และแล้วเช้าวันใหม่ที่สดใสก็มาถึง ยิ่งคิดหน้าของอินซอบก็ยิ่งร้อนและยิ่งอับอาย ช่างเป็นเช้าที่เขาอยากจะขุดดินหนีไปที่ไหนสักที่…
“เฮ้อ”
อินซอบยืนพิงเสาพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
วันนี้อินซอบตื่นขึ้นมาในบ้านของอีอูยอนอีกแล้ว! เขาอาบน้ำในห้องน้ำที่เริ่มจะคุ้นเคยพลางลิ้มรสความอับอายที่ว่า ‘ทำไมคนอย่างเราถึงเป็นแบบนี้กันนะ’ จนท้องแทบแตก
พออาบน้ำเสร็จ อินซอบก็นึกถึงสำนวนเกาหลีที่ว่า ‘ไม่รู้เลยว่ากำลังเอาอาหารเข้าจมูกหรือปากกันแน่’ อย่างจริงจังขณะที่กินข้าวเช้าที่อีอูยอนเตรียมไว้ให้ แต่จะเรียกว่าโชคดีก็ว่าได้ที่วันนี้อีกฝ่ายไม่มีตารางงานในตอนเช้าตรู่
เนื่องจากมีการประชุมเกี่ยวกับโฆษณาตอนสิบเอ็ดโมง อินซอบจึงมาแถวๆ ย่านยออีโด เขารออีอูยอนอยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน และจมอยู่กับความเสียใจที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง
เราดื่มแล้วก็เจอคนต่างชาติระหว่างที่ไปห้องน้ำ จากนั้นเราก็เข้าไปในห้อง ดื่มเหล้าอีกครั้ง แล้วก็…อ่า
ชเวอินซอบนึกถึงฉากที่ไม่ควรจะนึกถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเขาก็ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเอง ไอ้คนนิสัยไม่ดีนั่นแกล้งทำเป็นว่ากลืนลงไป แต่กลับอมมันไว้ในปากแล้วก็…
“เราดันโดนหลอกซะได้ โง่จริงๆ เฮ้อ”
ต่อให้เอาหัวโขกเสาก็ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะหายไป ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือเขาเห็นว่าอีอูยอนเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าโมโห แต่เขาไม่มีความทรงจำหลังจากนั้นเลย แม้อินซอบจะพยายามนึกเรื่องที่เกิดหลังจากนั้น แต่ก็เปล่าประโยชน์
ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นท่าทางของอีอูยอนไม่น่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ วันนี้ตั้งแต่เช้าอินซอบกระสับกระส่ายเหมือนลูกวัวที่นั่งอยู่บนเตาไฟร้อนๆ ตลอดทั้งวัน เพราะท่าทีของอีอูยอนที่ปฏิบัติต่อตนนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
พออินซอบตื่นขึ้นมา อีอูยอนก็ถามว่า ‘หลับสบายไหมครับ แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง’ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรอีกเลย พอสังเกตท่าทีของอีอูยอนแล้ว อินซอบซึ่งกลายเป็นธาตุอากาศอย่างคาดไม่ถึงก็ได้ข้อสรุปว่าเมื่อวานตนคงทำพลาดครั้งใหญ่แน่ๆ
“แล้วมันคืออะไรล่ะ…เราทำอะไรลงไปล่ะเนี่ย”
ต่อให้ทึ้งผมด้วยความรู้สึกเสียใจที่ทำลงไปแล้ว แต่เขาก็ยังนึกไม่ออก
ก็ดีแล้ว เขาปลอบใจตัวเองว่าเมื่อความเกลียดติดอยู่ในใจของอีอูยอนแล้ว ตนอาจจะถูกไล่ออกไปทั้งอย่างนี้เลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใส่ใจ
ทุกครั้งที่พบว่าตัวเองกำลังคิดว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะปฏิบัติตัวกับเขาเหมือนเดิม และรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนระหว่างที่สังเกตท่าทีของอีอูยอน อินซอบก็แทบจะจมลงไปตายในความอับอาย
“เอาล่ะ ถูกไล่ออกเร็วๆ ไปเลยเถอะน่า ดีแล้วล่ะ มันต้องดีแน่ๆ”
เขาต้องกลับอเมริกาก่อนสุดสัปดาห์หน้า ดังนั้นเขาควรจะไม่สนใจว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น และควรจะทำตัวหยาบคายต่อไป
“…แต่เราต้องรู้ให้ได้ก่อนสิว่าเราทำอะไรลงไปกันแน่ เราถึงจะปล่อยวางได้”
อินซอบพิงเสาและไถตัวลงไปนั่งยองๆ พลางพึมพำอย่างอ่อนแรง ในตอนนั้นเองใครบางคนที่เดินผ่านมาก็จำเขาได้ และแสร้งทำเป็นเอ่ยทักอย่างยินดี
“คุณอินซอบใช่ไหมคะ”
“สวัสดีครับ”
อินซอบลุกขึ้น นักข่าวคิมแฮชินนั่นเอง ดูจากการที่เธอถือกล้องถ่ายรูปแล้ว ดูไม่เหมือนว่าเธอแค่ผ่านมาเพราะมีธุระแถวนี้พอดีเลย
“อ๋อ นี่เหรอคะ ฉันก็ต้องมาถ่ายรูปคุณอีอูยอนอยู่แล้วสิคะ”
“ครับ…อย่างนั้นเองสินะครับ”
จากเหตุการณ์ลอบทำร้ายคังยองโมทำให้มีคนสองสามคนในบรรดาคนที่อยู่ในงานเลี้ยงวันนั้น ถูกตำรวจสอบปากคำ พวกเขาถูกสอบปากคำด้วยคำถามง่ายๆ พอเป็นพิธี เช่น วันนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือแยกย้ายกันไปตอนไหน อีอูยอนเองก็ถูกตำรวจตั้งคำถามด้วยเช่นกัน เพราะเขาเองก็อยู่ที่นั่น แต่กลับมีใครบางคนจงใจถ่ายภาพนั้นไว้ และลงข่าวพร้อมกับพาดหัวข่าวว่า ‘บรรยากาศในกองถ่ายระหว่างอีอูยอนกับคังยองโมไม่ปกติ’ แน่นอนว่าใครคนนั้นก็คือนักข่าวคิมแฮชิน หญิงสาวได้แสดงตัวอย่างของคำพูดที่ว่า ‘การที่นักข่าวเป็นแอนตี้แฟนของดารานั้น เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุด’ ให้เห็นด้วยตัวเอง
ข่าวที่นักข่าวคิมแฮชินโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตทำให้อีอูยอนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงที่ไม่มีแอนตี้แฟนโดนคอมเมนต์ว่าร้ายอยู่พักใหญ่เหมือนกัน เช่น ‘นึกอยู่แล้วเชียวว่าเขาต้องเป็นคนแบบนั้น’ หรือ ‘คนที่แกล้งทำตัวว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเนี่ย น่ากลัวชะมัด’ แม้อีอูยอนจะไม่สนใจ และบอกว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่มีหลักฐาน อีกสามสี่วันก็คงซาไปเอง แต่มือของอินซอบผู้ซึ่งมีหลักฐานกลับชื้นเหงื่อขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ดูเหมือนจะยังไม่ได้เวลาที่เขาจะออกมาใช่ไหมคะ”
“ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ”
แม้จะเป็นเวลาที่อีกฝ่ายใกล้จะออกมาแล้ว แต่อินซอบกลับตอบไปอย่างนั้น นักข่าวคิมแฮชินยิ้มพลางพยักหน้า
“อย่างนั้นเหรอคะ งั้นไปดื่มกาแฟด้วยกันแถวนี้ระหว่างรอไหมคะ คือฉันพอจะมีเวลาเหลืออยู่น่ะค่ะ อ้อ ใช่แล้ว คุณรู้เรื่องนั้นหรือยังคะ เรื่องที่ฉันโดนพักงานน่ะ”
“ครับ?”
“เพราะโดนเบื้องบนบีบมาน่ะค่ะ เขาบอกว่ามันมากเกินไป”
“…”
ชเวอินซอบนึกถึงคำพูดของหัวหน้าทีมชาที่บอกว่าเราย่อมต้องปกป้องดาราในสังกัดแน่นอนอยู่แล้ว ถึงกรรมการผู้จัดการคิมจะดูเป็นคนเฉื่อยแฉะ แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ที่กว้างขวาง
“ดังนั้นเรื่องที่ฉันจะทำในเร็วๆ นี้ก็คือการทำให้เรื่องใหญ่ขึ้น และกลับไปป่าวประกาศ”
“พยายามเข้านะครับ”
อินซอบก้มหัวให้อีกฝ่าย เขาไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องคุยกับเธออีกต่อไปแล้ว หญิงสาวจ้องมองอินซอบพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มชอบกล
“ว่าแต่คุณอินซอบจะเลิกเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้วเหรอคะ”
“คุณพูดเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ทำไมคุณถึงซื้อตั๋วเครื่องบินทิ้งไว้ล่ะคะ”
“…!”
“ไปอเมริกา สุดสัปดาห์หน้า เอ๊ะ หมายเลขไฟล์ทอะไรน้า”
หญิงสาวแกล้งลากเสียงทำเป็นจำไม่ได้ สีเลือดหายไปจากใบหน้าของอินซอบ เขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้รู้ไปถึงไหนกันแน่
“ผมไม่รู้นะครับว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
อินซอบหลบตาและพยายามตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ มือที่เริ่มชื้นเหงื่อถูกซ่อนไว้ด้านหลัง
“จำยุนอารึมจากนิตยสารบลูได้ไหมคะ”
ใบหน้าของผู้หญิงผมบ๊อบที่สุภาพเรียบร้อยโผล่มาในความทรงจำของอินซอบ
“เราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่โรงเรียนน่ะค่ะ พอฉันได้ยินว่าเขาแลกเบอร์โทรศัพท์กับคุณอินซอบ ฉันก็เลยขอบ้าง”
“…”
ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวเบอร์โทรศัพท์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความลับอยู่แล้ว แต่เขากลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“รู้จัก ‘การโคลนโทรศัพท์มือถือ’ ไหมคะ”
“…รู้ครับ”
“ ‘การโคลนโทรศัพท์มือถือ’ เป็นวิธีที่พวกแฟนคลับบ้าคลั่งจำนวนหนึ่งคัดลอกโทรศัพท์มือถืออย่างผิดกฎหมาย และแอบเจาะเอาข้อความหรือการคุยโทรศัพท์ออกมา เพื่อขุดคุ้ยชีวิตส่วนตัวของดาราที่ตัวเองตามอยู่ แต่ฉันรู้ว่าโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนถูกกรรมการผู้จัดการคิมเปลี่ยนชื่อลงทะเบียนอย่างซับซ้อน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโคลนโทรศัพท์มือถือของเขาได้”
ท้ายที่สุดแล้วใจความสำคัญของบทสนทนานี้ก็คือนักข่าวคิมแฮชินเลือกที่จะคัดลอกโทรศัพท์มือถือของผู้จัดการส่วนตัวอย่างอินซอบอย่างผิดกฎหมายแทน เพื่อที่จะได้รู้ตารางงานหรือชีวิตส่วนตัวของอีอูยอน
“นั่นเป็นเรื่องผิดกฎหมายนี่ครับ”
“ใครบอกล่ะคะ ฉันแค่จะเล่าให้ฟังว่ามันมีเรื่องอย่างนั้นเฉยๆ แต่โทรศัพท์มือถือที่คุณอินซอบใช้อยู่ตอนนี้ก็เป็นโทรศัพท์ปลอมเหมือนกันนี่คะ เพราะชื่อที่ลงทะเบียนเป็นชื่อของคนอื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เป็นแบบนั้นได้ยังไงเหรอคะ”
“…”
อินซอบเปิดใช้โทรศัพท์มือถือด้วยชื่อที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตเพื่อที่เขาจะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เป็นตัวเลือกเพื่อให้ไม่มีใครสามารถหาร่องรอยของตนได้ในตอนที่คนที่ชื่อชเวอินซอบหายไปหลังจากนี้ แม้เขาจะไม่รู้ว่านักข่าวคิมแฮชินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่นี่เป็นความจริงที่เขาไม่รู้สึกยินดีและไม่สบายใจกับมันเลยสักนิด
“เป็นคนที่มีความลับเยอะกว่าที่เห็นนะคะเนี่ย แต่จากการที่คุณซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไปอเมริกาในสัปดาห์หน้า ดูเหมือนว่าคุณจะลาออกนะคะ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณนักข่าวจะต้องใส่ใจเลยนะครับ”
อินซอบก้มหัวเป็นการบอกลาเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เขาคิดว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สึกเหนื่อยกับการสนทนาครั้งนี้ นักข่าวคิมแฮชินเอ่ยถามไล่หลังอินซอบที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถ
“คุณอินซอบตัดสินใจที่จะให้สัมภาษณ์กับฉันก่อนจะเขียนจดหมายลาออกแล้วนี่นะ”
“ผมไม่เคยมีนัดแบบนั้นนะครับ”
อินซอบตอบกลับไปด้วยความโมโห เขายังมีความสามารถไม่พอที่จะต่อกรกับหญิงสาวที่มีความชำนาญในวงการบันเทิง
อย่าสนใจเธอเลย การเมินเฉยเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
อินซอบเริ่มก้าวเร็วๆ อีกครั้ง
“ว่าแต่คุณอีอูยอนรู้หรือยังคะว่าคุณอินซอบจะลาออก”
“…”
“แล้วกรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงทราบไหมคะ เพราะตอนที่ลองถามตอนเจอกันคราวก่อนก็ไม่เห็นว่าเขาจะพูดแบบนั้นเลยนะคะ”
“คุณพูดเรื่องนี้กับผมทำไม…”
อินซอบเห็นอีอูยอนลงลิฟต์มาไกลๆ จึงหยุดพูด นักข่าวคิมแฮชินเองก็หันศีรษะไปตามสายตาของเขาก่อนที่จะร้องว่า ‘อาฮ่า’ และฉีกยิ้ม
“งั้นเรื่องที่คุณอินซอบจะไปอเมริกาในสัปดาห์หน้าก็เป็นความลับสินะคะ”
“…”
อินซอบควรจะโต้กลับ แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรได้ มันเป็นความจริง แม้เขาจะไม่สนใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องลาออกอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากโดนจับได้ว่ากลับอเมริกา เขาต้องการให้คนที่ชื่อชเวอินซอบซึ่งเป็นผู้ให้ยืมข้อมูลส่วนตัวมานั้นไม่ถูกสงสัย
ในตอนที่อินซอบเบิกตาโพลงและเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกวุ่นวายใจ อีอูยอนก็เดินเข้ามาใกล้ๆ พอดี อีอูยอนเห็นนักข่าวคิมแฮชินจึงกล่าวทักทายเธอว่า ‘สวัสดีครับ’
“คงจะดีด้วยไม่ได้หรอกค่ะ คุณอูยอนรู้เรื่องที่ฉันโดนพักงานไหมคะ”
“ไม่รู้เลยครับ คงลำบากแย่เลยนะครับ”
แม้เขาจะพูดปลอบใจอย่างนุ่มนวล แต่แววตาของอีอูยอนกลับไม่ยิ้มเลยสักนิด ไม่มีทางที่เขาจะต้อนรับนักข่าวที่ปรากฏตัวทุกที่ที่ตนไปเพื่อถ่ายรูปและเขียนข่าวที่แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องเพ้อฝันเด็ดขาด
“ฉันกำลังจะแฉเรื่องใหญ่เร็วๆ นี่น่ะค่ะ”
“ครับ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ งั้นผมขอตัวก่อน”
อีอูยอนก้มหัวให้อย่างสุภาพก่อนจะเดินผ่านด้านข้างของนักข่าวคิมแฮชินไป เขาส่งสายตาบอกให้อินซอบรีบไปที่รถ ในตอนนั้นเอง…
“คุณอีอูยอนรู้เรื่องนั้นหรือยังคะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
นักข่าวคิมแฮชินมองไปที่อินซอบซึ่งยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลังอีอูยอนพลางเอ่ยขึ้น ทันทีที่สบตากัน อินซอบก็รีบก้มหน้า แม้จะมีหลักฐานความผิดของอีอูยอน แต่ก็อาจจะเกิดเรื่องที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับอเมริกาได้ก็เป็นได้ เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยกับคนที่ตนยืมชื่อมา
“เรื่องคุณยองโมน่ะค่ะ ได้ยินมาว่าอาการเขาดีขึ้นมากแล้ว ไปหาเขาที่โรงพยาบาลสักครั้งสิคะ”
“ครับ ถึงคุณไม่บอกผมก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว ขอบคุณที่บอกให้รู้นะครับ”
อีอูยอนส่งสายตาบอกให้อินซอบรีบขึ้นรถโดยไม่รอฟังคำพูดต่อไป นักข่าวคิมแฮชินแสร้งใช้มือทำท่าคุยโทรศัพท์ก่อนจะขยิบตาให้อินซอบ
อินซอบเดินเหมือนวิ่งหนี และขึ้นไปนั่งบนที่นั่งฝั่งคนขับรถในรถตู้ อีอูยอนที่ตามเข้ามาในรถถอนหายใจ เขาแสดงสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเจน
“คุยเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
“ครับ?”
“คุณคุยกับนักข่าวคิมแฮชินอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
นอกจากสองประโยคเมื่อเช้าแล้ว อีอูยอนกำลังพูดกับเขาเป็นครั้งแรกของวัน แม้เขาอยากจะตอบยาวๆ แต่เนื่องจากมันไม่ใช่การพูดคุยที่จะพูดอะไรยืดยาวได้ อินซอบจึงโกหกไปว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“เป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ ผมจะเป็นคนตัดสินเองครับ ลองบอกมาก่อนสิครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน”
คำพูดของอีอูยอนแทงใจดำเป็นพิเศษ
“เธอแค่พยายามแอบถามตารางงาน หรือชีวิตประจำวันของคุณอีอูยอนน่ะครับ ผมก็เลยตอบไปว่าไม่รู้”
“งั้นเหรอครับ”
สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในสายตาของอีอูยอนตอนที่เดินเข้าไปใกล้ไม่ใช่นักข่าวที่น่ารำคาญเหมือนปลิง แต่เป็นใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้จัดการส่วนตัวต่างหาก
“ถ้าเป็นไปได้ช่วยอย่าติดต่อกับนักข่าวคิมแฮชินนะครับ”
“ผมไม่ทำหรอกครับ”
“เมื่อกี้เธอบอกว่าจะโทรหาไม่ใช่เหรอครับ”
ชเวอินซอบนึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าเลือดของอีอูยอนคือบักคัส[1] และเจ้าตัวไม่มีทางเหนื่อยล้าเด็ดขาด อินซอนลองค้นหาในอินเทอร์เน็ตดูทีหลัง เพราะเขาไม่รู้ว่าบักคัสคืออะไร แล้วเขาก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว อีอูยอนแรงดีพอๆ กับเครื่องดื่มนั้นจริงๆ แม้คนที่มาด้วยกันจะเหนื่อยจนหมดแรงไปหมดแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าจะแสดงสีหน้าว่าเหนื่อยออกมาเลย
แต่วันนี้สีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ดีเป็นพิเศษ ในเวลาแบบนี้ถ้าเขาเปิดเพลงในคลับลำดับที่ยี่สิบสามที่เขาบรรจงเลือกอัดเสียงมา เขาอาจจะโดนไล่ออกจากตำแหน่งนี้เลยก็ได้
ชเวอินซอบลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบแผ่นซีดีรวมเพลงที่เงียบที่สุดจากบรรดาเพลงที่อีอูยอนชอบ และใส่มันเข้าไปในช่องเล่นซีดี เพลงวอลซ์ของชอสตโกวิช[2] ดังออกมา ในตอนนั้นเองอีอูยอนซึ่งกำลังหลับตาพลางขมวดคิ้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และทำปากคว่ำ
“คุณอินซอบครับ จริงๆ แล้ว…”
“…”
อินซอบจับพวงมาลัยพลางรอคำพูดต่อไปด้วยใจพะว้าพะวัง แต่อีอูยอนกลับหลับตาลงอีกครั้งพลางยิ้มเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เสียงเพลงเบาๆ บรรเลงอย่างต่อเนื่องภายในรถที่แล่นไปเหมือนกำลังเต้นรำ
อินซอบคิดอย่างไร้สาระว่าถ้าถนนที่ตนกำลังพุ่งไปข้างหน้าอยู่ตอนนี้ยาวไม่มีที่สิ้นสุดก็คงจะดีพลางเหยียบคันเร่ง
***
[1] บักคัส เป็นยี่ห้อเครื่องดื่มชูกำลังของเกาหลีใต้
[2] ชอสตโกวิช นักดนตรีชาวรัสเซีย