“…”
“ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงวิ้งๆ ของยุงที่ข้างหูในขณะที่นอน ผมจะไม่นอนอีกเลยจนกว่าจะจับยุงตัวนั้นได้ ผมเคยตื่นทั้งคืนด้วยครับ และผมก็ได้รู้ว่าการทำให้อะไรก็ตามที่กวนใจเราหายไปเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด”
“เฮ้ยนิสัยแกนี่มัน…ก็ได้”
“และตอนนี้ก็มีเรื่องที่กวนใจผมฉิบหายเลย แต่พอจะทำให้หายไปผมกลับสงสัย และพอจะปล่อยให้อยู่ข้างๆ ผมก็ดันไม่สบายใจ”
อีอูยอนแกล้งยิ้มก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถามว่านั่นหมายความว่าอะไร
“เพราะฉะนั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับคุณอินซอบผมจะเป็นคนทำเองครับ เข้าใจไหมครับกรรมการผู้จัดการ”
ถ้าเขาบอกว่าไม่เข้าใจ เขาก็รู้สึกเหมือนจะโดนอิฐทุบหรือโดนมีดแทงขึ้นมาตอนไหนก็ได้เมื่อออกจากบ้านเวลากลางคืน ดังนั้นกรรมการผู้จัดการคิมจึงพยักหน้าโดยไม่สามารถทำอะไรได้
“ก็ได้…แล้วนายไม่เป็นไรเหรอ นายตกม้านี่”
กรรมการผู้จัดการคิมสำรวจร่างกายของอีอูยอนอย่างระมัดระวัง
“เหมือนไหล่จะหลุดนะครับ”
“ว่าไงนะ ไหล่งั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ยอมรับการรักษาแล้วมาทำอะไรแบบนี้อยู่ล่ะ!”
“ผมลืมครับ”
“มีการลืมด้วยเหรอ ให้ตายสิ ไปเอ็กซเรย์แล้วรับการรักษาเดี๋ยวนี้เลย แก! นี่แกยังมีสติอยู่กับตัวไหม หา?! ”
อีอูยอนลุกขึ้นพลางเอ่ยตอบ
“กรรมการผู้จัดการคิดว่าผมยังมีสติอยู่กับตัวอีกเหรอครับ”
“…”
“ล้อเล่นน่ะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองดวงตาของอีอูยอนที่ยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางคิดว่า ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้เห็นฉากนั้นก็คงหนีไม่พ้นโดนไอ้หมอนี่หลอกมาจนถึงตอนนี้แน่ๆ กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกถึงน้ำหนักอันหนักอึ้งของความจริง และส่ายหัวที่รู้สึกปวดตุบๆ ไปมา
พวกเขาได้รับความเห็นว่าโชคดีที่ไหล่ของอีอูยอนแค่เอ็นอักเสบนิดหน่อย หากได้หยุดพักสักระยะก็จะดีขึ้นเอง แต่ปัญหาก็คืออีอูยอนไม่สามารถหยุดพักได้
“จะทำยังไงดีล่ะ”
ชเวอินซอบกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง และอีอูยอนก็นั่งอย่างหมิ่นเหม่บนเตียงข้างๆ หัวหน้าทีมชาและกรรมการผู้จัดการคิมยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉินโดยอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้ดูแลของทั้งสองคนนั้น
“หมายความว่ายังไงครับที่ว่าจะทำยังไงดีน่ะ”
“หมายถึงการถ่ายละครน่ะสิ ดูเหมือนจะต้องแก้ตารางงานไปสักพักหนึ่งนะ”
“ต่อให้ถ่ายโต้รุ่งก็ยังไม่พอหรอกครับ”
“…ถ้าผมติดแผ่นแปะบรรเทาอากาศปวดกับคอยประคบไว้มันก็หายแล้วนะครับ”
“แต่ถึงยังไงนายก็เอ็นอักเสบนะ…”
“ผมจะไม่ทำอะไรเกินตัวหรอกครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรให้กับคำตอบที่เฉียบขาดของอีอูยอน ตอนนั้นเองเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดรับทันทีที่เห็นชื่อของผู้โทร
เมื่อเห็นเขาทำแบบนั้น พยาบาลที่อยู่แถวๆ นั้นก็ขอร้องด้วยน้ำเสียงสุภาพให้เขาออกไปด้านนอก เพราะห้ามคุยโทรศัพท์ภายในห้องฉุกเฉิน
“ขอโทษครับ ผมขอคุยโทรศัพท์สักครู่นะครับ เพราะนี่เป็นเรื่องด่วน”
“เราห้ามใช้โทรศัพท์ในห้องฉุกเฉินค่ะ เพราะสัญญาณโทรศัพท์อาจทำให้เครื่องมือทำงานผิดปกติได้ เพราะฉะนั้น…”
อีอูยอนร้องอ๋อ และเอามือข้างหนึ่งกุมไหล่เอาไว้พลางแสร้งพิงเตียง พยาบาลเอื้อมมือมาช่วยประคองเขาโดยไม่รู้ตัว เพราะสีหน้าของเขาดูเสียใจและน่าสงสารมาก
“เป็นอะไรไหมคะ”
“ขอโทษด้วยนะครับ ไหล่ผมเจ็บน่ะ ผมฉีดยาแก้ปวดไปแล้ว แต่เหมือนยาจะยังไม่ออกฤทธิ์น่ะครับ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
ทันทีที่อีอูยอนพึมพำอย่างนั้นด้วยสีหน้าหงอยๆ พยาบาลที่กอดชาร์ตผู้ป่วยอยู่ก็ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเริ่มกางม่านที่ติดอยู่เหนือเตียง หลังจากที่สร้างพื้นที่ส่วนตัวโดยใช้ม่านบังจนครบสี่ด้านแล้ว พยาบาลก็ทำตายิ้มพร้อมกับบอกว่า ‘ต้องรีบคุยให้เสร็จนะคะ’ ก่อนจะจากไป
กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชามองภาพของอีอูยอนที่ยิ้มละมุนและเอาโทรศัพท์มือถือมาแนบที่หู พวกเขาเดาะลิ้นด้วยสีหน้าเหมือนกับเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น
“ขอโทษทีนะครับพอดีผมอยู่ที่โรงพยาบาล ครับ รู้แล้วเหรอครับ”
อีอูยอนที่กำลังถือโทรศัพท์มือถืออยู่ตอบเสียงเบาว่า ‘ครับ ครับ’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนมือที่ถือโทรศัพท์อยู่และทำหน้านิ่วคิ้มขมวดอย่างน่ากลัวทันที เพราะไม่ถูกใจกับอะไรบางอย่าง
“นั่นไม่ใช่เรื่องของผมนะครับ ครับ ช่วยจับให้ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ด้วยนะครับ ครับ ทราบแล้วครับ ขอบคุณครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถามทันทีที่อีอูยอนยิ้มและวางสายไป
“ใครเหรอ”
“คนรู้จักของคนที่เคยรู้จักสมัยอยู่ที่อเมริกาน่ะครับ ผมมีเรื่องรบกวนเขานิดหน่อย แต่ก็จัดการเกือบจะเรียบร้อยแล้วครับ”
“รบกวนเรื่องอะไรเหรอ แล้วจะจับอะไร”
อีอูยอนถูกทำให้นอนลงพลางตอบอย่างไม่สำคัญอะไร
“ก็ไอ้พวกชนชาติโชซอนที่พยายามจะทำให้ผมจมน้ำตายไงครับ”
“ว่าไงนะ นายตามหาคนพวกนั้นเหรอ”
อีอูยอนเอานิ้วมาแตะที่ปากพร้อมกับทำเสียงจุ๊ๆ และแสร้งทำเป็นสั่งให้อีกฝ่ายพูดเบาๆ กรรมการผู้จัดการคิมลดเสียงลงพลางถามต่ออีกครั้งด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“นายหาคนพวกนั้นเจอได้ยังไง ตำรวจยังหาไม่เจอเลยนี่”
“เพราะเป็นตำรวจเลยหาไม่เจอไงครับ ถ้าผมตัดสินใจแล้วก็หาเจอหมดนั่นแหละ เพราะตราบใดที่คนยังมีชีวิตอยู่ก็มักจะเหลือร่องรอยอยู่เรื่อยๆ แหละครับ”
“แล้วนายได้รายงานตำรวจหรือยัง”
“ทำไมต้องรายงานด้วยครับ”
อีอูยอนทำตาโตพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนจะถามว่าคุณพูดอะไรของคุณ
“นายก็จะต้องรายงานตำรวจสิ ไม่งั้นนายพยายามจะทำอะไรล่ะ”
“ก็จะฝังมันลงดินน่ะสิครับ”
“…”
“…”
“ที่เกาหลีมีภูเขาเยอะจะตาย ถ้าดูจากตอนที่ผมไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัด ทุกที่ที่สายตาของผมมองเห็นก็เป็นภูเขาทั้งนั้น ดูเหมือนประเทศเกาหลีจะถูกเรียกว่าประเทศที่มีทิวทัศงดงามเพราะมีภูเขาเยอะนะครับ”
“…อีอูยอน นายก็รู้ใช่ไหมว่าการฝังคนที่เนินเขาเตี้ยๆ เป็นความผิด”
“รู้สิครับ”
“…”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากพร้อมกับเปิดปากพูดอย่างยากลำบากอีกครั้งหลังจากปล่อยให้ความเงียบแปลกๆ โรยตัวลงมา
“งั้นนายจะบอกว่านายเจอพวกชนชาติโชซอนพวกนั้นแล้ว และจะฝังพวกเขาที่เนินเขาเหรอ นายกำลังพูดอย่างนั้นใช่ไหม”
อีอูยอนตอบว่า ‘ครับ’ และยิ้มอย่างสดใสเหมือนเด็กเล็กๆ โชคดีจังที่ที่นี่เป็นห้องฉุกเฉิน ต่อให้เราล้มลงไปเต็มแรงก็น่าจะไม่ตาย กรรมการผู้จัดการคิมคิดและจับหลังคอเอาไว้
“นี่อีอูยอน นายฝังคนลงดินไม่ได้นะ”
หัวหน้าทีมชาที่ทนดูไม่ได้ช่วยพูดเสริม อีอูยอนพูดต่ออีกสองสามคำเพราะเขาคิดว่าที่ตอบไปว่ารู้แล้วคงยังไม่พอ
“การโยนคนลงไปในทะเลสาบหลังจากที่ฟาดเขาทางด้านหลังก็เป็นเรื่องที่ห้ามทำเหมือนกันนี่ครับ มันผิดกฎหมายนะ”
สีหน้าของคนทั้งสองคนที่ได้ยินคำพูดนั้นซีดลงเรื่อยๆ อีอูยอนนอนตะแคงพลางเอ่ยถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อย่าบอกนะครับว่าพวกคุณเชื่อจริงๆ ว่าผมจะฝังคนที่เนินเขา”
สิ้นคำถามนั้น คนทั้งคู่กลับไม่สามารถตอบว่าไม่ออกไปได้ในทันที ไม่ว่าอีอูยอนจะยิ้มด้วยหน้าตาที่มีเมตตาขนาดไหน แต่มันกลับดูน่ารังเกียจมากอยู่ดีสำหรับคนทั้งคู่ที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“ผมก็ต้องพูดเล่นอยู่แล้วสิครับ พูดเล่นน่ะครับ”
แม้อีอูยอนจะพูดอย่างขี้เล่น แต่ทั้งสองคนที่เห็นภาพที่อีกฝ่ายกำลังถือขวดเหล้าเปื้อนเลือดกับตาในร้านเหล้ากลับไม่ใจกว้างพอที่จะยอมรับว่าคำพูดนั้นคือคำพูดเล่นได้
“ว่าแต่ถ้าเจอคนพวกนั้นแล้วนายจะไม่แจ้งตำรวจจริงๆ เหรอ แจ้งตำรวจไปน่าจะดีกว่านะ อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ”
ถึงเขาจะตอบว่าเข้าใจแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดว่าตนจะทำแบบนั้น
“จะว่าไปแล้วอินซอบเนี่ยช่วยชีวิตอูยอนไว้ตั้งสามครั้งแล้วนะ นี่ ถ้าช่วยชีวิตนายไว้ได้ตั้งสามครั้งเนี่ย เราจะต้องตั้งรูปปั้นของเขาไว้หน้าบ้านแล้วหรือเปล่า รูปปั้นของชเวอินซอบผู้จัดการส่วนตัวผู้จงรักภักดีไง”
“สามครั้งเหรอครับ”
อีอูยอนเอียงคอด้วยความสงสัย ในความทรงจำของตนผู้จัดการส่วนตัวโง่เง่านั่นช่วยชีวิตเขาไว้และล้มป่วยลงแค่สองครั้งเท่านั้นเอง เขาไม่เข้าใจเลยว่าอีกหนึ่งครั้งมันเพิ่มมาจากไหน
“หลังจากที่ช่วยชีวิตนายจากทะเลสาบตอนนั้นแล้ว…อุ๊บ”
หัวหน้าทีมชาใช้มือปิดปากของกรรมการผู้จัดการคิมไว้
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
แม้หัวหน้าทีมชาจะพยายามแบ่งรับแบ่งสู้ แต่อีอูยอนกลับจับกลิ่นได้ว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่ตนไม่รู้แน่ๆ
“ที่ว่าไม่มีอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ คุณอินซอบช่วยชีวิตผมอีกตอนไหนเหรอ”
หัวหน้าทีมชาพูดว่า ‘ให้ตายสิ’ พลางจ้องมองกรรมการผู้จัดการคิม นี่เป็นเรื่องที่อินซอบมาหาพวกเขาหลังจากที่เกิดเรื่องนั้น และขอร้องให้พวกเขาช่วยปิดเป็นความลับกับอีอูยอน แต่กรรมการผู้จัดการคิมดันเผลอพูดออกมาเสียได้
“เขาช่วยชีวิตผมยังไงเหรอครับ”
อีอูยอนมองตรงไปที่กรรมการผู้จัดการคิมพลางเอ่ยถาม กรรมการผู้จัดการคิมเกาหัวและพูดว่า ‘ช่างแม่ง’ ก่อนจะตอบ
“ที่นายรอดมาได้ก็เพราะตอนนั้นหลังจากดึงนายขึ้นมาจากน้ำแล้ว เด็กนั่นก็ช่วยผายปอดให้นายไงล่ะ หัวใจนายหยุดเต้นไปพักหนึ่งเลย คนในหน่วยกู้ภัยบอกว่าถ้าอินซอบไม่ปฐมพยาบาลให้ก่อนอย่างถูกต้อง ต่อให้จะดึงนายขึ้นมาจากน้ำแล้ว นายอาจจะตายก็ได้”
“แบบเม้าธ์ทูเม้าธ์น่ะเหรอครับ”
“ถ้าทำที่จมูกจะเรียกว่าผายปอดระ…”
เขาได้ยินเสียงดังตึงตังจากเตียงข้างๆ และเสียงอะไรบางอย่างล้มก่อนที่กรรมการผู้จัดการคิมจะพูดจบ ทันทีที่ทั้งสามคนเบนสายตาไปทางด้านข้าง พวกเขาก็เห็นว่ามีอะไรบางอย่างกำลังขยับอย่างเชื่องช้าอยู่ใต้ม่าน
อีอูยอนแกล้งทำเป็นตกใจและเปิดม่านออกทั้งหมดพลางส่งเสียงดัง
“คุณอินซอบตื่นแล้วเหรอครับ”
“…อ๊ะ!”
ชเวอินซอบที่นอนหมอบคว่ำอยู่บนพื้นรีบเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันหมดแล้วจากสภาพของอีกฝ่ายที่ตัวเห่อแดงตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงใบหู อีอูยอนลงไปยืนบนพื้นและช่วยพยุงอินซอบขึ้นมาด้วยสีหน้าที่จงใจทำเป็นไม่รู้อะไรเลย
“กลิ้งตกลงมาจากเตียงเหรอครับ”
“…ครับ”
แม้จะตอบไปแล้ว แต่อินซอบก็ยังคงขยับลูกตาที่กลมโตนั่นไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก
“ตรงที่บาดเจ็บไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ ผมเป็นห่วงมากเลย”
อีอูยอนพยุงตัวของอีกฝ่ายขึ้นและช่วยให้นอนลงบนเตียงก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน ท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปจนยากที่จะเชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกับผู้ชายที่พูดว่าจะฝังพวกชนชาติโชซอนพวกนั้น หรือประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่มีทิวทัศน์งดงามเพราะมีภูเขาเยอะเมื่อสักครู่นี้
“มะ ไม่เป็นไรแล้วครับ”
อินซอบที่นอนอยู่บนเตียงเอาผ้าห่มมาห่มตัวอย่างเชื่องช้า อีอูยอนมองอีกฝ่ายที่แม้แต่มือที่กำลังจับปลายผ้าห่มอยู่ก็แดงไปด้วยพลางกลั้นหัวเราะ
“หมอบอกว่าคุณไม่เป็นอะไรนอกจากนิ้วหักครับ คุณนอนที่โรงพยาบาลสักคืนแล้วค่อยออกจากโรงพยาบาลก็ได้ถ้าคุณต้องการ”
อินซอบที่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มตอบว่า ‘ผมจะออกจากโรงพยาบาลครับ’ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา
“ค่อยไปตอนน้ำเกลือหมดก็ได้ครับ รบกวนคุณหัวหน้าทีมช่วยไปจ่ายเงินค่ารักษาให้ทีนะครับ”
หัวหน้าทีมชาเหลือบมองอินซอบครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น แม้แต่จะถามอินซอบที่ไม่รู้ทำไมถึงต้องมาได้สติตอนที่พวกเขากำลังคุยเรื่องนั้นกันอยู่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เขาก็ยังไม่สามารถทำได้
อีอูยอนยืนอยู่ข้างเตียงที่อินซอบนอนอยู่และพูดอย่างอ่อนโยน
“คุณอินซอบไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนนอกจากนิ้วใช่ไหมครับ”
“ผมไม่เป็นไรคะ…ครับ”
อีกฝ่ายดูน่าสงสารเพราะตัวสั่นงกๆ อยู่ใต้ผ้าห่ม อีอูยอนใช้มือจับผ้าห่มและเปิดมันออก
“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ”
ทันทีที่เครื่องป้องกันที่ทำด้วยผ้าห่มหายไป อินซอบก็ถลึงตาและทำหน้าตกใจ อีอูยอมเอื้อมมือออกไปแตะหน้าผากของอินซอบ
“มีไข้นิดหน่อยนะครับ อยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสองสามวันดีไหมครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็มีห้องพักฟื้นแล้วครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมจะออกจากโรงพยาบาลครับ”
อินซอบมองน้ำเกลือที่เหลืออยู่ไม่มากเท่าไรอย่างวุ่นวายใจและกระสับกระส่าย ใจเขาอยากจะดึงสายน้ำเกลือและอะไรต่อมิอะไรออกแล้ววิ่งออกไปทั้งๆ แบบนี้เลย
“จ่ายเงินเสร็จแล้ว ถ้าน้ำเกลือหมดก็กลับได้แล้วล่ะ”
หัวหน้าทีมชาโบกใบเสร็จในขณะที่เดินเข้ามา สายตาของผู้ชายทั้งสี่คนจ้องไปที่ขวดน้ำเกลือกันเป็นตาเดียว อีอูยอนกอดอกและมองภาพที่น้ำเกลือค่อยๆ หยดลงมาอย่างพอใจในขณะที่รอ หัวหน้าทีมชาและกรรมการผู้จัดการคิมทำหน้าเสียใจ และอินซอบก็ขบริมฝีปากด้วยสีหน้าเหมือนกับนักโทษประหารที่รอการตัดสินประหารชีวิต
ในที่สุดน้ำเกลือหยดสุดท้ายก็ไหลลงมาตามสายยาง อีอูยอนยกมือเรียกพยาบาลขอให้เธอมาทางนี้
“งั้นตอนนี้เราก็ไปกันเถอะครับ”
ชเวอินซอบคิดว่าไม่รู้ทำไมคำพูดนั้นถึงทำให้เขารู้สึกกังวลอย่างนี้พร้อมกับหลับตาลง
***