แสงแดดอุ่นๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเหมือนน้ำผึ้ง ปีเตอร์ที่กำลังใช้ช่วงเช้าอันแสนขี้เกียจได้ยินเสียงคนวิ่งตึงตังขึ้นบันไดก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนแรง เจนนี่เปิดประตูออกกว้างด้วยสีหน้าตื่นเต้นก่อนที่รอยยิ้มจะหายไปจากปากของเขา
“ปีเตอร์!”
“ไม่เคาะประตูหน่อยเหรอ”
“ระหว่างเรายังจะต้องเคาะประตูอะไรกันอีกล่ะ แล้วตอนนี้เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาด้วย! ฉันมีเรื่องเจ๋งๆ จะมาบอก”
“เรื่องอะไรเหรอ”
ปีเตอร์ยันตัวขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆ พลางเอ่ยถาม แม้เมื่อคืนเขาจะไข้ขึ้นจนนอนหลับๆ ตื่นๆ แต่พอได้ยินเสียงที่สดใสของเจนนี่เขาก็รู้สึกดีขึ้น
“แท่นแท้น”
เธอหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋า
“นั่นอะไรน่ะ”
“คำตอบจากเจ้าชาย”
“ว่าไงนะ”
“ไม่เชื่อล่ะสิ ฮ่าๆๆๆ เพราะฉันเองก็ไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันตอนที่เห็นมันอยู่ในตู้เก็บของของฉันน่ะ”
เธอโบกซองจดหมายสีครีมไปมาพร้อมกับทำตาเป็นประกาย ปีเตอร์มองจดหมายที่เจนนี่ถือไว้ด้วยสีหน้าเหม่อยลอย
“ของจริงเหรอ”
“ช่าย อ่านด้วยกันไหม”
เธอนั่งลงตรงข้างเตียงก่อนจะกระแอม ปีเตอร์ถามอย่างตกใจ
“ยังไม่ได้แกะดูอีกเหรอ”
“อื้อ ฉันรออ่านพร้อมนายก็เลยยังไม่ได้แกะน่ะ มันมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ แต่เพราะนายอาการไม่ค่อยดีฉันก็เลยรอ เกือบตายแหนะ!”
“น่าชื่นชม น่าชื่นชม”
ปีเตอร์ชี้ไปที่โต๊ะก่อนจะพูดต่อ
“มีมีดที่ใช้เปิดซองจดหมายอยู่ในลิ้นชักตรงนะ…ใช้มือฉีกเลยสินะ”
เจนนี่ใช้มือฉีกรอยต่อของซองจดหมายพลางเอ่ยตอบ
“ความอดทนที่ฉันยังพอมีเหลือหายไปตอนขึ้นบันไดมาหมดแล้ว เอาล่ะ อ่านกันเลยไหม”
เจนนี่กางกระดาษจดหมายออกก่อนจะก้มลงอ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่ในกระดาษ
“ฉันอ่านจดหมายที่เธอเขียนให้อย่างดีเลย เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้จดหมายที่พิเศษอย่างนั้น แล้วก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่มีคนคิดแบบนั้นกับฉัน ฉันจะรอจดหมายฉบับต่อไปนะ ฟิลลิปของเธอ”
จดหมายสั้นมากๆ ทันทีที่เจนนี่อ่านจดหมายสั้นๆ นั้นจบ เธอก็ดิ้นไปดิ้นมาและชอบมันมาก
“เป็นไง เป็นไง ฟิลลิปของเธอล่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นฟิลลิปของฉัน เจ้าชายของเราเป็นของฉัน”
“เขาเขียนเองเหรอ”
“อื้อ ตัวหนังสือก็สวยมากด้วย”
เจนนี่ยื่นจดหมายให้ปีเตอร์ ปีเตอร์ขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง ในคาบเรียนการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาเกาหลีเมื่อไม่นานมานี้ ฟิลลิปถูกคุณครูขอให้เขียนกลอนลงบนกระดานดำ แม้จะไม่ได้พยายามที่จะทำแบบนั้น แต่ตอนนั้นปีเตอร์ก็มองลายมือของฟิลลิปและใช้สายตาจดจำเอาไว้
เขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็สามารถแยกได้แน่ๆ ถ้าเห็นลายมือที่สละสลวยนั่นอีกครั้ง
แต่ลายมือที่อยู่ในจดหมายที่เจนนี่ถือมาไม่ใช่ลายมือของฟิลลิปในตอนนั้น แม้ลายมือนี้จะสวยเหมือนกัน แต่ก็สวยเกินกว่าที่จะเป็นลายมือของผู้ชาย
ปีเตอร์เหม่อไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเจนนี่
“คือว่า นี่เป็นจดหมายที่ฟิลลิปเขียนเองจริงเหรอ”
“ใช่สิ ไม่งั้นใครจะเขียนล่ะ ตรงนี้มีชื่อของฟิลลิปเขียนไว้ด้วยเห็นไหม ฟิลลิป เลวิน”
“อืม แต่…ทำไมถึงเขียนด้วยภาษาอังกฤษล่ะ”
“เพราะที่นี้คืออเมริกาหรือเปล่า เขาอาจจะสะดวกใจกับภาษาอังกฤษมากกว่าก็ได้”
“อืม นั่นสินะ”
ทันทีที่เธอไม่ได้รับปฏิกิริยาที่หวังไว้จากปีเตอร์ หน้าของเจนนี่ก็นิ่งขึ้นมาในทันที
“ทำไม นายคิดว่านี่ไม่ใช่จดหมายที่เจ้าชายส่งมาเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“นายคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ฟิลลิปจะตอบจดหมายคนอย่างฉันใช่ไหม”
“เปล่านะเจนนี่ คือฉันจะบอกว่า…”
“พอกันที ฉันคิดว่ามีแต่นายที่จะดีใจกับฉันเสียอีก”
ทันทีที่เจนนี่หันหลังและส่งเสียงร้องไห้ ปีเตอร์ก็ลุกจากเตียงด้วยความมึนงง
“เปล่านะ คือฉันเคย…”
ปีเตอร์คิดจะเล่าทุกอย่างให้หมด เขาอยากบอกเธอว่าเขาเจอฟิลลิปที่การประชุมของสมาคมนักเรียนชาวเกาหลีโพ้นทะเล และที่ตนพูดแบบนั้นก็เพราะตนเคยเห็นลายมือของเขาที่นั่น เขาอยากจะขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับเธอก่อน ตอนนั้นเองเจนนี่ที่เขาคิดว่าร้องไห้อยู่ก็กางมือออกพร้อมกับแลบลิ้น
“โดนหลอกแล้ว!”
“เธอ…”
“ฉันได้รับจดหมายที่ล้ำค่าอย่างนี้จากเจ้าชายเชียวนะ นายคิดว่าฉันจะอารมณ์เสียกับเรื่องแค่นี้เหรอ ฮ่าๆๆ”
เจนนี่ยิ้มกว้างก่อนจะโบกจดหมายไปมา ไม่อยากจะเชื่อเลย ปีเตอร์ร้องโอดโอยก่อนจะทรุดนั่งลงที่ปลายเตียง ตอนนั้นเขารู้สึกเวียนหัว เพราะร่างกายเขายังไม่หายดี
“เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้านายดูไม่ดีเลย”
เจนนี่ก้มลงมองปีเตอร์พลางเอ่ยถามเหมือนเป็นห่วง ปีเตอร์ยิ้มอย่างอ่อนแรงก่อนจะส่ายหน้า
“ฉันเป็นอย่างนี้เพราะกินยาเข้าไปน่ะ แค่ง่วงนิดหน่อย”
“แล้วข้าวล่ะ”
“กินแล้ว เมื่อกี้นี้เอง”
“ฉันเป็นห่วงนะ แล้วที่โรงพยาบาลเขาว่ายังไงบ้าง”
“เหมือนจะต้องผ่าตัดนะ อาจจะต้องผ่าตัดใหญ่ เขาบอกว่าถ้าการผ่าตัดรอบนี้เป็นไปได้ด้วยดี ฉันก็จะสามารถวิ่งได้เหมือนคนอื่น ถึงเปอร์เซ็นต์ที่จะสำเร็จจะมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยก็ตาม”
“…อือ”
เจนนี่มองปีเตอร์อย่างเศร้าๆ เธอดีดนิ้วเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะเอ่ยพูด
“ใช่แล้ว นิยายที่ส่งให้สำนักพิมพ์เป็นยังไงบ้างล่ะ ยังไม่มีข่าวอีกเหรอ”
“ฉันลืมไปแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆๆ ยังไม่มีข่าวอะไรเลย ดูเหมือนจะส่งไปโดยเปล่าประโยชน์นะ”
เจนนี่ที่อ่านนิยายที่ปีเตอร์เขียนไว้ในสมุดโน้ตวิ่งเท้าเปล่ามาหาเขาในวันรุ่งขึ้น เธอเขย่าไหล่ปีเตอร์พร้อมกับพูดว่า ‘นายมันอัจฉริยะชัดๆ เก็บไว้อ่านสองคนมันน่าเสียดายจะตายไป นายลองส่งนิยายไปที่สำนักพิมพ์เดี๋ยวนี้เลยเถอะ’ แม้ปีเตอร์จะดีใจกับคำพูดของเธอ แต่เขากลับบอกว่า ‘คนอย่างฉันจะทำได้ยังไงล่ะ’ และไม่เห็นด้วยกับการส่งนิยายไปที่สำนักพิมพ์
แต่เจนนี่กลับยื่นนิยายของปีเตอร์ที่เธอพิมพ์ด้วยตัวเองให้เขา ปีเตอร์ได้รับความกล้าจากสิ่งนั้นและส่งต้นฉบับไปที่สำนักพิมพ์
“อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวเขาก็ติดต่อมา หรือถ้าสำนักพิมพ์นั้นตาถั่วจนไม่เลือกนิยายของนาย เราค่อยส่งไปที่อื่นกัน นายรู้หรือเปล่าว่าคุณป้าที่เขียน ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ โดนสำนักพิมพ์ปฏิเสธมากี่รอบ”
“นิยายของฉันจะไปเทียบกับเรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ”
“ในสายตาของฉันนิยายของนายสนุกกว่าเยอะเลย”
นิยายที่เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายที่เจอประตูเชื่อมต่อกับโลกอื่นในฝัน และฝันนั้นก็ส่งผลต่อความเป็นจริง ดำเนินเรื่องเหมือนเป็นความฝันตั้งแต่ต้นจนจบ วันนั้นเจนนี่กางหนังสือที่เธอคิดว่าจะลองอ่านฆ่าเวลาดูดีไหมและอ่านมันทั้งคืน เธอวิ่งมาหาปีเตอร์ทันทีที่สว่าง
“มันจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ๆ นายลองเขียนเรื่องอื่นต่อเรื่อยๆ สิ”
ปีเตอร์ยิ้มอายๆ เจนนี่จับมือเขาไว้และพูดต่อ
“มันจะต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ เพราะนายเป็นคนพิเศษ ฉันรู้”
“ขอบใจนะ ถ้าฉันประสบความสำเร็จล่ะก็ ฉันจะซื้อปราสาทสักหลังแล้วยกให้เธอเป็นพิเศษเลยชั้นหนึ่ง”
“จริงเหรอ ตายจริง อย่างนั้นฉันต้องบอกคุณป้าสเปนเซอร์แล้วสินะว่าฉันไปที่บ้านหลังนั้นไม่ได้แล้ว”
“ใช่ เธอจะต้องทำแบบนั้นนะ”
คนทั้งคู่หัวเราะอย่างไม่มีสาระ เสียงแหบแห้งของผู้หญิงที่ตามหาเจนนี่ตรงข้างบ้านดังไปทั่ว เจนนี่ถอนหายใจ
“ฉันไปก่อนนะ”
เจนนี่บอกลาปีเตอร์ ปีเตอร์โบกมืออย่างไม่มีแรง
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
หลังจากที่เจนนี่ออกไป ปีเตอร์ก็นอนอยู่บนเตียงสักพัก ตาที่ปิดสนิทของเขาแห้ง เพราะไข้ยังไม่ลดดี พอเขานึกถึงจดหมายรักที่มาจากฟิลลิป ปีเตอร์ก็หัวเราะขึ้นมา
ปีเตอร์นึกถึงตอนที่เขาเขียนจดหมายแทนเจนนี่ ตอนที่เขาเลือกกระดาษเขียนจดหมายสีส้มเจนนี่ถามว่ามันไม่สะดุดตาไปสำหรับจดหมายรักเหรอ แต่ทันทีที่เขาตอบว่าสีส้มเป็นสีของเจ้าชาย เพราะมันเป็นสีของดวงอาทิตย์ไม่ใช่หรือไง เจนนี่ก็ตอบตกลงทันที ปีเตอร์เขียนตัวอักษรลงไปในกระดาษที่เขาเลือกด้วยตัวเองอย่างตั้งใจ
เหมือนกับเป็นจดหมายรักที่ตัวเองเป็นคนส่ง
หน้าของเขาเห่อร้อน เพราะคิดว่าฟิลลิปได้อ่านจดหมายที่ตนเขียนเหมือนกับจะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองลงไปทีละตัวทีละตัว
เขาไข้ขึ้นอีกครั้ง ปีเตอร์นอนนึกถึงเด็กผู้ชายที่กำลังถือกระดาษเขียนจดหมายสีส้มอยู่บนเตียงสักพัก
***
“ลูกสบายดีแล้วเหรอ”
“ครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ถึงไข้จะไม่ขึ้นแล้ว แต่การออกไปข้างนอกมันไม่หนักเกินไปเหรอ”
แม่ยืนกอดอกมองลูกชายที่กำลังหยิบกระเป๋าและบ่นอย่างเป็นกังวล
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมนอนอย่างเต็มที่มาตลอดสองวันเลย”
“แต่ลูกไม่ต้องฝืนตัวเองก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ปีเตอร์สะพายกระเป๋าไว้ตรงที่ไหล่ แม้ความจริงเขาจะคิดว่ามันยังหนักเกินไปสำหรับการออกไปข้างนอก แต่น่าประหลาดที่เขาวันนี้เขาอยากออกไปให้ได้ เขาจะต้องเดินไปเอง เพราะพ่อที่มักจะพาเขาไปส่งเป็นประจำติดธุระในวันนี้ ปีเตอร์ยอมรับความลำบากแบบนั้น และตั้งใจจะเข้าร่วมประชุมให้ได้
“งั้นผมไปแล้วนะครับ”
“ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ติดต่อมานะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ”
ปีเตอร์ออกจากบ้านโดยทิ้งความเป็นห่วงของแม่ไว้ด้านหลัง ถึงเขาจะยังเหนื่อยนิดหน่อย แต่ความรู้สึกที่ได้เดินหลังจากที่ไม่ได้เดินมานานก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก ในขณะที่เขากำลังรอที่จะข้ามถนน ใครบางก็ก็สะกิดไหล่เขาจากทางด้านหลัง ใบหน้าของปีเตอร์ที่หันหลังกลับไปมองซีดเผือด เป็นเฟร็ดนั่นเอง
“จะไปไหนเหรอ”
“…”
“ได้ยินว่าช่วงนี้นายไม่ได้มาโรงเรียนเหรอ”
“…”
“นายลาออกจากโรงเรียนแล้วเหรอ”
ปีเตอร์ไม่อยากตอบ หลังจากวันนั้นแม้เขาจะเจอเฟร็ดที่โรงเรียน แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นรู้จักอีกฝ่าย และเฟร็ดก็ไม่พูดอะไรกับปีเตอร์เหมือนกัน เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ความจริงที่ว่าตนโดนเจนนี่ชกจนสลบ
เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่คนละละแวก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาบังเอิญเจอกันที่ถนนแบบนี้ ปีเตอร์คิดแค่ว่าตนอยากรีบเดินข้ามถนนไปไวๆ เพื่อออกไปจากตรงนี้ ถ้าข้ามถนนไปและเดินต่อไปอีกหนึ่งช่วงตึก เขาก็สามารถเข้าไปด้านในตึกที่มีการประชุมเยาวชนวันนี้ได้แล้ว
“นายไม่ได้ยินเหรอว่าฉันถามว่าตอนนี้นายไม่มาโรงเรียนแล้วเหรอ”
เฟร็ดเพิ่มแรงลงไปที่มือที่จับไหล่ของปีเตอร์ไว้ ปีเตอร์หดไหล่หนีพร้อมกับสะบัดมือของอีกฝ่ายออก เฟร็ดทำหน้านิ่งพร้อมกับพูดเสียงสูง
“อะไรเนี่ย ฉันถามนายว่ายังไง ทำไมถึงเมินคนอื่นขะ…”
ปีเตอร์เริ่มวิ่งโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง เขาได้ยินเฟร็ดแผดเสียงและด่าเขาจากทางด้านหลัง แต่เขาไม่สนใจ แม้จะโดนล้อว่าเป็นคนขี้ขลาด แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากหนีเฟร็ดเท่านั้นเอง
ปีเตอร์รู้สึกเจ็บเหมือนหัวใจถูกฉีกหลังจากวิ่งมาได้ไม่นาน เขาจับหน้าอกของตัวเองไว้แน่น เนื่องจากวิ่งอย่างกะทันหัน มันจึงดูเหมือนจะหนักเกินไปสำหรับหัวใจของเขา แต่ถึงอย่างนั้นปีเตอร์ก็ไม่สามารถหยุดวิ่งได้ เพราะเขากลัวว่าเฟร็ดจะตามหลังมา ถ้าเลี้ยวตรงหัวมุมนั้น ถ้าเลี้ยวตรงหัวมุมนั้น ไม่ว่ายังไงเราก็…
“…!”
ปีเตอร์ล้มหงายหลัง คนที่โดนเขาชนกรีดร้องเสียงแหลมพร้อมกับล้มลงไปด้วย
“อะไรเนี่ย เดินดูทางข้างหน้าหน่อยสิ”
“ขอ ขอโทษครับ”
ปีเตอร์ขอโทษ และยื่นมือออกมาช่วยดึงผู้หญิงที่ล้มลงไปกับพื้นให้ลุกขึ้น
“ขอโทษครับ คือผม…”
ปีเตอร์พูดไม่ออก ความเจ็บที่หัวใจกระจายไปทั่ว เขาหายใจไม่ออก และหน้าของเขาก็ซีดเผือด พอเห็นปีเตอร์ยืนอยู่แบบนั้น ผู้หญิงที่ถูกเขาชนก็มองเขาด้วยสีหน้าที่ถามว่าเป็นอะไร
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”
“ไม่ครับ…ไม่ได้เป็นอะไร”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ให้เรียกรถฉุกเฉินไหม”
ขาของเขาสั่นและพับลงไป ปีเตอร์ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับหอบหายใจ เขาจะต้องกินยา ต้องกินยา…
ปีเตอร์ใช้มือที่สั่นเทาเปิดกระเป๋า แต่มือของเขากลับไม่มีแรงจนทำให้ของที่อยู่ในกระเป๋าร่วงลงมา ไม่ว่าเขาจะสูดลมหายใจเข้าไปมากแค่ไหน เขาก็รู้ว่าออกซิเจนยังไม่เพียงพอ เขาได้ยินเสียง วิ้งๆ เหมือนมีแมลงมีบินที่หู และเหงื่อก็ไหลออกมา ใครบางคนตีแก้มเขาพร้อมกับร้องถามว่าเป็นอะไร แต่เขามองข้างหน้าไม่เห็นจนต้องกะพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง
เราจะต้องมาตายแบบนี้เหรอเนี่ย เราจะให้ใครพาวิลไปเดินเล่นทุกเช้าดีล่ะ เราต้องบอกรักคุณยาย ต้องสารภาพกับแม่ไปตามตรงด้วยว่าตอนเจ็ดขวบเราเป็นคนทำชามแตกเอง ต้องบอกพ่อด้วยว่าคนที่เอาเงินสิบดอลลาร์ไปจากพจนานุกรมคือเราเอง…แล้วจะต้องบอกเจนนี่ด้วยว่าอันที่จริงแล้วฉันก็รู้จักเจ้าชายเหมือนกัน แล้วก็….
ใบหน้าของเจ้าชายเฉียดผ่านหน้าเขาไป ปีเตอร์เผลอกำปลายเสื้อของเขาในระหว่างที่ไม่รู้ตัว เขามีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกอีกฝ่าย เขาอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือเรื่อง ‘การท่องเที่ยวไม่มีสิ้นสุด’ ให้เจ้าชายฟัง เขาจะต้องบอกให้อีกฝ่ายไปลองอ่านให้ได้ เพราะมันสนุก และคำก็สละสลวย…แต่อย่าว่าแต่จะพูดเลย ตอนนี้เขาไม่มีแรงแม้กระทั่งจะขยับปากด้วยซ้ำ