อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าในระหว่างที่ลงจากรถไฟใต้ดินมารอรถเมล์ระยะใกล้ พอมองนาฬิกาแล้วเขาก็เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาที่บ้านของเขาที่อเมริกากำลังเตรียมกินข้าวเช้า ถึงวันนี้จะไม่ใช่วันที่เขาสัญญาว่าจะโทรศัพท์ไป แต่เขาก็ยังต่อสายไปอยู่ดี หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่ไม่กี่ครั้ง เสียงของแม่ที่ยังไม่ตื่นนอนดีก็ดังออกมาจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์
[ปีเตอร์เหรอ]
“…”
วินาทีที่ได้ยินเสียงของแม่ ความอุ่นร้อนก็ตีตื้นขึ้นมาตามลำคอ
[ปีเตอร์? ปีเตอร์? ลูก ได้ยินไหม]
“ได้ยินครับ”
เขาตอบกลับไปอย่างยากลำบาก
[ตกใจหมดเลย ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ดึกแล้วไม่ใช่เหรอ งานเหนื่อยหรือเปล่า กินข้าวครบทุกมื้อไหม]
อินซอบนึกถึงเนื้อหาในนิตยสารที่เขาสมัครสมาชิกไว้เพื่อเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมเกาหลีก่อนหน้านี้ ในนิตยสารเขียนไว้ว่า ‘กินข้าวหรือยัง เป็นคำถามที่แม่ชาวเกาหลีมักจะถามเวลาคุยโทรศัพท์กับลูก คำถามเหล่านั้นไม่ได้มีแค่ตอนกินข้าวเท่านั้น แต่ยังมีการถามว่าดึกหรือรุ่งสางแล้วไม่ใช่เหรอเหมือนเป็นการกล่าวคำทักทายอีกด้วย’
ชเวอินซอบคิดว่านั่นไม่ใช่วัฒนธรรมของเกาหลีอย่างแน่นอน แม่ของเขามักจะถามเขาอย่างเป็นห่วงทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กันว่าช่วงนี้เขากินอะไร เขาสบายดีไหม หรือว่าเขากินอาหารครบทุกมื้อหรือเปล่า อินซอบตอบว่า ‘แน่นอนสิครับ’ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์
[ว่าแต่ทำไมถึงโทรมาตอนนี้ล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า]
“เปล่าครับ ผมสบายดี ผมโทรมาเพราะอยากได้ยินเสียงเฉยๆ”
อินซอบบอกว่าจะโทรศัพท์มาหาแค่สามวันครั้ง และเขาจะไม่ทำมากกว่านั้นหลังจากที่มาที่เกาหลี แม้เขาจะสัญญากับพ่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นกฎที่เขาตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง เพราะถ้าเขาโทรศัพท์ไปหาบ่อยๆ มันจะทำให้เขาใจไม่แข็งพอ
[ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม]
แม่ถามอย่างเป็นห่วง เพราะสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของลูกชายไม่ค่อยดี
“ไม่มีเรื่องอะไรเลยครับ แล้วทุกคนสบายดีไหม”
[แน่นอน พ่อนอนอยู่ข้างๆ เนี่ย จะคุยกับพ่อไหมล่ะ]
“ไม่ล่ะครับ พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ผมจะต้องโทรหาอยู่แล้ว ไว้ค่อยคุยตอนนั้นก็ได้ครับ ผมโทรมาเพราะ…อยากได้ยินเสียงแม่เฉยๆ”
แม้จะไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่อินซอบก็ไม่เคยคิดว่าแม่ของตนไม่ใช่แม่แท้ๆ เลยสักครั้ง เธอรักและปฏิบัติกับอินซอบและลูกที่เธอคลอดออกมาเองอย่างเท่าเทียมกัน การมีอยู่ของแม่เป็นเหมือนเครื่องปลอบใจอินซอบในตอนนี้
“แม่ครับ”
อิยซอบหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูด
“ผมจะได้กลับไปที่อเมริกาอีกไหมครับ”
[แน่นอนสิ ก็บ้านของลูกอยู่ที่นี่นี่นา ถ้าอยากมาก็กลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ มาได้ทุกเมื่อเลย]
น้ำตาที่อินซอบกลั้นไว้อย่างยากลำบากค่อยๆ ไหล เพราะน้ำเสียงที่อบอุ่นของแม่ ที่ที่เขาถูกต่อยเจ็บแปลบและปวด เขาไม่สามารถทนได้เพราะมันปวดมากๆ เขาอยากจะวิ่งไปที่สนามบินอินชอนและซื้อตั๋วเครื่องบินกลับอเมริกาซะเดี๋ยวนี้เลย
คนที่กำลังรอรถเมล์อยู่ข้างๆ เหลือบมองและจ้องอินซอบ มันต้องดึงดูดสายตาคนอยู่แล้วล่ะ เพราะผู้ชายที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วกำลังร้องไห้
[ถ้าเหนื่อยก็กลับมาตอนนี้เลย ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม]
“ผมต้องไปแล้วครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะโทรหาใหม่นะครับ รักนะครับ”
อินซอบบอกลาก่อนจะกดวางโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ถ้าคุยโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ เขาอาจจะร้องไห้งอแงพร้อมกับพูดเรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ออกมาจนหมดเลยก็ได้
ไม่ได้ ทำใจให้สงบซะ วันนี้เรากลับไปที่บ้าน อาบน้ำอุ่นๆ รดน้ำให้เคทจากนั้นก็อ่านหนังสือที่ชอบกันเถอะ ถ้าทำแบบนั้นความรู้สึกก็จะดีขึ้นเอง
“ดีแล้ว เราจะต้องไม่เป็นอะไร”
อินซอบใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋า
“อะ…”
เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองเอากุญแจรถตู้กลับมาด้วย หัวหน้าทีมชาต้องการกุญแจเพื่อที่จะมาเอารถตู้ในวันพรุ่งนี้ เขาจะต้องฝากมันไว้ที่ป้อนยามของลานจอดรถ แต่เขาดันรีบร้อนออกมาจนหยิบติดมือมาด้วย
ชเวอินซอบลุกขึ้นและเดินไปที่ทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าอีกครั้ง เขาเดินกลับไปตามทางที่มาพร้อมกับคิดว่าเขาจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี
ตามที่วางแผนไว้เขาจะต้องโดนไล่ออกในอีกครึ่งเดือน และเอาข่าวคาวๆ ของอีอูยอนกลับไปที่อเมริกา และหลังจากที่กลับไปแล้วเขาจะต้องส่งจดหมายสนเท่ห์ให้กับหนังสือพิมพ์จากที่นั่น เขาตั้งใจว่าจะจบทุกอย่างให้ได้ในนั้น แต่มาตอนนี้เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการระยะเวลาสามปีกับอีอูยอนดีไหม เขาไม่มีความมั่นใจพอที่จะทนอยู่ข้างๆ อีอูยอนได้นานขนาดนั้น
แล้วต้องทำยังไงล่ะ ถ้ากลับไปแบบนี้ เขาก็ไม่มีหน้าจะไปเจอเจนนี่ เขาไม่มีความมั่นใจที่จะอยู่ข้างๆ อีอูยอน และเขาก็คิดถึงครอบครัวด้วย เขาอยากพึ่งพิงใครสักคน หัวใจของเขาค่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ
“กลับไปเลยดีไหมนะ…”
อินซอบลองบ่นเบาๆ ในขณะที่เดินผ่านช่องแตะตั๋วของรถไฟฟ้า
ใจที่อยากจะกลับอเมริกานั้นเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งระดับหลังจากได้ยินเสียงของแม่ อินซอบนึกถึงหลักฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์เรื่องผู้หญิงที่ซับซ้อนของอีอูยอนที่ตนมี ถ้าเขาส่งของพวกนั้นให้กับหนังสือพิมพ์ มันก็จะเป็นประเด็นไปพักใหญ่ๆ แต่มันไม่สามารถลากอีอูยอนออกมาจากอาชีพนี้ได้ วงการบันเทิงใจกว้างกับการมีแฟนของดาราผู้ชายชายต่างกับพวกดาราผู้หญิง ถ้าอีอูยอนจัดแถลงข่าวและบอกว่ามันเป็นการเข้าใจผิด เธอเป็นเพียงเพื่อนที่สนิทกันเท่านั้น มันก็จะเป็นประเด็นไปสักพัก แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไปโดยไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร เพราะอีอูยอนเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในด้านความสามารถ ไม่ใช่นักแสดงที่ขายภาพลักษณ์กิน
ชเวอินซอบถอนหายใจเบาๆ อีอูยอนที่เขาคอยดูแลอยู่ข้างๆ เป็นนักแสดงที่สมบูรณ์แบบ แม้เขาจะสามารถสร้างบาดแผลให้กับภาพลักษณ์ที่สุขุมและอ่อนโยนนั้นได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับได้ว่าตนไม่สามารถลากนักแสดงที่ชื่ออีอูยอนลงมาได้
เหตุการณ์ร้ายแรงใหญ่ๆ แบบไหนก็ได้ที่น่าจะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกรู้ว่าอีอูยอนเป็นไอ้คนชั่วจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งเดือนครึ่งไหมนะ
“เปอร์เซ็นต์ที่จะถูกหวยยังเยอะกว่าอีก”
ชเวอินซอบพึมพำขณะที่เดินอย่างไม่อาย เขานึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่พูดเหมือนกับปรับทุกข์ว่ามันยากมากที่จะหาคนที่เพียบพร้อมในการทำการตลาดเรื่องภาพลักษณ์ได้เท่ากับอีอูยอน แม้อีอูยอนจะสามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ เพราะยังไงเขาก็เป็นมนุษย์ แต่ปัญหาก็คือเปอร์เซ็นต์ที่มันจะเป็นจริงภายในหนึ่งเดือนครึ่งแทบจะเป็นศูนย์
“คงกลับบ้านไปแล้วมั้ง”
อินซอบหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา เขาได้ยินว่าการกินเลี้ยงจะเลิกไว เพราะพรุ่งนี้มีถ่ายกันตั้งแต่เช้ามืด บรรยากาศเหมือนกับพวกเขาจะเลิกเมื่อทุกคนกินอาหารและเหล้ากันอย่างพอประมาณแล้ว อันที่จริงเขาบอกว่าตนจะอยู่จนจบ แต่เพราะอีอูยอนบอกให้เขากลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาก็เลยทำได้แค่ออกมาจากรถ
ถ้าเขากลับไปถึงหลังจากที่ทุกคนกินเสร็จแล้วก็คงดี เพราะเขาไม่อยากเจอทั้งคังยองโมและผู้จัดการส่วนตัวของอีกฝ่าย แม้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเจอหน้ากันที่กองถ่าย แต่วันนี้เขาไม่อยากเจอโดยเด็ดขาด
อินซอบหวังว่าพวกเขาคงจะเลิกรวมตัวกันแล้วในขณะที่เดินไปตามทาง ร้านอาหารที่จัดงานเลี้ยงวันนี้อยู่ในพื้นที่ที่เงียบสงบที่ต้องเดินเข้าไปสักพักในย่านที่มีผู้คนคับคั่ง ยิ่งเขาเดินเข้าไปเท่าไร คนก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
“อยู่แถวๆ นี้หรือเปล่านะ”
ชเวอินซอบหันมองไปรอบๆ การหาทางโดยที่ไม่ค่อยมีป้ายที่ติดไฟเอาไว้ในที่มืดๆ แบบนี้ยากกว่าที่คิด เขามั่นใจว่าตรงนี้มีร้านดอกไม้กับร้านกาแฟตั้งอยู่ข้างกัน…
เขานึกถึงทางที่เข้ามาก่อนหน้านี้พร้อมกับพยายามมองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นรถเบนท์ลีย์สีเงิน พอดูป้ายทะเบียนก็พบว่ามันเป็นรถของคังยองโมจริงๆ
“…”
เขานิ่วหน้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อคิดว่าคังยองโมอาจจะอยู่แถวๆ นี้ แม้เขาจะอยู่มาได้ไม่นาน แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เขาเจอคนที่นิสัยแย่ขนาดนี้ ถ้างานของเขาคือการขุดคุ้ยข้อเสียของคังยองโมและบอกให้โลกรู้จะดีกว่าไหมนะ อย่าว่าแต่ระยะเวลาเป็นเดือนเลย เขาน่าจะรวบรวมหลักฐานได้เต็มที่ในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ
อินซอบคิดว่าคังยองโมจะอยู่ในรถหรือเปล่า และจงใจหมุนเท้าไปทางด้านในของซอยที่ไม่ใช่ทางด้านนั้น ถ้าไปทางนี้เขาจะต้องเดินไปอีกสักพักหนึ่ง แต่เขาก็คิดว่ามันดีกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับคังยองโมในที่ที่ไม่ค่อยมีคน
เขาเรียกว่าไม่ได้หลบขี้เพราะกลัว แต่หลบเพราะมันสกปรกหรือเปล่านะ
“คังยองโมเป็นขี้”
พอเขาพูดแบบนั้นออกมา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้น ชเวอินซอบพูดว่า ‘ขี้’ อีกสองสามครั้งในระหว่างที่เดิน พอได้พ่นคำพูดหยาบคายแบบนั้นออกมาคนเดียวในที่ที่ไม่มีใครแล้ว เขาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด ดูเหมือนคนจะพูดคำด่าออกมาเพราะมันได้รสชาติแบบนี้ล่ะมั้ง
“ไอ้เลว ไอ้ก้อนขี้คังยองโม…”
อินซอบที่กำลังจะพูดต่อได้เสียงอะไรบางอย่างแปลกๆ อินซอบหยุดอยู่กับที่และเงี่ยหูฟัง เพราะมันเหมือนกับเสียงร้องของสัตว์ เขาคิดว่าถ้ามันเป็นสัตว์ที่บาดเจ็บ เขาจะต้องช่วยพามันไปส่งที่โรงพยาบาล แต่แม้เขาจะหยุดยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก เขาก็ไม่ได้ยินเสียงร้องของสัตว์อีกแล้ว
“ฟังผิดหรือเปล่านะ”
อินซอบเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนทำท่าจะเดินต่อ เขาก็ได้ยินเสียงหนักๆ เหมือนอะไรบางอย่างหัก แล้วเขาก็ได้ยินเสียงร้องว่า ‘อ๊าก’ ตามหลังมาด้วย
มันไม่ใช่เสียงของสัตว์ แต่เป็นเสียงครวญครางของคน ทันทีที่รู้ความจริงนั้น เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครบางคนกำลังถูกโจรปล้นหรือเปล่า ถ้ามีคนบาดเจ็บที่ไหนจริงๆ จะต้องโทรเรียก 119[1] หรือเปล่านะ หรือว่า 112[2] ดี แต่คนอยู่ที่ไหนล่ะ เราจะต้องเรียกตำรวจก่อนหรือเปล่า
อินซอบควานหาโทรศัพท์มือถือ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถือไว้เพื่อจะได้โทรศัพท์หาตำรวจได้ทุกเมื่อถ้าเจอคนบาดเจ็บแล้ว จากนั้นก็มองไปรอบๆ ก่อนอื่นเขาจะต้องแน่ใจให้ได้ก่อนว่าเสียงมาจากตรงไหน
ตอนนั้นเองเขาก็เห็นว่าใครบางคนเดินออกมาจากซอกตึก ผู้ชายคนนั้นโยนอะไรบางอย่างที่ถือมาลงพื้น มันคือกระเป๋าสตางค์
โจรสินะ ตอนนี้เรากำลังเห็นการปล้นสินะ
อินซอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังรถโดยอัตโนมัติ เขาคิดว่าจะต้องถ่ายภาพของคนร้ายให้ได้ และยกมือถือขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา การใช้มือถือที่ปิดเสียงแฟลชตอนถ่ายรูปได้เพื่อแอบถ่ายอีอูยอนก็มีประโยชน์แบบนี้แหละ…
“…”
หลังจากใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพของผู้ชายคนนั้นไว้ได้ อินซอบก็ยืนค้างอยู่กับที่ ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นเดินออกมาจากเงาตึก ใบหน้าของเขาก็ถูกเปิดเผยท่ามกลางแสงจันทร์
อีอูยอนที่มีสีหน้าเย็นชาจนเขาคิดไม่ถึงในเวลาปกติกำลังยกมุมปากขึ้นและยิ้มอย่างพึงพอใจ
น่ากลัวมาก ภาพของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวต่างกับดวงตาที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลยนั้นผิดไปจากสิ่งที่เรียกว่าคนมาก
อินซอบตัวสั่นไปทั้งตัว ดูเหมือนผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้จะไม่ใช่อีอูยอนที่ตนรู้จัก อินซอบที่หลบอยู่หลังรถไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร เขามองภาพของอีอูยอนด้วยความหวาดกลัว
อีอูยอนหันไปมองรอบๆ สักพักก็ทำหน้าเหมือนคนที่กินอาหารที่ตนพอใจจนอิ่มแล้วก่อนจะเดินไปตรงท้ายซอย จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายห่างออกไปแล้ว อินซอบก็ยังไม่สามารถขยับได้
อินซอบเดินออกมาจากหลังรถอย่างระมัดระวังหลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าอีอูยอนหายไปแล้ว สิ่งที่ตกอยู่บนพื้นเป็นกระเป๋าสตางค์อย่างที่คิด อินซอบใช้แขนเสื้อปิดนิ้วเอาไว้ก่อนจะค่อยๆ หยิบมันขึ้นมา
ตัวเขาเองอาจจะได้ยินผิดก็ได้ อีอูยอนอาจจะเผลอโยนกระเป๋าสตางค์ของตัวเองทิ้งก็ได้…แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอีอูยอนใช้กระเป๋าสตางค์หนังสีดำไม่ใช่สีน้ำตาล มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะทิ้งกระเป๋าสตางค์ที่ตนไม่รู้จักเพราะเบื่ออยู่เหมือนกัน เขานึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ในหัว อินซอบไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองหวังให้กระเป๋าสตางค์ใบนี้เป็นของใคร เขาค่อยๆ ใช้มือที่สั่นเทาเปิดกระเป๋าสตางค์ออก ด้านในนั้นมีบัตรประชาชนอยู่อย่างที่คิด เขาหยิบบัตรประชาชนออกมาดู
เป็นใบหน้าที่เขารู้จัก
“อื้อ…”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากด้านในซอย แม้ไม่เห็นหน้าอินซอบก็รู้ว่าผู้ชายที่นอนอยู่ตรงที่ที่คนคนหนึ่งน่าจะเดินผ่านไปได้อย่างยากลำบากระหว่างซอกตึกคือใคร
“คังยอง…”
ก่อนที่จะเรียกชื่ออีกฝ่ายครบทุกพยางค์ อินซอบรู้แล้วว่าตนเองกำลังเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์อะไร แม้จะเห็นกับตาแต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาคิดว่านี่คือความฝันหรือเปล่า และไม่สามารถกะพริบตาได้ แต่ลมเย็นยะเยือกที่มากระทบหน้าก็ช่วยเรียกเขาให้กลับมาสู่ความจริง
ปลายนิ้วของเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นๆ ของโทรศัพท์
ชเวอินซอบกำลังกำจุดอ่อนของอีอูยอน
[1] 119 เบอร์หน่วยฉุกเฉินทางการแพทย์
[2] 112 เบอร์สถานีตำรวจ