“สิ่งที่ผมสงสัยเป็นเรื่องอื่นครับ แต่มีสิ่งที่คุณจะต้องรู้ก่อนตอบ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอีอูยอนค่อยๆ หายไปในขณะที่พูด และความไม่ยอมแพ้ก็เข้ามาแทนที่
“เมื่อก่อนไม่ว่าใครจะหลอก หรือพูดอะไรกับผม ผมก็ไม่สนใจปัญหาที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอกครับ แต่ถ้ามันเกี่ยวกับผมละก็ ผมก็อยากจะฟังความจริงเกี่ยวสิ่งที่ผมคิดว่าสงสัยไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และตอนนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ผมอยากได้ยินความจริงนั้นครับ”
“…”
อินซอบคิดว่าอีกฝ่ายเกริ่นมายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเพื่อถามอะไรกันแน่ และรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หรือว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับเราแล้ว หรือว่าเขารู้ความจริงที่เราปลอมบัตรประชาชนมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้ว และพยายามซักถามอยู่นะ
ความคิดแบบนั้นทำให้ปลายนิ้วของเขาเย็นเป็นน้ำแข็ง และริมฝีปากของเขาก็แห้งผาก แต่เขาไม่อยากโดนจับได้ว่ากำลังว้าวุ่นใจ อินซอบจึงเงยหน้าขึ้นมาเหมือนกับว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไร
“เพราะฉะนั้นคุณช่วยตอบคำถามที่ผมจะถามตั้งแต่ตอนนี้ไปอย่างตรงไปตรงมาด้วยนะครับ คุณจะสัญญาไหมครับ”
“ครับ ผมจะตอบอย่างตรงไปตรงมาครับ”
สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ อีอูยอนถามคำถามอินซอบด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและนุ่มลึก
“ทำไมถึงช่วยชีวิตผมไว้ครับ”
“ครับ?”
“ทำไมถึงช่วยชีวิตผมไว้ตั้งสอง ไม่สิ ถ้ารวมตอนที่ผมจำไม่ได้ด้วยก็สามครั้งใช่ไหมครับ ทำไมถึงช่วยชีวิตผมตั้งสามครั้งล่ะครับ คุณมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า”
“เรื่องนั้น…”
“อย่าตอบด้วยคำตอบเดิมๆ อย่างเพราะเป็นมนุษย์ หรือเพราะเป็นผู้จัดการส่วนตัวนะครับ”
ชเวอินซอบรู้สึกลำบากใจ
แม้เขาจะคิดไว้อยู่แล้วว่าอีอูยอนจะถามคำถามจี้จุดอ่อน แต่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามด้วยวิธีแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นภายในหัวของอินซอบก็กลายเป็นกระดาษเปล่าสีขาวทันทีที่คำตอบที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดที่เขาจะสามารรถตอบได้ถูกอีกฝ่ายดักเอาไว้
“มันเป็นหน้าหนาวนะครับ แล้วการกระโดดลงไปในทะเลสาบโดยไม่เตรียมอะไรเลยก็คือการฆ่าตัวตายชัดๆ เรื่องนั้นจะยอมรับว่าเป็นการตอบแทนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้ำก็ได้ครับ แต่มันก็มากเกินไปที่จะเป็นการตอบแทนใช่ไหมล่ะครับ”
อีอูยอนงอนิ้วหนึ่งนิ้วให้ดูก่อนจะพูดต่อ
“แม้เรื่องผายปอดจะน่าสะอิดสะเอียด แต่เดี๋ยวผมไปกลั้วปากเอาก็ได้ครับ และต่อให้ผมได้ฟังความจริง ผมก็ยังคิดว่า ‘อย่างงั้นเหรอ’ อยู่ดี เพราะมันไม่ได้อยู่ในความทรงจำของผม”
นิ้วที่สวยและเรียวยาวของเขาถูกงอลงไปเป็นครั้งที่สอง
“แต่ผมไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดวันนี้จริงๆ ครับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้ผมสับสนกับความจริงของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากเลยครับ ดังนั้นผมจึงอยากที่จะได้ยินความจริงให้ได้ ว่าทำไมคุณถึงทำตัวเหมือนคนร้อนรุ่มใจ เพราะไม่สามารถช่วยชีวิตผมจากอันตรายได้ขนาดนั้นด้วยล่ะครับ อ๋อ ใช่แล้ว เรามาเอาคำตอบที่บอกว่าเพราะเป็นแฟนคลับของผมออกไปด้วยเถอะครับ”
“…!”
ทันทีที่คำแก้ตัวที่เตรียมไว้เป็นอย่างสุดท้ายถูกขโมยไป ภายในหัวของอินซอบก็ว่างเปล่าขึ้นมาจริงๆ แล้วเราจะต้องตอบว่าอะไรดีล่ะ
“ค่อยๆ คิดนะครับ เพราะผมมีเวลาอีกเยอะ”
อีอูยอนเอนตัวพิงพนักโซฟาก่อนจะพูดอย่างสบายๆ แต่อีกฝ่ายกลับมองชเวอินซอบไม่วางตาด้วยสายตาที่ไม่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าสายตาที่ดื้อรั้นนั่นกำลังจ้องทะลุเข้ามาในหัวของตน ชเวอินซอบถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มใช้สมองที่หยุดทำงานไปแล้วแล้วคิดอย่างสุดชีวิต
“ผม…ทำแบบนั้น…ด้วยความรู้สึกที่แท้จริง…”
“โอเคครับ ความรู้สึกที่แท้จริงนะ”
อีอูยอนตัดสินใจจะกำหนดให้ทิศทางของอีกฝ่ายขึ้นอยู่กับว่าวันนี้ชเวอินซอบจะตอบคำถามตนแบบไหน วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ชเวอินซอบอยู่ข้างๆ ด้วยเหตุผลประเภทที่ว่าเขาตื่นเต้นกับการจับตามองอีกฝ่าย เพราะไม่เข้าใจอีกฝ่ายได้อีกต่อไปแล้ว
เขาคิดไว้แล้วว่าเรื่องที่นิสัยเสียๆ ของตนจะถูกเปิดเผยนั้นเป็นเรื่องของเวลาอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมว่าวันนี้ ถ้านิสัยของเขาถูกเปิดเผย หรือภาพลักษณ์ของเขาถูกทำลาย เขาก็แค่เลิกเป็นนักแสดง เงินที่เขาหามาได้มากพอที่จะทำให้เขาสามารถนอนเล่นเฉยๆ ไปทั้งชีวิตได้ เขาเริ่มต้นชีวิตนักแสดงมาจากการเปลี่ยนแปลงเพื่อหลอกพ่อที่สั่งให้เขาไปรักษาตัว และส่งเขามาที่เกาหลีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่เขาทำมันมาเรื่อยๆ เพราะเขาคิดว่ามันไม่ได้แย่อะไร เขาสามารถหาเงินได้จากงานที่ไม่ผิดกฎหมายอะไรอย่างการหลอกคนไปพร้อมกับทำการแสดง แถมยังทำให้พ่อโมโหได้อีกด้วย ดังนั้นต่อให้เขาจะต้องเลิกเป็นนักแสดงกลางคัน เขาก็ไม่เศร้าหรือลำบากอะไร เพียงแต่ว่าการต้องเลิกไปกลางคันด้วยการตัดสินใจของคนอื่นที่ไม่ใช่ความตั้งใจของตนนั้นทำให้เขาอารมณ์เสีย
อีอูยอนชอบควบคุมความรู้สึกของตนเอง แต่มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาขาดสติอยู่เรื่อยๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าชเวอินซอบ วินาทีที่อีอูยอนเห็นภาพของอินซอบที่วิ่งเข้ามาช่วยตนเองทั้งๆ ที่ตัวสั่นเทา เขาก็รู้สึกถึงความรู้สึกร้อนวูบวาบที่เกิดขึ้นในอก
ความรู้สึกที่เหมือนกับบริเวณหัวใจเจ็บแปลบและชาทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี และรู้สึกแปลกๆ จนเขาไม่สบายใจอย่างมาก เขาไม่อยากถูกความรู้สึกแบบนั้นที่เขาไม่เคยรู้สึกเลยสักครั้งทำให้สับสนทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เหตุผล
“ช่วยพูดมาหน่อยเถอะครับ”
อีอูยอนจ้องมองผู้จัดการส่วนตัวของตนที่กำลังขยับปากเหมือนนักเรียนที่โดนคุณครูต่อว่า
“ผม…ผมไม่อยากให้ใคร…”
อินซอบอยากมองไปที่อื่น แต่ปากกลับพูดคำที่อยู่ในหัวออกมาเรื่อยๆ ในขณะที่ยังไม่สามารถหันหน้าหนีไปได้เพราะสายตาของอีอูยอนจ้องมองตนอย่างไม่ยอมแพ้
“ผม ผม…ไม่อยากให้คนที่อยู่ข้างๆ ผมต้องมาตายหรือบาดเจ็บอีกครั้งครับ”
ดวงตาของอีอูยอนที่กำลังเท้าคางและมองมาทางนี้หรี่ลงเล็กน้อย อินซอบกลั้นหายใจก่อนจะพูดต่อ
“เพราะผมไม่อยากถูกคนที่อยู่ข้างๆ ทิ้งไว้แบบนั้นครับ”
“สุดท้ายคุณก็กำลังพูดถึงความสำคัญของชีวิตนี่ครับ”
อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ ราวกับอ่อนใจ อินซอบตอบว่า ‘เปล่าครับ’ และส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น
“ผมไม่ได้พูดถึงความสำคัญของชีวิตคนหรือศักดิ์ศรีนะครับ…ผมแค่พูดถึงความปรารถนาของตัวเอง”
แม้จะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อไหม แต่สิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ตอนนี้คือความจริงใจทั้งหมด
“ตอนที่เพื่อนสนิทตาย…ผมไม่สามารถปกป้องเขาได้ครับ”
ความจริงที่หลุดออกมาแล้วครั้งหนึ่งเริ่มไหลออกมาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ไหลออกมาจากกระเป๋าที่มีรู แม้เขาจะรู้ว่าไม่ต้องพูดคำพูดพวกนี้ก็ได้ แต่อินซอบกลับไม่สามารถห้ามไม่ให้ริมฝีปากขยับได้
“ดังนั้นผมจึงอยากปกป้องครับ ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับความสูญเสียนั้นอีกแล้ว นี่เป็นเพียงความปรารถนาส่วนตัวของผมเอง ไม่ใช่ความรู้สึกที่ประเสริฐอย่างความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์หรอกครับ”
“งั้นคุณจะบอกว่าไม่ว่าใครคุณก็จะช่วยเหรอครับ ถึงจะไม่ใช่ผมคุณก็ไม่สนใจเหรอ”
อินซอบไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มบิดเบี้ยวที่ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งบนริมฝีปากของอีอูยอนขณะที่ถามเช่นนั้น
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ…ในระหว่างที่ผมทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวอยู่ข้างๆ คุณอูยอน ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถทำได้ในระหว่างนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร…ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรผมก็จะทำให้ครับ นั่นเป็นความปรารถนาของผมทั้งหมด”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองอ้วก ‘กองเพลิง’[1] ออกมาจากคอ มันคือจิตใจที่แท้จริงและความจริง แม้ว่าจะมีวันที่ผมต้องทรยศคุณ แต่ผมก็อยากทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ให้คุณจนกว่าวันนั้นจะมาถึง อินซอบคิด ทุกอย่างคือความปรารถนาของเขา แม้จะรู้ว่ามันเป็นความปรารถนาที่ไร้ประโยชน์ และเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ แต่เขาก็อยากจะทำแบบนั้น
ดังนั้นเขาตอนที่อีอูยอนกลิ้งตกลงมาจากม้า เขาจึงขยับตัวไปก่อนที่สมองจะได้ตัดสิน เขาวิ่งเข้าไปช่วยอีกฝ่ายทั้งๆ ที่รู้ว่าห้ามเข้าไปใกล้ม้าที่ตื่นกลัว แม้กระทั่งตอนที่ม้ายกขาหน้าและวิ่งเข้ามา เขาก็ยังเผลอกอดอีกฝ่ายเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
เขาไม่สนใจว่ามันจะเป็นการตบหัวแล้วลูบหลัง หรือว่าเขาจะโดนนินทา ไม่สิ ในกรณีนี้ต้องบอกว่าลูบหลังแล้วค่อยตบหัวหรือเปล่านะ
“ผมแค่อยากทำแบบนั้นเฉยๆ ครับ ดังนั้นผมก็เลยทำแบบนั้น ถ้าคุณจะถามถึงเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมก็ไม่มีคำพูดที่สามารถตอบคุณได้ครับ ผมแค่รู้สึกว่าอยากทำแบบนั้นเฉยๆ”
แม้เขาจะลองพูดซ้ำๆ ว่าเขาเกลียดอีอูยอน หรืออีอูยอนเป็นคนเลว แต่มันก็เปล่าประโยชน์ แม้เขาจะพยายามนึกถึงเจนนี่และรวบรวมสติ แต่หัวใจของเขากลับก้าวเท้าฉับๆ ไปก่อนแล้ว แม้ตนเองจะต้องหักหลังอีกฝ่าย แต่สุดท้ายอินซอบก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่สามารถเกลียดอีกฝ่ายได้
“ผมอยากทำให้ทุกอย่างเลยครับ…”
อีอูยอนลองพึมพำคำพูดที่ชเวอินซอบพูดขึ้นมาเงียบๆ พอได้ยินคำพูดที่ตนเองพูดไว้ด้วยน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว ใบหน้าของอินซอบก็แดงขึ้นมาเพราะเขารู้สึกแปลกๆ
“ทุกอย่างที่ผมต้องการเลยเหรอครับ”
“ถ้านั่นเป็นเรื่องที่ผมสามารถทำได้นะครับ”
“ตกลงครับ”
อีอูยอนเอานิ้วชี้ปากของตัวเองพลางเอ่ยพูด
“งั้นช่วยจูบผมหน่อยครับ”
“ครับ?!”
“ลองจูบผมหน่อยครับ ตอนนี้เลย”
ได้ยินดังนั้น ชเวอินซอบก็รู้สึกมึนงงว่าคำว่า ‘จูบ’ ที่ตนรู้จักตรงกับความหมายนั้นไหม อินซอบกะพริบตาพลางทำหน้าไม่เข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้
“คุณบอกเองนี่ครับว่าถ้าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ก็จะทำทุกอย่าง จะผายปอดหรือจะจูบก็เหมือนกันแหละครับ ใช่ไหม”
“เอ่อ ทำไม…ทำไมล่ะ…ครับ”
“ทำไม่ได้เหรอครับ คำพูดที่คุณพูดเมื่อกี้นี้คุณแค่พูดออกมาเฉยๆ เหรอครับ”
ทันทีที่อีอูยอนจงใจทำเป็นผิดหวังและบ่นพึมพำ ชเวอินซอบก็บอกว่า ‘เปล่านะครับ’ พลางส่ายหัว
“มันไม่ใช่คำที่ผมพูดออกไปเฉยๆ นะครับ แต่ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น…”
“เพราะผมแค่อยากดูให้แน่ใจว่าคำพูดที่คุณชเวอินซอบพูดกับผมนั้นจริงใจหรือเปล่า ถ้าคุณคิดว่ามันมากเกินไปก็ไม่ต้องทำก็ได้ครับ และคำตอบเกี่ยวกับคำถามของผมก็คือคุณน่าจะทำไปด้วยความรักต่อเพื่อนมนุษย์เฉยๆ”
อีอูยอนกำลังจะลุกขึ้น อินซอบบอกว่า ‘เปล่านะครับ’ และคว้าอีกฝ่ายไว้ เป็นความรู้สึกที่เขาดิ้นรนจนสุดชีวิต น่าแปลกที่เขารู้สึกถึงความรู้สึกยามคับขันที่บอกว่าห้ามโน้มน้าวอีอูยอนให้เชื่อเด็ดขาด
“ที่ผมพูดไปคือความจริงใจทั้งหมดนะครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
การยิ้มเยาะลางๆ ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งบนใบหน้าของอีอูยอน
“ผมทำได้ครับ”
อีอูยอนแอบก้มมองปลายนิ้วของอินซอบที่สั่นระริกในขณะที่พูดแบบนั้น
“ทำได้เหรอครับ”
“ครับ”
“ไม่ต้องฝืนก็ได้นะครับ เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินก่อนผมจะตาย”
“เปล่าครับ ผม…”
“ก็ได้ครับ งั้นผมจะหลับตาให้นะครับ”
“…”
น้ำเสียงนั้นราวกับมอบความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ให้เขา อินซอบปล่อยชายเสื้อของอีอูยอนที่ตนกำลังจับอยู่ลง ภายในปากของเขาแห้งผาก แม้เขาจะพยายามรวบรวมสติว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สมองของเขากลับไม่ทำงาน เลือดของเขาถูกสูบฉีดออกจากหัวใจอย่างรวดเร็วถึงขนาดที่เขารู้สึกถึงชีพจรไปทั่วทั้งตัว แม้จะรู้ว่านี่เป็นการทดสอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอีอูยอน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเขาต้องเต้นแรงด้วย
สงบลงหน่อยเถอะ นี่เป็นแค่การทดสอบเอง เป็นการทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่าคำที่เรากำลังพูดเป็นความจริงหรือเปล่า
“ไม่ทำเหรอครับ”
อีอูยอนลืมตาข้างหนึ่งที่กำลังหลับอยู่ขึ้นมาพลางเอ่ยถาม
[1] กองเพลิง ความรู้สึกรุนแรงที่สะสมอยู่ในจิตใจ