ทันทีที่อินซอบจ้องหน้าอีอูยอนที่กำลังหลับตาอยู่ตรงหน้าตน เขาก็รู้สึกว่าหัวใจที่เขาทำให้สงบลงไปได้อย่างยากเย็นกำลังเต้นตึกตักๆ เหมือนจะเป็นบ้า
เขาเคยจินตนาการไปเรื่อยว่าถ้าได้จูบกับอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรในค่ำคืนที่แสนอบอุ่นอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าเขาเคยจินตนาการถึงสัมผัสของริมฝีปากของอีกฝ่ายและหน้าแดงอยู่คนเดียวด้วย
แม้เขาจะเคยแตะริมฝีปากของอีกฝ่ายในตอนที่ผายปอดให้อีอูยอนที่เขางมขึ้นมาจากทะเลสาบ แต่เขาไม่สามารถคิดถึงเรื่องจูบ หรือสัมผัสของริมฝีปากนั้นได้ในช่วงเวลาที่คับขันแบบนั้น แม้หน้าของเขาจะร้อนขึ้นมานิดหน่อยในตอนที่เขานึกถึงภาพนั้นในหัวคนเดียวก็ตาม
แต่อีอูยอนก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสัมผัสนั้นเหมือนกัน และตอนนี้เขากำลังจะทำให้ความทรงจำใหม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเกิดขึ้นมา
ชเวอินซอบค่อยๆ ยื่นหน้าไปด้านหน้าพร้อมกับก้มตัวลง เขาอยู่ในระยะที่เกือบจะโดนสันจมูกเป็นคมของอีอูยอนที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดเสียวแล้ว
ตายแน่ๆ เขารู้สึกว่ามันไม่เป็นความจริง เพราะอีกฝ่ายหล่อมากๆ สถานการณ์ทั้งหมดตอนนี้ก็เหมือนกัน เขารู้สึกว่าวันนี้เขากำลังฝันอยู่ทั้งวัน
เขายื่นริมฝีปากไปข้างหน้าอีกนิด ทั้งตัวของเขาสั่นระริก นี่เป็นระยะที่ใกล้จนลมหายใจของอีอูยอนโดนริมฝีปากของเขาเองเลยด้วยซ้ำ อีกนิดสิ อีกนิด
ปลายริมฝีปากสัมผัสอย่างเฉียดฉิวเพียงครู่เดียว แม้จะเป็นการสัมผัสที่เล็กน้อยและบางเบา แต่แค่นี้ก็เกือบทำให้ชเวอินซอบตายอยู่ตรงนี้แล้ว
พระเจ้าช่วย แบบนี้หัวใจเราคง…
ในตอนนั้นเองอีอูยอนก็ลืมตาขึ้นมา
“…!”
“ผมล้อเล่นน่ะครับ คุณอินซอบนี่ล้อเล่นด้วยไม่ได้เลยนะครับเนี่ย แต่ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย มากกว่านี้คงไม่ได้แล้วครับ”
เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปลายริมฝีปากแตะโดนกันไปแล้วหรือยัง อีอูยอนจึงพูดล้อเล่นต่อ
“ขอโทษนะครับ คุณอินซอบก็ไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนกัน คุณคงจะลำบากใจใช่ไหมครับ”
“…”
“โอเคครับ ผมเชื่อคุณ ผมจะเชื่อคำที่คุณอินซอบพูดครับ ฮ่าๆๆๆ”
อีอูยอนทำตาโค้งอย่างอ่อนโยนและยิ้มกว้าง เป็นการแสดงออกที่บอกว่าเขาสนุกกับสถานการณ์นี้มาก
แต่วินาทีนั้นอินซอบรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นๆ สาด เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้เปิดเผยความรู้สึกต่อหน้าอีอูยอนไปแล้ว
“คุณอินซอบก็ล้อเล่นใช่ไหม…?”
อีอูยอนก้มลงมองใบหน้าของอินซอบที่ไหล่กำลังสั่นเบาๆ
“ร้องไห้เหรอครับ”
“…”
“คุณกำลังร้องไห้เหรอครับ คุณอินซอบ?”
อินซอบอยากจะปฏิเสธว่าเปล่า แต่น้ำตากลับหยดลงมาตามคางของเขาแล้ว
แม้จะแค่ครู่เดียว แต่เขาก็เกลียดตัวเองเหลือเกินที่หวั่นไหวกับคำพูดล้อเล่นที่อีอูยอนพูดออกมาอย่างสบายๆ เขาอยากตาย เขารู้สึกทั้งอับอายและขายขี้หน้า
“…ขอตัวนะครับ”
คราวนี้อีอูยอนจับแขนของอินซอบที่กำลังจะลุกขึ้นไว้ อินซอบเกร็งแขนเพื่อที่จะสะบัดออก ปลายนิ้วของเขากระแทกโซฟาก่อนที่เขาร้องออกมาโดยไร้เสียงพร้อมกับคู้ตัวลงไป
“…!”
“ขอโทษครับคุณอินซอบ”
อีอูยอนรีบจับให้เขาลุกขึ้นพร้อมกับสังเกตใบหน้าของอีกฝ่าย
“มือกระแทกเหรอครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมจะกลับบ้านครับ”
น้ำตาของเขาไหลไม่หยุด เขาเละเทะมาก ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าเขาอายเพราะตัวเองร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายคนนี้อีกแล้ว หรืออายที่ตัวเองหลงกลให้กับคำพูดเล่นนั้นจนยื่นหน้าเข้าไปหาในขณะที่ตัวสั่นกันแน่
ชเวอินซอบแค่อยากกลับบ้าน เขาทั้งเจ็บนิ้วที่หัก รู้สึกคลื่นไส้ และหน้าก็แดงด้วย…เขาเกลียดตัวเอง
เขาเบื่อความโง่ของตัวเองที่ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปี ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่โดยไม่สามารถเรียนรู้อะไรเลย เขาอยากหยุด ขืนอยู่ข้างๆ อีอูยอนแบบนี้ต่อไป เขาอาจจะพบจุดจบแบบไหนก็ได้
อย่าว่าแต่ข้อเสียของอีอูยอนเลย เผลอๆ ตัวเขาเองที่ไร้ความสามารถอาจจะตกหลุมรักอีกฝ่ายอีกครั้ง เพราะขุดเจอแต่ข้อดีของอีกฝ่ายในระหว่างที่ตนคอยดูแลฝ่ายนั้นก็เป็นได้ โง่ โง่ที่สุดในโลก ขอโทษนะเจนนี่ ฉันเป็นคนโง่ที่เลวมากกว่าที่คิดซะอีก
“ผมคงล้อเล่นแรงเกินไป แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีนะครับ”
อีอูยอนใช้มือลูบใบหน้าของอินซอบที่น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ พร้อมกับขอโทษอย่างอ่อนโยน
นั่นเป็นความจริง
มันเป็นคำพูดล้อเล่นที่เขาพูดออกไปเพื่อความสนุกเท่านั้น ความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่นอกเหนือความสนใจของเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และเขารู้อยู่แล้วว่าคำพูดที่อินซอบพูดกับตนนั้นมาจากใจจริงๆ เขาเพียงแต่อยากจะแกล้งอีกฝ่าย อยากจะทำให้อีกฝ่ายเป็นทุกข์ อยากเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่ทำตัวไม่ถูกเพราะตนอีกครั้งก็เท่านั้น
แม้ชเวอินซอบจะกัดริมฝีปาก และพยายามกลั้นน้ำตา แต่น้ำตาของเขากลับไหลออกมาเป็นสายทันทีที่มันเอ่อขึ้นมาในดวงตา
อีอูยอนมองและคิดว่าอีกฝ่ายร้องไห้ได้สวยมาก ในชีวิตนักแสดงเขาได้เจอกับนักแสดงผู้หญิงหลายคน และเขาก็ได้เห็นการแสดงฉากร้องไห้ของพวกเธอมามาก ซึ่งในบรรดาคนพวกนั้นมีนักแสดงหญิงที่ได้รับคำชมว่าใบหน้าตอนร้องไห้สวยกว่าตอนยิ้มอยู่ด้วย
แต่ภาพของชเวอินซอบที่เม้มปากและร้องไห้โดยไม่มีเสียงนั้นสวยกว่าพวกหล่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้อีกฝ่ายจะมีหน้าตาธรรมดาที่ออกจะหวานอยู่เล็กน้อยในเวลาปกติ แต่พอเห็นภาพที่อีกฝ่ายกำลังร้องไห้แล้ว อินซอบกลับดูสวยจนน่าประหลาดใจ
มีคนที่ร้องไห้ด้วยสีหน้าแบบนี้ด้วยเหรอ
อีอูยอนใช้มือเชยคางอินซอบขึ้นมา เขาค่อยๆ พิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายพลางคิดแบบนั้น
บอกตามตรงว่าการที่จะให้เขามองใบหน้าที่ร้องไห้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้แย่อะไร ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสาร เขาเป็นคนที่ยอมนิ้วหักเพื่อช่วยเราวันนี้เลยนะ พอเท่านี้แล้วกัน
“ผมเชื่อแล้วครับว่าคำพูดที่คุณอินซอบพูดนั้นจริงใจ เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้เลยนะครับ”
อีอูยอนดึงไหล่อินซอบเข้ามากอด ชเวอินซอบผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจ แต่อีกคนกลับเพิ่มแรงที่มือซึ่งจับอยู่ที่ไหล่ จากนั้นก็เอาหัวมาซบไหล่อินซอบ และใช้มืออีกข้างตบหลังเขาเบาๆ
“อย่าร้องไห้นะครับ นะ ผมรู้สึกผิดจริงๆ ครับ”
“…”
“ผมไม่ดีเองครับคุณอินซอบ”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังอยู่บริเวณไหล่เคลื่อนลงมาตามแนวกระดูกสันหลังและทิ้งความรู้สึกนั้นไว้ช่างฟังดูไม่สมจริง อินซอบจึงร้องไห้อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ อีอูยอนปลอบอินซอบช้าๆ และแผ่วเบาว่า ‘อย่าร้องไห้เลยครับ’ ‘ทำไมถึงร้องไห้ด้วยเรื่องแบบนี้ล่ะ’ ‘ผมเป็นคนไม่ดีเองครับ’ ‘ขอโทษนะครับ’ ‘ผมจะไม่แกล้งคุณแล้ว’ ‘ผมขอโทษนะครับที่ทำให้ผู้มีพระคุณในชีวิตผมร้องไห้’ อยู่อย่างนั้นแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่พูดเรื่องแบบนี้กับคนที่กำลังร้องไห้”
ธารน้ำตาที่แห้งไปอย่างยากลำบากกลับมาใหญ่ขึ้นอีกครั้งด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องน่ากลัวอะไรอีก ถ้าเป็นไปได้อินซอบก็อยากจะปิดหูไว้
อีอูยอนที่หยุดนิ่งไปพักหนึ่งพูดต่อ
“คุณจะเซ็นสัญญากับผมอีกครั้งได้ไหมครับ”
***
“เฮ้อ-”
“ถอนหายใจอะไรขนาดนั้นล่ะ กังวลอะไรหรือเปล่าคุณอินซอบ”
หัวหน้าทีมชาที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งของคนขับรถเพราะจะไปซื้อน้ำที่ร้านสะดวกซื้อหันมามองอินซอบพลางเอ่ยถาม
“เปล่าครับ”
“โอ๊ย แต่ความกังวลเต็มหน้าเลยนะ”
“ไม่มีความกังวลเลยครับ”
อินซอบพูดแบบนั้นพลางใช้ฝ่ามือถูหน้าเบาๆ แม้จะตอบไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้เขากำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลของความกังวล
เรื่องที่อีอูยอนถามตนว่าจะทำสัญญาระยะยาวกับอีกฝ่ายได้ไหมในวันนั้นติดอยู่ในใจของอินซอบเหมือนหินก้อนใหญ่ ถึงเขาจะตั้งความหวังดูว่าอีกฝ่ายอาจจะพูดไปตามมารยาทเพื่อปลอบเขา เพราะรู้สึกผิด แต่ในตอนที่กรรมการผู้จัดการคิมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ห้องทำงานในวันรุ่งขึ้น อินซอบก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดจริง
ระยะเวลาที่เขาทำสัญญาในตอนที่เข้ามาทำงานที่บริษัทคือหนึ่งปี มันเป็นระยะเวลาสัญญาที่เกือบจะไม่ต่างอะไรกับตำแหน่งชั่วคราว แต่อินซอบก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเขาอาจจะทนได้แค่ไม่กี่เดือน แต่ในกระดาษที่กรรมการผู้จัดการคิมยื่นให้เขามีตัวเลขที่เขาไม่อยากจะเชื่อเขียนเอาไว้ว่าตั้งสามปี
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อีอูยอนบอกว่าจะทำสัญญาอย่างเป็นทางการกับผู้จัดการส่วนตัวด้วยตนเอง กรรมการผู้จัดการคิมก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันในขณะที่อีกฝ่ายยื่นเอกสารสัญญาให้ เงื่อนไขในสัญญานั้นดีมาก เป็นเอกสารสัญญาในฝันที่บอกว่าจะให้เงินโบนัสจำนวนมากพร้อมกับประกันชีวิตถึงสี่เท่ารวมไปถึงการรับประกันค่าใช้จ่ายในช่วงลาพักร้อนด้วยด้วย
แต่อินซอบกลับไม่สามารถเซ็นชื่อลงไปในนั้นได้ในทันที ระยะเวลาสามเดือนที่ตนเคยคิดเอาไว้เหลืออีกไม่มากแล้ว และเขาก็วางแผนว่าถ้าเขาไม่สามารถหาจุดอ่อนของอีอูยอนเจอได้ในระยะเวลานั้น ตนก็จะส่งรูปเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของเขากับพวกผู้หญิงไปให้หนังสือพิมพ์ และจะออกจากประเทศเกาหลีไปเงียบๆ
แต่จู่ๆ ก็ได้สัญญาสามปีอย่างกะทันหันเนี่ยนะ
ชเวอินซอบว่า ‘ผมขอลองคิดดูก่อนครับ’ พร้อมกับยื่นเอกสารสัญญาคืนให้กรรมการผู้จัดการคิมเงียบๆ หัวหน้าทีมชาที่จับตามองอยู่ข้างๆ ก็สั่งให้เขาคิดดูให้ดี และได้รับสายตาจากกรรมการผู้จัดการคิม
ตอนนั้นอีอูยอนที่นั่งอย่างหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบโต๊ะก็แย้มยิ้มพลางเอ่ยพูด ‘ผมก็ต้องรับผิดชอบที่คุณอินซอบช่วยชีวิตผมไว้สอง ไม่สิ ตั้งสามครั้งสิครับ’
และความรู้สึกผิดที่คิดว่าเขาไม่ควรช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้หรือเปล่าก็ซัดเข้ามาเหมือนกับน้ำทะเลที่กำลังขึ้น แม้เขาจะรู้ว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้เขาก็ยังจะทำแบบเดิม แต่ตอนนี้เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“เฮ้อ…”
ทันทีที่อินซอบถอนหายใจ หัวหน้าทีมชาก็แอบดูท่าทีของเขา และเปิดฝาขวดน้ำแร่ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อยื่นให้อินซอบ
“แล้วมือหายดีหรือยัง ต้องไปโรงพยาบาลอีกเมื่อไหร่ล่ะ”
“อีกสิบห้าวันถึงจะต้องไปดูอาการอีกทีครับ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หมอก็ให้ผมใส่เฝือกไว้อย่างนี้ก่อนครับ”
“โล่งอกไปทีนะ”
หัวหน้าทีมชาพูดอย่างนั้นพลางยื่นน้ำให้กับอีอูยอนที่อยู่ด้านหลัง อีอูยอนใช้สองมือรับน้ำมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เมื่อความเห็นที่ว่า ‘ต่อให้ตายแล้วฟื้น ผมก็จะไม่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนอีกแล้ว’ ‘แล้วนายจะให้คนที่แขนทั้งสองข้างบาดเจ็บทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวได้ยังไงหา?’ ‘ผมไม่อยากได้ผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นที่ไม่ใช่ชเวอินซอบ’ และ ‘…ผมลองทำดูก่อนก็ได้ครับ’ รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว หัวหน้าทีมชาจึงตัดสินใจยอมเป็นโร้ดเมเนเจอร์ให้กับอีอูยอน งานที่เขาทำมีแค่การขับรถ หรืองานที่ต้องใช้แรงงานเท่านั้น ส่วนการปรับตารางงาน หรือการดูแลอีอูยอนอย่างละเอียดนั้น ชเวอินซอบเป็นคนทำเหมือนกับก่อนหน้านี้
หัวหน้าทีมชาจับพวงมาลัยหลังจากให้สัญญากับกรรมการผู้จัดการคิมว่าตนจะทำงานหนักเหมือนเป็นคนขับรถแทนเท่านั้น อันที่จริงเขาทำงานอย่างสบายใจมากๆ เพราะเขาไม่สนใจอะไรก็ได้นอกจากการขับรถ แต่แน่นอนว่าเขาวางแผนจะใช้เรื่องนี้รีดไถโบนัสพิเศษจากกรรมการผู้จัดการคิม
หัวหน้าทีมชาที่อารมณ์ดีเพราะคิดถึงโบนัสฮัมเพลงพร้อมกับเปิดวิทยุ อีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่ด้านหลังนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ชเวอินซอบรีบปิดวิทยุพร้อมกับส่ายหัว
อีอูยอนไม่ชอบให้เปิดวิทยุหรือพูดคุยด้วยตอนที่เขากำลังอ่านบท ด้วยเหตุผลที่ว่ามันจะรบกวนการใช้สมาธิของเขาถ้าหากมีเสียงคนเข้ามาแทรก หัวหน้าทีมชาที่ไม่รู้ถึงเหตุผลนั้นถามว่า ‘มีอะไรเหรอ’ อย่างคนที่ไม่สังเกตบรรยากาศ และเปิดวิทยุขึ้นมาอีกครั้ง
หัวหน้าทีมชาฮัมเพลงทันทีที่เสียงเพลงแดนซ์ที่ดังตึงตังดังออกมาจากวิทยุก่อนจะเริ่มขับรถ อีอูยอนเพียงแค่เหลือบศีรษะด้านหลังของหัวหน้าทีมชาและไม่พูดอะไร
“เปิดซีดีที่ผมเอามาได้ไหมครับ”
“อ้อ ตามสบายเลย”
อินซอบเปิดลิ้นชักหน้ารถและหยิบซีดีออกมาฟังเพลง มันเป็นซีดีที่เขาเลือกเพลงต่างๆ ที่อีอูยอนชอบมาอัดเก็บไว้ หัวหน้าทีมชาทำเสียงไม่พอใจพลางบ่นพึมพำทันทีที่เพลงเบาๆ ดังขึ้นในรถตู้
“ความรู้สึกที่อยากจะขับรถของฉันไม่ออกมาหรอกนะ ถ้าฟังเพลงแบบนี้ตอนขับรถน่ะ รสนิยมของคุณอินซอบนี่พิเศษจริงๆ ผู้ชายอะไรจะมาฟังเพลงแบบนี้”
ชเวอินซอบยิ้มเจื่อนพลางสังเกตท่าทางของอีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลัง อีอูยอนไม่ได้เบนสายตามาทางนี้และอ่านบทต่อไป เพราะอีกฝ่ายคงไม่คิดที่จะสนใจหัวหน้าทีมชาตั้งแต่แรกแล้ว นี่เป็นบรรยากาศที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับการที่อีกฝ่ายพูดนั่นพูดนี่กับอินซอบในตอนที่อยู่บนรถตู้ด้วยกันตามลำพัง ดูเหมือนคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าดวงของหัวหน้าทีมชากับอีอูยอนไม่ค่อยสมพงศ์กันจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว