ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-4

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-4

ขณะที่อินซอบกำลังคิดนู่นคิดนี่อยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนก็ดังขึ้น อีอูยอนขออนุญาตเขาอย่างสุภาพว่า ‘สักครู่นะครับ’ และเริ่มคุยโทรศัพท์

เขาคุยด้วยภาษาอังกฤษที่รวดเร็วและคล่องแคล่ว เขาคุยโทรศัพท์อย่างกล้าหาญ เพราะนึกว่าอินซอบที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจ

“ส่งภาพคนร้ายไปแล้วไง นายไปค้นให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยโทรมาใหม่ หวังว่านายจะโทรมาแจ้งข่าวดีนะ”

แม้เขาจะไม่ได้ยินว่าปลายสายพูดอะไร แต่เขาแน่ใจว่าอีอูยอนกำลังตามหาใครบางคนอยู่ เขาพูดต่ออีกไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสายไป อินซอบเริ่มเดาในหัวว่าคนที่อีอูยอนพยายามตามหาคือใคร

อีอูยอนที่คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหลือบมองด้านข้างของผู้จัดการส่วนตัว แม้จะทำหน้าเหมือนว่ากำลังตั้งใจคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้แค่อินซอบไม่ถามคำถามที่ผ่านไปแล้วกับอีกฝ่ายก็นับว่าเก่งแล้ว

“พรุ่งนี้ผมจะต้องลงมาก่อนกี่โมงเหรอครับ”

ช่วงนี้อีอูยอนไม่ได้เช็กตารางงาน ก่อนหน้านี้เขามักจะเช็กตารางงานอยู่เสมอเพื่อแต่งตารางงานขึ้นมาหลอกผู้จัดการส่วนตัว แต่หลังจากที่รู้ความจริงว่าเขาทำแบบนั้นกับชเวอินซอบไม่ได้ เขาก็วางมือไปตั้งแต่แรก เพราะอินซอบไปที่บริษัทและรับตารางงานมาจากผู้รับผิดชอบด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถลงมือในระหว่างขั้นตอนนั้นได้ ถ้าอยากจะทำให้ชเวอินซอบลาออก เขาจำเป็นจะต้องใช้วิธีที่ต่างไปจากผู้จัดการส่วนตัวคนก่อนๆ

“ตีห้าครึ่งครับ”

“แล้วคุณอินซอบจะได้นอนตอนไหนครับ คุณมีเวลานอนหรือเปล่า”

พรุ่งนี้พวกเขาจะต้องออกเดินทางเร็วกว่าทุกวันเพราะมีการถ่ายทำตั้งแต่เช้า ชเวอินซอบเช็กตารางงาน และเวลาที่เขาสามารถนอนได้หลังจากเสร็จงานแล้วว่ามีไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะมีสิ่งที่เขาจะต้องเตรียมอยู่เยอะทีเดียว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“แต่ดูเหมือนคุณจะเป็นอะไรเลยนะครับ ถ้าขับรถกลับบ้านใช้เวลาเท่าไรเหรอครับ”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ”

“ไม่ทราบเหรอครับ หมายความว่ายังไงครับ”

“ผมจอดรถไว้ที่บริษัทแล้วเดินกลับบ้านครับ”

“ว่าไงนะครับ”

แม้บริษัทจะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านของชเวอินซอบกับอีอูยอน แต่มันก็ไม่ใช่ระยะทางที่น่าจะเดินไปกลับได้ทุกวัน

“ผมไม่มีที่ที่เหมาะจะจอดรถน่ะครับ รถมันแพง แล้วก็ใหญ่…”

รถตู้ที่ชเวอินซอบกำลังขับอยู่ตอนนี้ปัจจุบันราคาเกินหนึ่งล้านแล้ว ถ้าเขาจอดรถไว้ที่ไหนก็ได้แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ในฐานะของอินซอบเขาไม่สามารถจัดการอะไรได้

“คุณเดินไปที่บริษัททุกเช้าเหรอครับ”

“ครับ ได้ออกกำลังมันก็ดีนะครับ ถึงแล้วครับ”

อินซอบจอดรถพร้อมกับเอ่ยพูด แต่อีอูยอนไม่คิดที่จะลงจากรถ

“นอนค้างที่บ้านผมไหมครับ จอดรถไว้ตรงนี้ก็ได้ เพราะจะต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด”

นี่เป็นคำพูดที่พูดไปตามมารยาท เขาไม่มีรสนิยมในการพาคนที่เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงเข้าบ้านตัวเอง

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับบ้านดีกว่า”

แต่ผู้จัดการส่วนตัวโง่งมคนนี้ไม่ควรจะหน้าแดงไปจนถึงต้นคอและโบกมือปฏิเสธอย่างรีบร้อนหรือเปล่า แถมเขายังเกลียดการที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนสาวบริสุทธิ์ที่ถูกโรคจิตชักชวนให้ร่วมหลับนอนอีกด้วย

นั่นทำให้อีอูยอนอารมณ์เสีย

“ทำไมล่ะครับ ไปๆ มาๆ น่าจะเหนื่อยนะครับ”

“ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมรู้สึกสบายใจที่บ้านครับ”

นั่นหมายความว่าเขาไม่สบายใจกับบ้านของอีอูยอน ความดื้อรั้นของอีอูยอนเพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมของผู้จัดการส่วนตัวที่ขีดเส้นอย่างชอบกลให้กับตนทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างน่าประหลาด

“ค้างที่บ้านของผมเถอะครับ”

อีอูยอนทำตายิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือไปให้ผู้จัดการส่วนตัว แต่ผู้จัดการส่วนตัวกลับไม่ตอบตกลง

“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องทำที่บ้าน แล้วก็จะต้องรดน้ำให้เคทดะ…”

อินซอบที่กำลังพูดอยู่รีบหยุดพูด

“เคทเหรอ”

“…กลับดีๆ นะครับ”

อินซอบเอื้อมมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับรถที่อีอูยอนนั่งอยู่ แต่อีอูยอนกลับปิดประตูเสียงดัง

“เคทคือใครเหรอครับ”

ชเวอินซอบรู้สึกอึดอัดใจ

เขาจะพูดออกไปทั้งๆ ที่มีสติได้อย่างไรว่าเขาคิดถึงผู้คนมากเสียจนซื้อต้นไม้กลับบ้าน แถมยังตั้งชื่อให้ และพูดคุยด้วยอีก

“คะ แค่คนรู้จักน่ะครับ”

อินซอบห่อไหล่และมองไปที่อื่นตอนที่พูดคำว่าคนออกมา อีอูยอนรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกตนอยู่ แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ไม่ได้โฟกัสกับประเด็นของการโกหกอยู่แล้ว

“อย่างนั้นเหรอครับ เจอกันดึกจังเลยนะครับ เขารอคุณอยู่ที่บ้านตลอดเลยเหรอครับ คุณเคทน่ะ”

“…ครับ”

“อื้ม”

นี่มันเกินคาด คราวที่แล้วก็เจนนี่ คราวนี้ก็เคท

อีอูยอนมองผู้จัดการส่วนตัวที่ทำตัวไม่ถูกและกระสับกระส่ายเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายที่ดูเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยจะกินอยู่กับหญิงสาวชาวตะวันตก

“คุณบอกว่าไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าเพิ่งมี”

“ไม่มีหรอกครับ”

กินอยู่กับผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟนอย่างนั้นเหรอ นี่มันน่าตลกขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ

อีอูยอนจ้องหน้าชเวอินซอบที่กำลังตัวสั่นด้วยสีหน้าที่บอกว่าผมไม่รู้อะไรเลยนิ่งๆ

“ได้ครับ งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”

อีอูยอนยิ้มพลางเปิดประตูรถ เขาปิดประตูเสียงดังและจากไปก่อนที่อินซอบจะทันได้ตอบ

ชเวอินซอบเกาหัวเพราะอีอูยอนดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าอีกฝ่ายโมโหที่ตรงไหน

“อะไรเนี่ย…เราพูดอะไรผิดอีกแล้วเหรอ”

แน่นอนว่าเขาจะต้องพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยการตอบคำถามสั้นๆ แต่พอพูดยาวขึ้น ความผิดก็เพิ่มขึ้นด้วย เขาถอนหายใจและค่อยๆ ถอยรถ ถ้าขับรถจากที่ที่อีอูยอนอาศัยอยู่ไปบริษัทจะใช้เวลาประมาณสิบนาที

เนื่องจากเป็นตอนกลางคืนรถจึงไม่ติด เขาเลยมาถึงที่บริษัทเร็วกว่าปกติ เขาจอดรถไว้ในที่ที่เขาจอดเป็นประจำ ขณะที่เขากำลังดับเครื่องเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น มันเป็นข้อความ

“ใครกันนะ”

อินซอบไม่เชื่อสายตาตัวเองในตอนที่อ่านข้อความ อีอูยอนเป็นคนส่งข้อความมา

[ช่วยมาหาผมตอนนี้เลยได้ไหมครับ พอดีผมมีเรื่องสำคัญจะรบกวน]

การได้ยินคำว่ารบกวนจากปากของอีอูยอนเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่พอเห็นว่าเขาใส่คำว่าสำคัญไว้ข้างหน้าด้วยแล้ว ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง

ชเวอินซอบลังเล ถ้าไปหาอีอูยอนตอนนี้เขาจะนอนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และสามารถทำได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปเท่านั้น วิธีเดียวที่เหลือคือแกล้งทำเป็นไม่เห็นข้อความที่ถูกส่งมา แต่อีอูยอนอาจจะมีเหตุผลในการเรียกตนไปหาก็ได้

อินซอบสตาร์ทรถอีกครั้ง เขาจอดรถและขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นที่อีอูยอนอาศัยอยู่

ทันทีที่เขากดกริ่ง อีอูยอนก็เปิดประตูโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร

“ขอโทษด้วยนะครับ คุณน่าจะเหนื่อย”

เขามองไม่เห็นสีหน้าเร่งด่วนถึงขนาดที่ต้องส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือในเวลาแบบนี้บนใบหน้าที่กำลังอมยิ้มอยู่สักนิด

“ไม่หรอกครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“เข้ามาก่อนสิครับ”

อีอูยอนเข้าไปด้านในพร้อมกับหลบไปด้านข้าง ชเวอินซอบลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าไปยืนตรงบริเวณด้านในของประตูหน้าบ้าน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว ถึงแม้ตัวเขาเองน่าจะชิน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องเข้ามา อินซอบถอดรองเท้าออกพลางคิดว่าโชคดีจังที่วันนี้เขาใส่ถุงเท้าที่สะอาดมา

“จะดื่มอะไรไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“คุณเป็นแขกนะครับ ถ้าผมไม่เอาอะไรมาเสิร์ฟเลย ผมจะรู้สึกผิดนะ รับน้ำผลไม้ดีไหมครับ”

“ถ้าอย่างนั้นขอน้ำสักแก้วก็ได้ครับ”

อีอูยอนหยิบน้ำออกมาจากตู้เย็นและเดินกลับมา อินซอบใช้มือทั้งสองข้างรับแก้วมาถือไว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ อินซอบถามอีอูยอนถึงเหตุผลที่เรียกตนมาหลังจากดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง

“เรื่องที่จะรบกวนคืออะไรเหรอครับ”

“ช่วยนวดไหล่ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีไหล่ผมตึง แต่ผมนวดไม่ถึงน่ะ”

อินซอบทำหน้าตางงงวยอยู่สักพักเพราะคำขอร้องที่น่าประหลาดใจของอีอูยอน เขาถอนหายใจพร้อมกับเดินเข้าไปด้านหลังของอีกฝ่าย

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอครับ”

สุดท้ายอีอูยอนก็กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้และหัวเราะจนตัวงอให้กับสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายที่กำหมัดไว้พลางเอ่ยถาม

“ฮ่าๆๆๆ”

“…”

“ฮ่าๆๆๆ ขอโทษครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณคิดว่าผมเรียกผู้จัดการส่วนตัวให้มานวดไหล่จริงๆ”

“…แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“ผมดูเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ”

เป็นน้ำเสียงที่แม้จะเป็นคำด่าที่ถูกพ่นออกมาก็ยังให้ความรู้สึกอ่อนโยน ชเวอินซอบไม่สามารถให้คำตอบได้ พออีกฝ่ายยืนพูดอ้อมแอ้มอีอูยอนก็เดินเข้าไปตรงด้านข้างของอีกฝ่ายและเอื้อมมือออกมา เขารู้สึกว่าอินซอบสะดุ้งทุกครั้งที่เขาโดนตัว

อีอูยอนยิ้มพร้อมกับหยิบบทที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา

“ช่วยแสดงเป็นนางเอกให้ผมหน่อยสิครับ”

“ครับ?”

“ผมกำลังซ้อมฉากที่จะต้องเล่นในวันพรุ่งนี้อยู่น่ะครับ แต่ความรู้สึกมันไม่มาเลย”

“…เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยขอให้ผมช่วยอ่านบทของนางเอกแทนเหรอครับ”

หน้าของชเวอินซอบนิ่งค้าง เป็นสีหน้าที่เหมือนได้ยินคำสาปแช่งที่ไม่ควรจะได้ยิน

“ครับ แบบนั้นแหละครับ”

“คิดว่าคนแบบผมจะช่วยได้เหรอครับ”

“ผมเรียกมาเพราะคิดว่าคุณช่วยได้น่ะสิครับ”

อีอูยอนตอบอย่างหน้าด้านพร้อมกับนั่งลงที่โซฟา ชเวอินซอบยืนถือบทและมองอีอูยอนอย่างประดักประเดิด

“พูดจริงเหรอครับ”

“ครับ ผมพูดจริงครับ”

แม้เขาจะยังไม่สามารถเข้าเรียนที่สถาบันสอนแยกคำพูดจริงกับคำพูดเล่นได้ แต่ตอนนี้เขารู้ดีว่าคำพูดนั้นคือคำพูดจริง อินซอบทำได้เพียงกางบทตามคำสั่ง

“นั่งตรงนี้นะครับ”

“ผมยืนอ่านก็ได้ครับ”

“นั่งเถอะครับ มันน่าจะเหนื่อยนะ”

อีอูยอนจับมือของอินซอบและลากให้มานั่งข้างๆ ตนเอง อินซอบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพลิกบทไปมาในขณะที่เอ่ยถาม

“ให้เริ่มตั้งแต่ตรงไหนดีครับ”

อีอูยอนต้องกลั้นหัวเราะให้กับท่าทางของอีกฝ่ายที่กำลังอ่านบทด้วยสีหน้าจริงจัง ถ้าโดนเรียกให้มาช่วยอ่านบทในเวลานี้ เป็นใครก็น่าจะรู้สึกรำคาญแท้ๆ แต่อินซอบไม่ได้มีท่าทางแบบนั้นเลย

ถึงจะมีแผนลับบางอย่างในใจ แต่โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ที่ชื่อว่าอินซอบเป็นคนนิสัยดี ช่วงนี้หลายๆ สิ่งอยู่ในสายตาของอีอูยอนที่คอยจับตามองว่าชเวอินซอบมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของตนด้วยเหตุผลอะไร

เขาคิดว่าถ้าอีกฝ่ายล้มเลิกแผนการลับที่เขาไม่รู้เหตุผลไปได้ก็คงดี หากอีกฝ่ายมอบใจที่ซื่อสัตย์อย่างบริสุทธิ์ให้กับเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็น่าจะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายได้นานอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด

แต่ท่าทีของชเวอินซอบช่างน่าสงสัย

“ตรงนี้ครับ หน้าที่แปดตั้งแต่บรรทัดที่ห้า ลองอ่านได้ไหมครับ”

“…”

ใบหน้าของอินซอบที่กำลังถือบทอยู่ซีดเผือด อีอูยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ และเร่งให้อีกฝ่ายอ่านเร็วๆ ตาของชเวอินซอบแดงขึ้นมา และเขาทำหน้าเหมือนกับน้ำตาจะไหลในไม่ช้านี้

“ตั้งแต่ตรงนี้นะครับ”

แม้อีอูยอนจะช่วยใช้นิ้วชี้ให้ดูว่าเขาจะต้องอ่านบทไหน แต่อินซอบกลับไม่สามารถปริปากพูดได้ง่ายๆ อินซอบที่กำลังลังเลอยู่นั้นมองอีอูยอนด้วยสายตาที่เหมือนจะสงสัย

“ทำไมเหรอครับ”

“…คือว่า…นี่มัน…”

“ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อสักครู่นี้ล่ะครับ ผมน่ะแสดงความรู้สึกรักแบบนี้ไม่เก่ง เพราะผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเป็นนักแสดง ผมเลยไม่ได้คบใครจริงๆ จังๆ มานานแล้วน่ะครับ เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ”

คำพูดของอีอูยอนไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะเขาคบกับผู้หญิงอย่างฉาบฉวยและไม่ได้คบใครอย่างจริงจัง

“เพราะฉะนั้นคุณช่วยผมหน่อยนะครับ”

นี่เป็นคำขอร้องที่มีมารยาทแต่ทว่าจริงจัง ชเวอินซอบต้องอ่านบทที่อีอูยอนกำลังใช้นิ้วชี้อีกครั้งโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แค่อ่านด้วยตาก็ดูเหมือนว่าอุณหภูมิในร่างกายเขาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งถึงสององศาแล้ว บทพูดที่เริ่มต้นด้วยคำว่า ‘คุณชาย’ นั้นมีคำพูดที่น่าละอายเรียงต่อกันเป็นทอดๆ บทพูดที่ประกอบด้วยคำพูดแบบสมัยก่อนที่แสนงดงามนั้นหอมหวานเหมือนกลิ่นดอกไม้ แม้อินซอบจะลองอ่านในใจอยู่สองสามครั้ง แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะพูดบทนั้นออกมา

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท