ฟิลลิป เลวิน
เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงถึงขนาดที่ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา เนื่องจากเขาเป็นควอร์เตอร์แบ็กของทีมอเมริกันฟุตบอล W.T Woodson
“ฟิลลิป โอเค ออกมาข้างหน้าหน่อยได้ไหม”
แม้ตนจะไม่โดนเรียก แต่ปีเตอร์ก็ใจเต้นแรงจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาดีๆ ได้ ฟิลลิปค่อยๆ ลุกขึ้นและออกไปหน้าห้องประชุม ตอนนั้นเองปีเตอร์ถึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“มีชื่อเกาหลีไหม”
“มีครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางพูดต่อ
“ผมอีอูยอนครับ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ปีเตอร์ได้รู้ว่าภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่มีเสียงสะท้อนที่นุ่มนวลขนาดนั้น และเขาก็อดที่จะตกใจไม่ได้กับการออกเสียงภาษาเกาหลีของอีอูยอนที่แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“ช่วยอ่านกลอนบทนี้ทีได้ไหม”
คุณครูยื่นหนังสือให้เขา เด็กหนุ่มจับสันหนังสือด้วยมือที่งดงามและเริ่มยืนอ่านกลอน
“ ‘แด่เธอ’ คิมนัมโจ”
ภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
[“คำอธิษฐานยามค่ำของข้า แสนยาว แต่ข้าเอ่ยเพียงคำคำหนึ่งซ้ำๆ บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นเงียบๆ นี่คือคำอ้อนวอนที่เหลือเชื่อ”]
ช่างเป็นคำพูดที่งดงาม คำพูดทั้งหลายที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มทำให้เกิดเป็นบทกลอนขึ้นมา ปีเตอร์จดจ่ออยู่กับการมองเด็กหนุ่มที่กำลังอ่านกลอน
[“มีเพียงแสงสว่างที่ผลิบานขึ้นใหม่เท่านั้น ที่จะเติมเต็มจิตวิญญาณของเจ้าผู้เป็นที่รักได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะล้มตัวลงนอนพร้อมผมสีดำขลับที่ปล่อยสยาย แต่ข้าก็มิเคยได้รับความรักที่อัศจรรย์ถึงเพียงนี้มาก่อน”]
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างบานสูงของห้องประชุมกระทบเข้ากับเส้นผมของเด็กหนุ่ม ปีเตอร์ถอนหายใจทุกครั้งที่น้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กหนุ่มคนนั้นทะลุผ่านแสงและกระจายตัวไปในอากาศ
เสียงพูดของเด็กหนุ่มดังแผ่วๆ อยู่ในห้องประชุม เสียงพูดของเด็กหนุ่มที่กระจายอยู่ในอากาศ และทำให้เกิดภาพที่งดงามของการกลับมาเจอกันอีกครั้งกระซิบอยู่ข้างหูของเขา
[“เพื่อเจ้าแล้ว ข้าจักมีชีวิตอยู่ ข้าจักมอบทุกสิ่งอย่างที่แสนล้ำค่าให้แก่เจ้า สิ่งใดมอบให้แล้ว ข้าจักลืมเสีย แลจักจำเพียงความรักที่ยังมิได้มอบให้เจ้าได้เท่านั้น ที่รักของข้า ข้ามองเห็นเจ้าเหมือนเห็นจันทร์ทรงกลดบนฝากฟ้าไกลที่มีหิมะตกลงมาผะแผ่ว”]
ไม่มีใครละสายตาไปจากภาพด้านข้างของเด็กหนุ่มที่หลุบตาลงอ่านกลอนเลย เขาขโมยสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม ปีเตอร์ก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เช่นกัน
[“เพื่อเจ้าแล้วทุกสิ่งอย่างล้วนมีนามให้กล่าวขาน แลสิ่งนั้นคือความยินดี ที่รักเอ๋ย”]
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น
เด็กนักเรียนหญิงที่กำลังตั้งใจฟังการอ่านกลอนของเขาส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพไปให้เขาอย่างพร้อมเพียงกัน
เขาส่งหนังสือคืนคุณครูอีกครั้ง เด็กนักเรียนหญิงที่นั่งใกล้ๆ เอี้ยวตัวมาส่งสายตาให้เด็กหนุ่มอย่างเปิดเผย เด็กหนุ่มเท้าคางและฟังคำอธิบายของครูเหมือนกับว่าเขาจดจ่ออยู่กับบทเรียน
เขาจะต้องจดทุกอย่างลงสมุดโน้ต แต่ปีเตอร์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่อ่านหน้ากระดาษเดิมของหนังสือซ้ำๆ เท่านั้น แต่ไม่มีคำศัพท์คำไหนเข้าหัวของเขาเลยแม้แต่คำเดียว
ตอนที่ตั้งสติได้ปีเตอร์ก็ได้รู้ว่าตนเองเอาแต่เขียนคำเดิมๆ ซ้ำๆ ลงในสมุดโน้ต
ที่รักของข้า ที่รักของข้า…ที่รักของข้า
นั่นคือวรรคสุดท้ายของกลอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นอ่าน
ปีเตอร์ฉีกกระดาษสมุดโน้ตนั้นลงถังขยะทันทีที่เลิกเรียน เขามีความลับกับเจนนี่เป็นครั้งแรก และนั่นก็คือเรื่องในตอนบ่ายวันอาทิตย์
***
“เฮ้อ…”
อินซอบถอนหายใจ เขาเปิดน้ำที่อ่างล้างหน้าและเริ่มล้างมืออีกครั้ง เขาปิดก๊อกน้ำลงในตอนที่ความรู้สึกตรงปลายนิ้วค่อยๆ หายไป สิ่งที่เหลืออยู่ตรงปลายนิ้วมีเพียงความเย็นที่เหมือนจะเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งเท่านั้น
อินซอบมองตัวเองในกระจกพร้อมกับทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ
“นายทำได้ มาคิดแค่เรื่องเดียวกันเถอะ”
เขาใช้ฝ่ามือตบแก้มจนเกิดเสียงและเดินออกจากห้องน้ำ
‘อย่าทำตัวอ่อนแอ นายทำได้ นายทำได้ ทิ้งความคิดไร้สาระพวกนั้นไปซะ’ อินซอบพึมพำไม่ยอมหยุดพร้อมกับก้าวเท้าเร็วๆ เขามองไม่เห็นคนที่เดินมาจากอีกฝั่งในตอนที่เลี้ยวตรงหัวมุม และบวกกับความเร็วที่เขาเดิน ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมแน่นอน
“โอ๊ย!”
เสียงของผู้หญิงดังขึ้นหลังจากที่เขารู้สึกถึงแรงปะทะ ตอนที่อินซอบเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ อีกฝ่ายที่ถูกเขาชนก็ล้มกระแทกพื้นและหงายหลังไปแล้ว
“ขอโทษครับ”
ชเวอินซอบรีบเอื้อมมือไปช่วยดึงอีกฝ่ายที่ล้มให้ลุกขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เพราะผมเดินไม่ระวังเองครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
เขาขอโทษพร้อมกับสำรวจดูว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ล้มลงไปเท่านั้น…โอ๊ะ”
หญิงสาวอุทานสั้นๆ พร้อมกับชี้หน้าอินซอบ
“คุณชเวอินซอบเพื่อนสนิทของคุณอีอูยอนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว และตอนนี้กำลังทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับคุณอีอูยอน!”
มีเจตนาร้ายแฝงอยู่ในคำพูดนั้น ชเวอินซอบจำนักข่าวคิมแฮชินได้และโค้งคำนับอีกฝ่าย
“คุณอูยอนนี่ดีนะคะ ได้เพื่อนสนิทมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ด้วย”
“…”
อินซอบไม่ได้แก้ตัวอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขารู้สึกได้ว่าเธอกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมดอยู่
“เห็นว่าหลังจากวันนั้นคุณอูยอนบอกว่าจะไม่รับการสัมภาษณ์เพื่อทำข่าวจากพวกเราแล้วนี่คะ”
“ไม่ใช่นะครับ เราไม่ได้ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์บริษัทไหนเป็นพิเศษครับ ถ้าเวลาตรงกันผมจะนัดเวลาให้นะครับ”
“ได้ค่ะ แต่ดูเหมือนจะบังเอิญเวลาไม่ตรงกับทางเราอยู่เรื่อยเลยนะคะ คุณอูยอนน่ะ”
หลังจากที่สัมภาษณ์ไปวันนั้น อีอูยอนก็สั่งห้ามไม่ให้รับงานสัมภาษณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักข่าวคิมแฮชิน บางทีวันที่เธอจะได้สัมภาษณ์อีอูยอนอย่างเป็นทางการอาจจะมาไม่ถึงก็เป็นได้ ทั้งนักข่าวคิมแฮชินและชเวอินซอบต่างก็รู้ความจริงนั้นดี
“ถ้าเวลาตรงกันผมจะนัดวันให้ครับ”
เพราะฉะนั้นอินซอบจึงทำได้เพียงพูดคำที่เหมือนกับเมื่อสักครู่นี้อีกครั้ง นักข่าวคิมแฮชินทอดสายตามองเขานิ่งๆ พร้อมหยิบบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงมาคาบไว้ หญิงสาวที่ค้นกระเป๋ากางเกงกับกระเป๋าถือเพื่อหาไฟแช็กพลางถามอินซอบว่าเขามีไฟแช็กไหม
อินซอบหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าและจุดบุหรี่ให้เธอ นักข่าวคิมแฮชินพ่นควันออกมาพร้อมกับชวนให้ชเวอินซอบสูบบุหรี่ด้วย
“ผมไม่สูบบุหรี่ครับ”
“ทำไมคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึงพกไฟแช็กไปไหนมาไหนด้วยล่ะคะ เอาไว้จุดให้ใครเหรอ”
“…”
หลังจากวันที่เขารู้ความจริงว่าอีอูยอนสูบบุหรี่บ้างเป็นบางครั้ง อินซอบก็พกไฟแช็กไว้ในกระเป๋าของตนเสมอ
“ผมพกไว้เพราะไม่รู้ว่ามันจะจำเป็นตอนไหนครับ”
อินซอบเก็บไฟแช็กกลับใส่กระเป๋าและตอบอีกฝ่ายอย่างที่ควรตอบ
“ว่าแต่คุณมาที่นี่ในเวลานี้ทำไมครับ”
“ถามตั้งแต่เนิ่นๆ เลยสินะคะเนี่ย ทำไมคนอย่างฉันถึงมาในที่แบบนี้ในเวลานี้น่ะเหรอคะ มันก็แน่อยู่แล้ว ฉันก็เดินเตร็ดเตร่หาข่าวไปเรื่อยน่ะสิคะ”
นักข่าวคิมแฮชินยกกล้องตัวใหญ่ที่สะพายอยู่ตรงไหล่ข้างหนึ่งให้ดูพลางยิ้ม เนื่องจากช่วงนี้ยิ่งข่าวในหนังสือพิมพ์บันเทิงเขียนได้เร้าใจเท่าไรก็ยิ่งขายได้มากขึ้นเท่านั้น อินซอบจึงเคยได้ยินเรื่องที่ว่าพวกนักข่าวตามดาราพร้อมกับแอบเก็บข้อมูลเพื่อทำข่าวเหมือนกับพวกปาปารัซซี่ที่เมืองนอก
“ลำบากแย่เลยนะครับ”
“นั่นไม่ได้พูดแซะฉันใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมพูดอย่างจริงใจนะครับ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ พอมองหน้าแล้วคุณก็จริงใจจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำที่จะได้ยินจากผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนที่ฉันกำลังเพ่งเล็งอยู่เลย”
แม้คำพูดที่บอกว่ากำลังเพ่งเล็งอยู่จะดูน่าขนลุก แต่ถ้ามองแบบกว้างๆ ตนกับนักข่าวคิมแฮชินคือเพื่อนร่วมอุดมการณ์กัน อินซอบพึมพำว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ พร้อมทั้งหลุบตาลง
“เริ่มทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนมานานหรือยังคะ”
“ยังไม่นานเท่าไรครับ”
“งั้นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นรับนี่ไปสิคะ”
เธอคาบบุหรี่ไว้และดึงนามบัตรออกมายื่นให้เขา ในนามบัตรนั้นมีเบอร์ติดต่อกับอีเมลส่วนตัวของเธอเขียนไว้อยู่
ชเวอินซอบลังเลไปพักหนึ่ง ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวการได้รับนามบัตรจากนักข่าวไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่กลับคิมแฮชินนั้นต่างออกไปเล็กน้อย เนื่องจากเธอเป็นนักข่าวที่อีอูยอนสั่งห้ามไม่ให้รับงานสัมภาษณ์ด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขาจะระมัดระวังการกระทำ
“ขอบคุณครับ”
แต่ถ้าไม่รับตรงนี้มันจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าได้ อินซอบรับนามบัตรของคิมแฮชินด้วยสองมือพร้อมกับก้มหัว
“แล้วคุณผู้จัดการส่วนตัวไม่ให้นามบัตรฉันเหรอคะ”
“ผมยังไม่มีครับ”
และผมก็ไม่คิดจะทำด้วย
“คิดได้ดีเลยค่ะ ยังไงคุณก็น่าจะโดนให้ออกก่อนที่หมึกจะแห้งอยู่แล้ว”
“…”
“ตอนเลิกทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้ว ช่วยโทรศัพท์หาฉันสักครั้งนะคะ ฉันจะสัมภาษณ์คุณโดยใช้นามสมมติสักหน่อย”
“ถ้าผมลาออกแล้วไว้ตอนนั้นผมจะคิดดูนะครับ”
อินซอบให้คำตอบที่คลุมเครือที่ไม่ใช่ทั้งการตอบรับและการปฏิเสธก่อนจะเอ่ยลาหญิงสาว
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าคิดจะลาออกแล้วต้องติดต่อมานะคะ”
ชเวอินซอบมั่นใจว่าเขาจะโดนไล่ออกเร็วๆ นี้เพราะคำพูดของนักข่าวคิมแฮชิน อินซอบก้มหัวลาอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร
อีอูยอนที่กำลังถือบทอยู่หน้ากองถ่ายถอดเสื้อส่งมาให้เขาเหมือนกำลังรอชเวอินซอบอยู่
“เดี๋ยวผมจะต้องไปถ่ายทำต่อแล้วนะครับ”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
ชเวอินซอบรับเสื้อของอีอูยอนมาพับครึ่งและพาดไว้ตรงแขน พอเขาทำแบบนั้นอีอูยอนก็แย่งเสื้อกลับไปถืออีกครั้ง
“อย่าทำแบบนั้นสิครับ”
เขากางเสื้อของตนออกและเอามันคลุมไหล่ให้อินซอบ เสื้อของอีอูยอนคลุมเหมือนกับโอบกอดร่างกายของชเวอินซอบไว้เพราะขนาดรูปร่างที่ต่างกันของคนทั้งคู่ และมันก็ทำให้เขาดูเหมือนเด็กที่เอาเสื้อผ้าของผู้ใหญ่มาใส่ พวกสตาฟที่เดินผ่านเห็นเขาและหัวเราะคิกๆ
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ทันทีที่ชเวอินซอบพยายามจะถอดเสื้อออกอย่างลุกลี้ลุกลน อีอูยอนก็ใช้มือกดไหล่ของเขาไว้ คราวนี้อีกฝ่ายใช้แรงจับที่มหาศาลจนอินซอบต้องร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือกุมไหล่ตัวเองไว้
“ขอโทษครับ เจ็บเหรอ”
“ไม่ครับ”
แม้เขาจะเจ็บจนน้ำตาจะไหล แต่อินซอบกลับแกล้งทำหน้านิ่งและเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับอีอูยอน อีอูยอนยิ้มพรายพร้อมกับตบบ่าเขา
“งั้นก็รออยู่ตรงนี้นะครับ ห้ามถอดเสื้อนะ ถ้าคุณถอดเสื้อคลุม ผมจะออกมาใส่ให้คุณใหม่”
อีอูยอนพูดอย่างนั้นและเดินกลับเข้าไปในกองถ่ายอีกครั้ง อินซอบที่ถูกเสื้อคลุมของอีกฝ่ายห่อเอาไว้ยืนนิ่ง ไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายเขาก็ต้องยืนรอให้การถ่ายทำจบลง
เป็นไปตามที่อีอูยอนพูด
วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากจริงๆ
***