที่ช่วยตนไว้ แต่ชเวอินซอบที่รู้สึกว่ามีคนอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันได้สาดน้ำเพื่อปลุกเจ้าตัว
อีกฝ่ายสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวังด้วยดวงตาที่ขุ่นมัวเพราะไข้ยังไม่ลด เมื่อเห็นอีอูยอนก็หยุดหายใจไปครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นมองตนที่ยืนอยู่ในห้องพักฟื้นและกะพริบตาอยู่สองสามครั้งด้วยความตกใจ อีอูยอนเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา
“…ไม่เป็น…”
เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าชเวอินซอบพูดอะไรถ้าไม่เงี่ยหูฟัง เพราะแม้แต่เสียงก็ไม่ออกมาตามปกติ
“ไม่เป็นอะไรแล้วเหรอคะ…ครับ”
ในรอบที่สองเสียงของเขาชัดขึ้นมาเล็กน้อย อีอูยอนไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ที่ชเวอินซอบถามถึงความปลอดภัยของตนและไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้
“…เปล่านะครับ”
“อะไรนะครับ”
“ผม…ไม่ได้ผลักคุณนะครับ ก็แค่…”
ชเวอินซอบกะพริบตา เขาดูไม่มีแรงแม้แต่จะฝืนลืมตาเอาไว้ เพราะรู้สึกง่วงขึ้นมาด้วยฤทธิ์ยา
“แค่?”
อีอูยอนรอคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย แต่ชเวอินซอบกลับหลับตาและส่งเสียงหายใจแรงๆ ออกมาเท่านั้น เขาหลับไปแล้ว
อีอูยอนอยากจะเอาน้ำที่ถืออยู่ราดใส่หน้าอีกฝ่ายและถามว่าพยายามจะพูดอะไรต่อกันแน่
“…”
เขาวางขวดน้ำลงบนโต๊ะอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจหนักหน่วงเปลี่ยนเป็นแผ่วลงของชเวอินซอบ เขาก็คิดว่าไว้ฟังคำตอบตอนที่อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้
อีอูยอนลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างเตียง เขาปวดหัวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ กรรมการผู้จัดการคิมพูดถูก การเคลื่อนไหวยังมากเกินไปสำหรับเขา
***
ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลอีอูยอนก็ยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจหายคออย่างที่พูด พวกนักข่าวที่ชอบตามเขาลงข่าวคาดเดาอย่างนั้นอย่างนี้เกี่ยวกับการเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันของเขา แต่ต้นสังกัดของเขาแถลงว่ากระดูกหักเล็กน้อยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เท่านั้น พอเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็ตัดสินใจปิดปากตำรวจด้วยเหมือนกัน
เขายกเลิกการนัดอ่านบทที่ตัดสินใจไว้ว่าจะเข้าร่วมทันที และการจัดตารางสำหรับถ่ายละครก็คลาดเคลื่อนไปด้วย แม้จะมีการพูดคุยให้เปลี่ยนตัวเป็นนักแสดงคนอื่นแล้ว แต่โปรดิวเซอร์และคนเขียนบทกลับบอกว่าถ้าไม่ใช่อีอูยอน ก็ไม่มีใครสามารถเล่นบทนี้ได้พร้อมกับนำกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมที่โรงพยาบาลด้วย สุดท้ายพวกเขาก็ได้ข้อตกลงว่าการถ่ายทำจะเลื่อนออกไปประมาณสองสัปดาห์
คุณหมอบอกว่าความจริงแล้วเขาอยากจะให้อีอูยอนนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลสักหนึ่งเดือน แต่อีอูยอนบังคับให้หมอยอมให้ตนออกจากโรงพยาบาลภายในหนึ่งสัปดาห์ด้วยความดื้อรั้น เป็นพรหมลิขิตของอินซอบที่จะต้องยุ่งไปด้วยเหมือนกัน แต่เขาก็ให้อีกฝ่ายหยุดอีกสามถึงสี่วันเป็นกรณีพิเศษ อีอูยอนยิ้มให้อินซอบที่ปฏิเสธอย่างถึงที่สุดด้วยความเกรงใจว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วพร้อมกับไม่ลังเลที่จะพูดคำพูดที่น่ากลัวกับผู้ที่ช่วยชีวิตตนไว้ว่า ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ทำถึงขนาดนี้ ตนก็คงไม่ได้มีชีวิตรอดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบแน่นอน สุดท้ายชเวอินซอบก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในมุมห้องคนเดียวถึงสี่วันอย่างน่าเสียดาย
แม้การพักจะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับอินซอบที่จะต้องได้ยินหมอพูดอยู่บ่อยๆ ว่าต้องนอนอยู่เฉยๆ แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว
ตอนที่เขากลับมาหลังจากหยุดพักไปสี่วัน หัวหน้าทีมชาที่ซีดเซียวจนเขาตกใจก็จับมือเขาไว้แน่นพร้อมกับถามทำนองว่า ร่างกายนายปกติดีแล้วใช่ไหม ไม่ได้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม ไม่ลองไปโรงพยาบาลดูหน่อยเหรอ หลังจากที่อีกฝ่ายตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าอินซอบไม่เป็นอะไรแล้ว เขาก็บอกว่าตอนนี้ตนจะได้พักเสียทีพร้อมกับออกจากห้องทำงานไป
กรรมการผู้จัดการคิมเองก็ถามอินซอบอยู่สองสามรอบว่าร่างกายเขาไม่เป็นอะไรแล้วแน่เหรอ อินซอบลังเลที่จะตอบไปว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจึงตอบไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงแทน แม้เขาจะอยากขอบคุณหัวหน้าทีมชาหรือกรรมการผู้จัดการคิมที่เป็นห่วงตน แต่เขาก็กลัวว่าการทำแบบนั้นจะเป็นการสร้างมิตรภาพขึ้นมาหรือเปล่า และเขาก็ไม่สบายใจเลยสักนิดที่ไม่อาจพูดขอบคุณออกไปได้อย่างเหมาะสม
แม้กระทั่งระหว่างทางที่จะไปรับอีอูยอน ชเวอินซอบก็ครุ่นคิดว่าเขาจะส่งข้อความไปหาสองคนนั้นดีไหมอยู่สองสามครั้งก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลง
“… ฉันทำไม่ได้หรอก”
คำดูถูกตัวเองที่แสนขมขื่นสลักลงไปในใจ อินซอบขับรถต่อไปและพยายามทำจิตใจที่ยุ่งเหยิงให้สงบลง