ขณะที่อินซอบกำลังคิดนู่นคิดนี่อยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนก็ดังขึ้น อีอูยอนขออนุญาตเขาอย่างสุภาพว่า ‘สักครู่นะครับ’ และเริ่มคุยโทรศัพท์
เขาคุยด้วยภาษาอังกฤษที่รวดเร็วและคล่องแคล่ว เขาคุยโทรศัพท์อย่างกล้าหาญ เพราะนึกว่าอินซอบที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจ
“ส่งภาพคนร้ายไปแล้วไง นายไปค้นให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยโทรมาใหม่ หวังว่านายจะโทรมาแจ้งข่าวดีนะ”
แม้เขาจะไม่ได้ยินว่าปลายสายพูดอะไร แต่เขาแน่ใจว่าอีอูยอนกำลังตามหาใครบางคนอยู่ เขาพูดต่ออีกไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสายไป อินซอบเริ่มเดาในหัวว่าคนที่อีอูยอนพยายามตามหาคือใคร
อีอูยอนที่คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหลือบมองด้านข้างของผู้จัดการส่วนตัว แม้จะทำหน้าเหมือนว่ากำลังตั้งใจคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้แค่อินซอบไม่ถามคำถามที่ผ่านไปแล้วกับอีกฝ่ายก็นับว่าเก่งแล้ว
“พรุ่งนี้ผมจะต้องลงมาก่อนกี่โมงเหรอครับ”
ช่วงนี้อีอูยอนไม่ได้เช็กตารางงาน ก่อนหน้านี้เขามักจะเช็กตารางงานอยู่เสมอเพื่อแต่งตารางงานขึ้นมาหลอกผู้จัดการส่วนตัว แต่หลังจากที่รู้ความจริงว่าเขาทำแบบนั้นกับชเวอินซอบไม่ได้ เขาก็วางมือไปตั้งแต่แรก เพราะอินซอบไปที่บริษัทและรับตารางงานมาจากผู้รับผิดชอบด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถลงมือในระหว่างขั้นตอนนั้นได้ ถ้าอยากจะทำให้ชเวอินซอบลาออก เขาจำเป็นจะต้องใช้วิธีที่ต่างไปจากผู้จัดการส่วนตัวคนก่อนๆ
“ตีห้าครึ่งครับ”
“แล้วคุณอินซอบจะได้นอนตอนไหนครับ คุณมีเวลานอนหรือเปล่า”
พรุ่งนี้พวกเขาจะต้องออกเดินทางเร็วกว่าทุกวันเพราะมีการถ่ายทำตั้งแต่เช้า ชเวอินซอบเช็กตารางงาน และเวลาที่เขาสามารถนอนได้หลังจากเสร็จงานแล้วว่ามีไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะมีสิ่งที่เขาจะต้องเตรียมอยู่เยอะทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แต่ดูเหมือนคุณจะเป็นอะไรเลยนะครับ ถ้าขับรถกลับบ้านใช้เวลาเท่าไรเหรอครับ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“ไม่ทราบเหรอครับ หมายความว่ายังไงครับ”
“ผมจอดรถไว้ที่บริษัทแล้วเดินกลับบ้านครับ”
“ว่าไงนะครับ”
แม้บริษัทจะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านของชเวอินซอบกับอีอูยอน แต่มันก็ไม่ใช่ระยะทางที่น่าจะเดินไปกลับได้ทุกวัน
“ผมไม่มีที่ที่เหมาะจะจอดรถน่ะครับ รถมันแพง แล้วก็ใหญ่…”
รถตู้ที่ชเวอินซอบกำลังขับอยู่ตอนนี้ปัจจุบันราคาเกินหนึ่งล้านแล้ว ถ้าเขาจอดรถไว้ที่ไหนก็ได้แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ในฐานะของอินซอบเขาไม่สามารถจัดการอะไรได้
“คุณเดินไปที่บริษัททุกเช้าเหรอครับ”
“ครับ ได้ออกกำลังมันก็ดีนะครับ ถึงแล้วครับ”
อินซอบจอดรถพร้อมกับเอ่ยพูด แต่อีอูยอนไม่คิดที่จะลงจากรถ
“นอนค้างที่บ้านผมไหมครับ จอดรถไว้ตรงนี้ก็ได้ เพราะจะต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด”
นี่เป็นคำพูดที่พูดไปตามมารยาท เขาไม่มีรสนิยมในการพาคนที่เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงเข้าบ้านตัวเอง
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับบ้านดีกว่า”
แต่ผู้จัดการส่วนตัวโง่งมคนนี้ไม่ควรจะหน้าแดงไปจนถึงต้นคอและโบกมือปฏิเสธอย่างรีบร้อนหรือเปล่า แถมเขายังเกลียดการที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนสาวบริสุทธิ์ที่ถูกโรคจิตชักชวนให้ร่วมหลับนอนอีกด้วย
นั่นทำให้อีอูยอนอารมณ์เสีย
“ทำไมล่ะครับ ไปๆ มาๆ น่าจะเหนื่อยนะครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมรู้สึกสบายใจที่บ้านครับ”
นั่นหมายความว่าเขาไม่สบายใจกับบ้านของอีอูยอน ความดื้อรั้นของอีอูยอนเพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมของผู้จัดการส่วนตัวที่ขีดเส้นอย่างชอบกลให้กับตนทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างน่าประหลาด
“ค้างที่บ้านของผมเถอะครับ”
อีอูยอนทำตายิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือไปให้ผู้จัดการส่วนตัว แต่ผู้จัดการส่วนตัวกลับไม่ตอบตกลง
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องทำที่บ้าน แล้วก็จะต้องรดน้ำให้เคทดะ…”
อินซอบที่กำลังพูดอยู่รีบหยุดพูด
“เคทเหรอ”
“…กลับดีๆ นะครับ”
อินซอบเอื้อมมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับรถที่อีอูยอนนั่งอยู่ แต่อีอูยอนกลับปิดประตูเสียงดัง
“เคทคือใครเหรอครับ”
ชเวอินซอบรู้สึกอึดอัดใจ
เขาจะพูดออกไปทั้งๆ ที่มีสติได้อย่างไรว่าเขาคิดถึงผู้คนมากเสียจนซื้อต้นไม้กลับบ้าน แถมยังตั้งชื่อให้ และพูดคุยด้วยอีก
“คะ แค่คนรู้จักน่ะครับ”
อินซอบห่อไหล่และมองไปที่อื่นตอนที่พูดคำว่าคนออกมา อีอูยอนรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกตนอยู่ แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ไม่ได้โฟกัสกับประเด็นของการโกหกอยู่แล้ว
“อย่างนั้นเหรอครับ เจอกันดึกจังเลยนะครับ เขารอคุณอยู่ที่บ้านตลอดเลยเหรอครับ คุณเคทน่ะ”
“…ครับ”
“อื้ม”
นี่มันเกินคาด คราวที่แล้วก็เจนนี่ คราวนี้ก็เคท
อีอูยอนมองผู้จัดการส่วนตัวที่ทำตัวไม่ถูกและกระสับกระส่ายเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายที่ดูเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยจะกินอยู่กับหญิงสาวชาวตะวันตก
“คุณบอกว่าไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าเพิ่งมี”
“ไม่มีหรอกครับ”
กินอยู่กับผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟนอย่างนั้นเหรอ นี่มันน่าตลกขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ
อีอูยอนจ้องหน้าชเวอินซอบที่กำลังตัวสั่นด้วยสีหน้าที่บอกว่าผมไม่รู้อะไรเลยนิ่งๆ
“ได้ครับ งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”
อีอูยอนยิ้มพลางเปิดประตูรถ เขาปิดประตูเสียงดังและจากไปก่อนที่อินซอบจะทันได้ตอบ
ชเวอินซอบเกาหัวเพราะอีอูยอนดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าอีกฝ่ายโมโหที่ตรงไหน
“อะไรเนี่ย…เราพูดอะไรผิดอีกแล้วเหรอ”
แน่นอนว่าเขาจะต้องพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยการตอบคำถามสั้นๆ แต่พอพูดยาวขึ้น ความผิดก็เพิ่มขึ้นด้วย เขาถอนหายใจและค่อยๆ ถอยรถ ถ้าขับรถจากที่ที่อีอูยอนอาศัยอยู่ไปบริษัทจะใช้เวลาประมาณสิบนาที
เนื่องจากเป็นตอนกลางคืนรถจึงไม่ติด เขาเลยมาถึงที่บริษัทเร็วกว่าปกติ เขาจอดรถไว้ในที่ที่เขาจอดเป็นประจำ ขณะที่เขากำลังดับเครื่องเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น มันเป็นข้อความ
“ใครกันนะ”
อินซอบไม่เชื่อสายตาตัวเองในตอนที่อ่านข้อความ อีอูยอนเป็นคนส่งข้อความมา
[ช่วยมาหาผมตอนนี้เลยได้ไหมครับ พอดีผมมีเรื่องสำคัญจะรบกวน]
การได้ยินคำว่ารบกวนจากปากของอีอูยอนเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่พอเห็นว่าเขาใส่คำว่าสำคัญไว้ข้างหน้าด้วยแล้ว ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง
ชเวอินซอบลังเล ถ้าไปหาอีอูยอนตอนนี้เขาจะนอนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และสามารถทำได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปเท่านั้น วิธีเดียวที่เหลือคือแกล้งทำเป็นไม่เห็นข้อความที่ถูกส่งมา แต่อีอูยอนอาจจะมีเหตุผลในการเรียกตนไปหาก็ได้
อินซอบสตาร์ทรถอีกครั้ง เขาจอดรถและขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นที่อีอูยอนอาศัยอยู่
ทันทีที่เขากดกริ่ง อีอูยอนก็เปิดประตูโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
“ขอโทษด้วยนะครับ คุณน่าจะเหนื่อย”
เขามองไม่เห็นสีหน้าเร่งด่วนถึงขนาดที่ต้องส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือในเวลาแบบนี้บนใบหน้าที่กำลังอมยิ้มอยู่สักนิด
“ไม่หรอกครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“เข้ามาก่อนสิครับ”
อีอูยอนเข้าไปด้านในพร้อมกับหลบไปด้านข้าง ชเวอินซอบลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าไปยืนตรงบริเวณด้านในของประตูหน้าบ้าน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว ถึงแม้ตัวเขาเองน่าจะชิน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องเข้ามา อินซอบถอดรองเท้าออกพลางคิดว่าโชคดีจังที่วันนี้เขาใส่ถุงเท้าที่สะอาดมา
“จะดื่มอะไรไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“คุณเป็นแขกนะครับ ถ้าผมไม่เอาอะไรมาเสิร์ฟเลย ผมจะรู้สึกผิดนะ รับน้ำผลไม้ดีไหมครับ”
“ถ้าอย่างนั้นขอน้ำสักแก้วก็ได้ครับ”
อีอูยอนหยิบน้ำออกมาจากตู้เย็นและเดินกลับมา อินซอบใช้มือทั้งสองข้างรับแก้วมาถือไว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ อินซอบถามอีอูยอนถึงเหตุผลที่เรียกตนมาหลังจากดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง
“เรื่องที่จะรบกวนคืออะไรเหรอครับ”
“ช่วยนวดไหล่ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีไหล่ผมตึง แต่ผมนวดไม่ถึงน่ะ”
อินซอบทำหน้าตางงงวยอยู่สักพักเพราะคำขอร้องที่น่าประหลาดใจของอีอูยอน เขาถอนหายใจพร้อมกับเดินเข้าไปด้านหลังของอีกฝ่าย
“รู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอครับ”
สุดท้ายอีอูยอนก็กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้และหัวเราะจนตัวงอให้กับสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายที่กำหมัดไว้พลางเอ่ยถาม
“ฮ่าๆๆๆ”
“…”
“ฮ่าๆๆๆ ขอโทษครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณคิดว่าผมเรียกผู้จัดการส่วนตัวให้มานวดไหล่จริงๆ”
“…แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ผมดูเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ”
เป็นน้ำเสียงที่แม้จะเป็นคำด่าที่ถูกพ่นออกมาก็ยังให้ความรู้สึกอ่อนโยน ชเวอินซอบไม่สามารถให้คำตอบได้ พออีกฝ่ายยืนพูดอ้อมแอ้มอีอูยอนก็เดินเข้าไปตรงด้านข้างของอีกฝ่ายและเอื้อมมือออกมา เขารู้สึกว่าอินซอบสะดุ้งทุกครั้งที่เขาโดนตัว
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับหยิบบทที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“ช่วยแสดงเป็นนางเอกให้ผมหน่อยสิครับ”
“ครับ?”
“ผมกำลังซ้อมฉากที่จะต้องเล่นในวันพรุ่งนี้อยู่น่ะครับ แต่ความรู้สึกมันไม่มาเลย”
“…เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยขอให้ผมช่วยอ่านบทของนางเอกแทนเหรอครับ”
หน้าของชเวอินซอบนิ่งค้าง เป็นสีหน้าที่เหมือนได้ยินคำสาปแช่งที่ไม่ควรจะได้ยิน
“ครับ แบบนั้นแหละครับ”
“คิดว่าคนแบบผมจะช่วยได้เหรอครับ”
“ผมเรียกมาเพราะคิดว่าคุณช่วยได้น่ะสิครับ”
อีอูยอนตอบอย่างหน้าด้านพร้อมกับนั่งลงที่โซฟา ชเวอินซอบยืนถือบทและมองอีอูยอนอย่างประดักประเดิด
“พูดจริงเหรอครับ”
“ครับ ผมพูดจริงครับ”
แม้เขาจะยังไม่สามารถเข้าเรียนที่สถาบันสอนแยกคำพูดจริงกับคำพูดเล่นได้ แต่ตอนนี้เขารู้ดีว่าคำพูดนั้นคือคำพูดจริง อินซอบทำได้เพียงกางบทตามคำสั่ง
“นั่งตรงนี้นะครับ”
“ผมยืนอ่านก็ได้ครับ”
“นั่งเถอะครับ มันน่าจะเหนื่อยนะ”
อีอูยอนจับมือของอินซอบและลากให้มานั่งข้างๆ ตนเอง อินซอบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพลิกบทไปมาในขณะที่เอ่ยถาม
“ให้เริ่มตั้งแต่ตรงไหนดีครับ”
อีอูยอนต้องกลั้นหัวเราะให้กับท่าทางของอีกฝ่ายที่กำลังอ่านบทด้วยสีหน้าจริงจัง ถ้าโดนเรียกให้มาช่วยอ่านบทในเวลานี้ เป็นใครก็น่าจะรู้สึกรำคาญแท้ๆ แต่อินซอบไม่ได้มีท่าทางแบบนั้นเลย
ถึงจะมีแผนลับบางอย่างในใจ แต่โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ที่ชื่อว่าอินซอบเป็นคนนิสัยดี ช่วงนี้หลายๆ สิ่งอยู่ในสายตาของอีอูยอนที่คอยจับตามองว่าชเวอินซอบมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของตนด้วยเหตุผลอะไร
เขาคิดว่าถ้าอีกฝ่ายล้มเลิกแผนการลับที่เขาไม่รู้เหตุผลไปได้ก็คงดี หากอีกฝ่ายมอบใจที่ซื่อสัตย์อย่างบริสุทธิ์ให้กับเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็น่าจะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายได้นานอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด
แต่ท่าทีของชเวอินซอบช่างน่าสงสัย
“ตรงนี้ครับ หน้าที่แปดตั้งแต่บรรทัดที่ห้า ลองอ่านได้ไหมครับ”
“…”
ใบหน้าของอินซอบที่กำลังถือบทอยู่ซีดเผือด อีอูยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ และเร่งให้อีกฝ่ายอ่านเร็วๆ ตาของชเวอินซอบแดงขึ้นมา และเขาทำหน้าเหมือนกับน้ำตาจะไหลในไม่ช้านี้
“ตั้งแต่ตรงนี้นะครับ”
แม้อีอูยอนจะช่วยใช้นิ้วชี้ให้ดูว่าเขาจะต้องอ่านบทไหน แต่อินซอบกลับไม่สามารถปริปากพูดได้ง่ายๆ อินซอบที่กำลังลังเลอยู่นั้นมองอีอูยอนด้วยสายตาที่เหมือนจะสงสัย
“ทำไมเหรอครับ”
“…คือว่า…นี่มัน…”
“ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อสักครู่นี้ล่ะครับ ผมน่ะแสดงความรู้สึกรักแบบนี้ไม่เก่ง เพราะผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเป็นนักแสดง ผมเลยไม่ได้คบใครจริงๆ จังๆ มานานแล้วน่ะครับ เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ”
คำพูดของอีอูยอนไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะเขาคบกับผู้หญิงอย่างฉาบฉวยและไม่ได้คบใครอย่างจริงจัง
“เพราะฉะนั้นคุณช่วยผมหน่อยนะครับ”
นี่เป็นคำขอร้องที่มีมารยาทแต่ทว่าจริงจัง ชเวอินซอบต้องอ่านบทที่อีอูยอนกำลังใช้นิ้วชี้อีกครั้งโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แค่อ่านด้วยตาก็ดูเหมือนว่าอุณหภูมิในร่างกายเขาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งถึงสององศาแล้ว บทพูดที่เริ่มต้นด้วยคำว่า ‘คุณชาย’ นั้นมีคำพูดที่น่าละอายเรียงต่อกันเป็นทอดๆ บทพูดที่ประกอบด้วยคำพูดแบบสมัยก่อนที่แสนงดงามนั้นหอมหวานเหมือนกลิ่นดอกไม้ แม้อินซอบจะลองอ่านในใจอยู่สองสามครั้ง แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะพูดบทนั้นออกมา