ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-3

ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-3

“เฮือก อินซอบ”

กรรมการผู้จัดการคิมที่เห็นอินซอบมาที่บริษัทเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ

“สวัสดีครับ”

“นี่ ทำไมช่วงสองสามวันมานี้นายหน้าซีดขนาดนี้ล่ะ อ๋อ ใช่สิ อีอูยอนเริ่มถ่ายละครแล้วใช่ไหม”

“ครับ”

“น่าเหนื่อยจริงๆ แต่เดี๋ยวก็น่าจะเหนื่อยขึ้นอีก”

เนื่องจากตอนนี้อยู่ในระหว่างการถ่ายทำล่วงหน้า จึงต้องถ่ายทำโต้รุ่งกันสองวันครั้ง แต่ถ้าเข้าสู่ช่วงที่ต้องถ่ายทำไปออกอากาศไปแล้ว การได้นอนวันละสามชั่วโมงก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีแล้ว แม้จะโต้รุ่งแค่วันเดียว แต่อินซอบก็ซูบเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดต่างจากอีอูยอนที่มีร่างกายแข็งแรงเหมือนเหล็ก

“กินยาบำรุงที่ฉันให้ไปบ้างหรือเปล่า นายต้องกินนะ”

หัวหน้าทีมชาที่อยู่ข้างๆ พูดเสริมเหมือนเป็นห่วง

“ครับ…ผมกินอยู่ครับ”

ถึงเขาจะไม่สามารถทิ้งของที่ได้รับเป็นของขวัญได้ แต่มันก็เป็นยาที่เขาไม่อยากกิน ว่าแต่มีเหตุผลอะไรที่อีอูยอนจะต้องถามอินซอบว่ากินยาหรือยังหลังกินข้าวเสร็จ และคอยเตรียมยาให้เขาด้วย นี่เป็นความใจดีที่เขาไม่ต้องการจริงๆ

“…อีอูยอนไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหม”

“ครับ ไม่ได้มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษครับ”

“โชคดีไป แล้วไม่ได้มีเรื่องที่น่าเหนื่อยใจอะไรใช่ไหม”

กรรมการผู้จัดการคิมถามอย่างเอาใจใส่ เขาจะโทรศัพท์มาถามอินซอบทุกครั้งที่มีเวลาว่ามีเรื่องที่น่าเหนื่อยใจ หรือมีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือเปล่า และมักจะเลี้ยงข้าวหรือให้โบนัสทุกครั้งที่เขามาที่บริษัท มันเป็นความเอาใจใส่ที่มากเกินไปต่างกับผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกรรมการผู้จัดการคิมทำดีกับตนมากเท่าไร ชเวอินซอบก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น และตั้งใจจะทำงานที่ตนได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด

กรรมการผู้จัดการคิมเป็นคนที่รู้จักใช้ไม้อ่อนไม้แข็งได้อย่างเหมาะสม เขามีความสามารถในการเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าจะต้องใช้อะไรกับคนแบบไหนโดยสัญชาตญาณ เขาตัดสินใจว่าจะต้องใช้ไม้อ่อนทันทีที่เจอชเวอินซอบ เพราะถ้าทำดีกับคนใจอ่อนอย่างชเวอินซอบ และยิ่งทำดีด้วยมากเท่าไร คนประเภทนี้ก็จะพยายามไม่ทำให้ผิดหวังมากเท่านั้น อันที่จริงชเวอินซอบทำงานได้ดีจนเกินระดับความคาดหวังที่ตนพอใจแล้ว

กรรมการผู้จัดการคิมอยากทำทุกวิถีทางให้ชเวอินซอบยังอยู่ข้างๆ อีอูยอน

“ไม่มีอะไรครับ”

“ถ้าเหนื่อยก็บอกนะ ฉันจะให้หัวหน้าทีมชาทำงานแทนสักวะ…อ๊าก!”

มุมแฟ้มใส่เอกสารตกลงบนเท้าของกรรมการผู้จัดการคิมอย่างไร้ความปรานี ในระหว่างที่ฝ่ายนั้นกุมเท้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้างและวิ่งรอบห้องทำงาน หัวหน้าทีมชาก็พูดต่ออย่างใจเย็น

“คุณอินซอบ ในตอนที่ยังนอนได้ก็นอนเถอะ แล้วไม่ต้องเข้ามาที่บริษัทสักพักก็ได้ เช็กตารางงานจากอีเมลหรือโทรศัพท์เอาก็ได้ ทำไมต้องเสียเวลามาที่บริษัทด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงมันก็เป็นทางกลับบ้านอยู่แล้ว”

“แต่ยังไงการแวะเข้ามามันก็ต่างกับการกลับไปเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“เฮ้อ ดูเหมือนจะไม่เคยเรียนคำว่าไม่โอเคมาเลยสินะ”

กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะจนหงายไปด้านหลังทันทีที่หัวหน้าทีมชาพูดจบ เพราะมันเป็นคำที่พูดกันในรายการวาไรตี้โชว์ที่มีชื่อเสียง หัวหน้าทีมชาเองก็หัวเราะไปด้วย อินซอบที่ไม่เคยดูรายการวาไรตี้โชว์ของเกาหลีหน้าแดงและตะโกนออกไป เพราะคิดว่าตนถูกล้อเลียน

“เคยเรียนนะครับ คำพูดนั้นผมก็รู้จักเหมือนกัน ผมเรียนมาครับ”

“หะ แล้วใครเขาว่าอะไรล่ะ ซอบนี่แยกคำพูดจริงหรือพูดเล่นไม่ออกจริงๆ ด้วยสินะ จะลองไปเรียนที่สถาบันสอนแยกเรื่องพวกนั้นดูไหม”

“…”

อินซอบตัดสินใจว่ากลับบ้านไปวันนี้เขาจะต้องไปค้นหาสถาบันนั้นและสมัครเรียนทันที

“งั้นตารางงานวันนี้ก็เสร็จแค่นี้ใช่ไหม เสร็จเร็วอยู่นะเนี่ย ถ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวฉันไปส่ง”

กรรมการผู้จัดการคิมเอากุญแจรถใส่กระเป๋าในขณะที่พูด หลังจากไปส่งอีอูยอนที่บ้านแล้ว ชเวอินซอบมักจะเอารถมาจอดที่ลานจอดรถของบริษัทและเดินกลับบ้าน ดังนั้นการที่อินซอบที่ช่วงนี้ยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจหายคอเข้ามาเช็กตารางงานที่ได้บริษัทได้ ก็หมายความว่าเขาส่งอีอูยอนจนถึงบ้านแล้ว

“เปล่าครับ ผมจะต้องไปต่ออีก”

“จะไปที่ไหนอีกล่ะ”

“ผมหาเวลาเข้ามาครู่หนึ่งเพราะตอนนี้คุณอีอูยอนกำลังออกกำลังกายอยู่ครับ”

“นายเป็นนาย อีอูยอนก็เป็นอีอูยอนจริงๆ เจ้านั่นเหนื่อยขนาดนั้นแท้ๆ ยังออกกำลังกายอยู่ได้ยังไงเนี่ย ไม่ใช่คนแล้ว นี่มันสัตว์ป่าชัดๆ”

หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นพร้อมกับจ้องกรรมการผู้จัดการคิมที่ใส่ความดาราในบริษัทของตนเองเหมือนเป็นคนอื่น

“เขาดูแลตัวเองได้ดีก็ดีอยู่แล้วนี่ครับกรรมการผู้จัดการ”

“ก็ใช่ แต่มันไม่มีความเป็นมนุษย์เลยนะ”

หัวหน้าทีมชาหัวเราะพร้อมกับหยิกสีข้างของกรรมการผู้จัดการคิม เพราะเขาคิดว่าคำพูดนั้นจะทำให้อินซอบที่เป็นแฟนคลับของอีอูยอนจะเสียความรู้สึก

“หยิกทำไมเนี่ย ฉันพูดผิดหรือไง”

หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่อินซอบที่กำลังทำสีหน้ายุ่งเหยิงอยู่เงียบๆ กรรมการผู้จัดการคิมที่รับรู้ถึงความผิดพลาดของตนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

“ถึงจะไม่มีความเป็นมนุษย์ แต่ความจริงก็คือเขาทำตัวเป็นมืออาชีพ เพราะอีอูยอนน่ะไร้ที่ติดจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ยังไงล่ะ ถึงจะพยายามหาข้อเสียก็หาไม่เจอ”

“ครับ จริงครับ”

ใบหน้าของชเวอินซอบหมองลงไปอีกหนึ่งระดับ เขาคือคนที่อุทิศเวลาเพื่อหาข้อเสียของอีอูยอน

“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ อินซอบของเราคงเหนื่อยน่าดูเลยที่ต้องทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของดาราที่สมบูรณ์แบบ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ เพราะนี่เป็นงานที่ผมทำเพราะชอบ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ลาก่อนครับ”

“โอเค ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักนะ”

“ไว้เจอกันคราวหน้า”

อินซอบออกจากห้องทำงานไปหลังจากที่บอกลาคนทั้งคู่ อันที่จริงเขาเหลือเวลาอยู่อีกสักพักกว่าอีอูยอนจะออกกำลังกายเสร็จ แต่เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปตลอดได้ เพราะนี่เป็นเวลาที่บริษัทปิดทำการแล้ว

เหนือสิ่งอื่นใดคือปัญหาที่ว่าเขาค่อยๆ ชอบคนที่ทำดีกับตนขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าพออากาศอุ่นขึ้นหัวใจของเขาก็พลอยอบอุ่นขึ้นไปด้วย และนั่นทำให้อินซอบเป็นทุกข์

เขาตั้งใจว่าจะล้างแค้นให้เสร็จก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง และรีบกลับไปที่อเมริกา

อินซอบจอดรถไว้ตรงลานจอดรถชั้นใต้ดินของฟิตเนสที่อีอูยอนใช้ออกกำลังกายและดูนาฬิกา เขาจะต้องรออีกสามสิบนาทีอีอูยอนถึงจะลงมา

ชเวอินซอบปรับเบาะให้เอนและดึงผ้าห่มมาห่ม สำหรับเขาแล้วช่วงเวลาที่นานๆ ทีจะได้นอนหลับตารออีอูยอนแบบนี้หอมหวานราวกับน้ำผึ้ง พอเพลงที่ชอบถูกบรรเลงออกมาจากเครื่องเล่นเพลงแล้ว อินซอบก็ได้หลับตาและหลับลึกหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน

เขาได้ยินเสียงไวท์นอยส์[1] ที่มักจะได้ยินก่อนที่เพลงถัดไปจะบรรเลงออกมาจากเครื่องเล่นเพลง อินซอบชอบช่วงเวลานั้น เขามักจะตั้งค่าให้เครื่องเล่นเพลงเล่นแบบสุ่มเพลงเสมอ เพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้ว่าเพลงต่อไปที่จะออกมาคือเพลงอะไร เขาชอบช่วงเวลาที่ได้รอให้ทำนองของเพลงที่ชอบดังขึ้นมาหลังจากที่เสียงไวท์นอยส์จบลง

แต่พอผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่มีเสียงอะไรดังออกมาเลย อินซอบนึกสังหรณ์ใจว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เขาจะต้องลืมตา แต่มันไม่ง่ายเลยเหมือนกับว่าร่างกายของเขาหนักไปหมด

อินซอบโอดโอยอยู่สักพักก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก

“อ๊ากกก!”

อีอูยอนมองอินซอบที่กรีดร้องด้วยความกลัวและตะเกียกตะกายอยู่ในผ้าห่มพลางยิ้มน้อยๆ ท่าทางของอีกฝ่ายที่โชว์ฟันสีขาวที่เรียงตัวสวยพร้อมกับยิ้มเหมือนกับสนุกทำให้อินซอบขนลุกซู่

“ตกใจเหรอครับ”

“ก็ต้อง…ตกใจอยู่แล้วสิครับ”

ถึงจะมีประสบการณ์น่าสะพรึงกลัวที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่ามีใครกำลังมองตนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ชินเสียที

“มาถึงเมื่อไหร่ครับ”

“เมื่อกี้นี้เองครับ ดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงจะแปลกๆ ไปนิดหน่อย ผมก็เลยขึ้นมานั่งที่เบาะด้านข้างสักพัก”

“…”

หัวใจที่ยังคงตื่นตกใจอยู่นั้นเต้นแรงจนเขารู้สึกเจ็บ แม้จะไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า แต่เรื่องที่อีอูยอนแกล้งให้ตนตกใจนั้นเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักเกินไปหน่อยสำหรับหัวใจที่ไม่ค่อยดีของเขา อินซอบคิดว่าเขาควรจะพูดเรื่องนี้ดีไหม แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นการเปิดเผยมากเกินไปหรือเปล่า สุดท้ายเขาจึงไม่ปริปากพูด

“จะกลับบ้านเลยไหมครับ”

“ครับ ก็ต้องกลับอยู่แล้วสิครับ ในเวลาแบบนี้น่ะ”

อีอูยอนใช้ปลายนิ้วเคาะนาฬิกาที่เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ชเวอินซอบกำพวงมาลัยพร้อมกับเหลือบมองอีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายอาบน้ำออกมาจากฟิตเนส ผมที่เปียกจึงปกคลุมหน้าผาก กลิ่นแชมพูเข้มๆ กระจายตัวอยู่ในรถทุกครั้งที่อีอูยอนขยับตัว

“…”

ชเวอินซอบมองอีอูยอนสลับกับที่นั่งตรงเบาะหลัง เขาชักชวนโดยไม่ใช้คำพูดว่าจะไม่ไปนั่งที่ด้านหลังเหรอ

“ออกเดินทางเลยครับ”

อีอูยอนคาดเข็มขัดนิรภัย เขาแสดงความตั้งใจว่าจะไม่ไปนั่งที่เบาะหลัง อินซอบลอบถอนหายใจและค่อยๆ ขับรถออกไป ตอนที่รถออกจากลานจอดรถและวิ่งอยู่บนถนน ชเวอินซอบก็กดปุ่มเล่นเพลงของเครื่องเล่นและเพิ่มระดับเสียง

ปกติพวกเขาสามารถไม่สนใจกันและกันได้เพราะนั่งอยู่ที่เบาะหน้าและเบาะหลัง แต่พอต้องมานั่งข้างกันแบบนี้ เขาก็สนใจอีอูยอนจนไม่มีสมาธิขับรถ ดังนั้นในเวลาแบบนี้การเปิดเพลงเสียงดังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

“’Historia de un amor’”

อีอูยอนพึมพำชื่อเพลงพลางเอียงคอน้อยๆ

“เพลงนี้ ’Historia de un amor’ เรื่องราวของความรัก เป็นเพลงที่ผมชอบน่ะครับ”

“ครับ ผมรู้คะ…”

ชเวอินซอบพูดไม่จบและกัดริมฝีปากของตนไว้ เสียงหัวเราะแผ่วๆ ของอีอูยอนดังขึ้นในรถปนไปกับเสียงของนักร้องสาว

“คุณรู้ได้อย่างไรครับ”

“…ก็ผมเป็นแฟนคลับนี่ครับ”

“งั้นเหรอครับ ผมเคยพูดเรื่องนั้นออกอากาศด้วยเหรอ จำไม่เห็นได้เลย”

“มันเป็นแค่คำพูดผ่านๆ…”

อันที่จริงที่ที่เขาได้ยินเรื่องเล่านี้ไม่ใช่วิทยุหรือสถานีโทรทัศน์ เพราะฉะนั้นอินซอบจึงพูดให้แหล่งที่มาของเรื่องเล่านั้นคลุมเครือ

“ความจำคุณดีมากเลยนะครับ คุณอินซอบ”

“ผมแค่พยายามน่ะครับ”

ชเวอินซอบจดสิ่งที่เขาควรจะจำให้ได้ไว้เสมอ เขาเรียบเรียงกิจวัตรประจำวันลงในสมุดโน้ตอย่างเป็นระเบียบ และนั่นก็เป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันของเขา ไดอารี่ของเขาช่วงนี้มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับอีอูยอน เขาจดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับอีอูยอนลงไปจนถ้าใครมาเห็นคงเข้าใจผิดว่านี่เป็นไดอารี่ของพวกสตอล์กเกอร์

“พยายามเพื่อผมเหรอครับ เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกดีจัง”

ใบหูของเขาร้อนวูบวาบทันทีที่ได้ยินเสียงของอีอูยอน

ถึงเขาจะทำเพื่อเจนนี่ แต่ตัวเขาที่หลอกคนอื่นๆ ด้วยวิธีแบบนี้ไม่มีทางสบายใจ เขารู้สึกเหมือนถูกปลายมีดจิ้มจิตสำนึกที่เหลืออยู่เบาๆ

“รู้เนื้อเพลงของเพลงนี้ไหมครับ”

อีอูยอนมองผู้จัดการส่วนตัวที่กำลังกำพวงมาลัยอยู่ด้วยสีหน้าว้าวุ่น และจู่ๆ ก็เอ่ยถาม

“รู้คร่าวๆ ครับ…”

[“แม้คุณจะทำให้ฉันเข้าใจความดีและความชั่วทั้งหมดพร้อมกับมอบแสงสว่างให้กับชีวิตของฉัน แต่ตอนนี้แสงนั้นดับหายไปแล้ว”]

อีอูยอนแปลเนื้อเพลงให้ตรงกับที่เพลงกำลังบรรเลงอยู่

อินซอบสูดลมหายใจราวกับหยุดหายใจ แม้เขาจะรู้ว่าอีอูยอนไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เขาก็อดใจสั่นกับน้ำเสียงหวานๆ ที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายไม่ได้

[“ชีวิตของฉันที่มืดมน ฉันอยู่โดยปราศจากความรักของคุณไม่ได้”]

อีอูยอนที่แปลเนื้อเพลงจบหันหน้ามาทางอินซอบ

“คุณเข้าใจทำพูดที่บอกว่าฉันอยู่โดยปราศจากความรักของคุณไม่ได้ไหมครับ

“ก็ไม่รู้สิครับ”

มีวันที่เขาเคยเข้าใจ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้เขาไม่อยากเข้าใจคำพูดที่บอกว่าอยู่และตายเพราะความรักเลย

“เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ เพราะผมก็ไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้นเหมือนกัน”

อีอูยอนพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกันที่กำลังพูดความลับที่สำคัญ

“บทที่ผมได้รับคราวนี้น่ะ สุดท้ายก็จะตายเพราะความรักแหละครับ แต่ต่อให้ผมอ่านบทเป็นร้อยรอบ ผมก็ไม่เข้าใจมันเลย เป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะครับ”

“ครับ…เรื่องใหญ่จริงๆ ครับ”

อีอูยอนที่ได้ยินคำตอบของอินซอบหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆๆ ใช่ไหมล่ะครับ เรื่องใหญ่เลยเนอะ แต่ว่าปกติคุณจะต้องปลอบว่าไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอครับ แบบว่าคุณทำได้อะไรแบบนั้นน่ะ ฮ่าๆๆๆ”

อีอูยอนหัวเราะไม่ยอมหยุดเพราะตลกกับคำตอบที่ผู้จัดการส่วนตัวตอบกลับมา เขาหัวเราะจนไหล่สั่นจนกระทั่งสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน และรถกำลังเลี้ยวขวา

“ยิ่งดูคุณอินซอบก็ยิ่งเป็นคนตลกนะครับ”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

เขารู้สึกว้าวุ่น เขาไม่สามารถพูดว่าขอบคุณได้ เพราะเขารู้สึกเหมือนโดนล้อ …เอ่อ สงสัยเราจะต้องรีบกลับบ้านไปสมัครเรียนที่สถาบันนั้นแล้ว ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้สมัครเรียนก็ไม่มีเวลาไปอยู่ดีหรือเปล่า


[1] ไวท์นอยส์ เสียงคงที่ที่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ เช่น เสียงพัดลม เสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงฝน ซึ่งสามารถช่วยกลบเสียงรบกวนอื่นๆ ได้

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท