ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 9-2

ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 9-2

“คิดว่านักข่าวคิมแฮชินจะให้ไปเจอเพื่อสัมภาษณ์เรื่องอะไรเหรอครับ”

“เธอบอกว่าจะสัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ลาออกครับ”

“อย่างนั้นเหรอครับ ผมเองก็สงสัยเรื่องนั้นเหมือนกันนะ คุณคงไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อสอบเป็นข้าราชการหรอก”

อินซอบกัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยความสับสน เขาไม่ได้บอกอะไรอีอูยอนมากไปกว่าข้ออ้างที่ว่าจะไปสอบเข้ารับราชการหรือพ่อป่วย แต่เรื่องที่โชคดีก็คืออีอูยอนยังไม่รู้ความจริงที่ว่าตนได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น นับว่าเป็นเรื่องโชคดีมากที่อินซอบเสียบรูปนั้นไว้ในสมุดโน้ต เขาคิดหาข้ออ้าง

“ผมแค่เหนื่อยครับ”

“ว่าไงนะครับ

“การอยู่ข้างๆ คุณอีอูยอนน่ะ…”

เป็นความจริง ยิ่งอินซอบอยู่ข้างๆ อีอูยอนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งสับสน และลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร

“ไล่ตามผมมาจนถึงที่นี่ แถมยังมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัว เพราะชอบผมมากขนาดนั้น แต่ลาออกเพียงเพราะเหนื่อยงั้นเหรอครับ”

แต่อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ ขนาดนั้น เมื่ออีอูยอนซักไซ้ อินซอบก็อึกอักก่อนจะเอ่ยตอบ

“วะ วันนั้นคุณอีอูยอนกับผู้หญิงคนนั้น…”

“อ๋อ วันนั้น”

อีอูยอนพยักหน้าพลางนึกถึงเรื่องที่ชเวอินซอบมาหาตนในคืนก่อนวันที่อีกฝ่ายจะลาออก

“คุณลาออกด้วยเรื่องนั้นเหรอครับ”

“…”

“จะบอกว่าคุณลาออกแค่เพราะผมมีอะไรกับผู้หญิงเหรอครับ”

“…ครับ”

อินซอบรู้ดีว่าตนไม่มีทางเลือก สิ่งที่ดีที่สุดที่ตนสามารถทำได้ในตอนนี้คือการปรับตัวไปตามที่อีอูยอนต้องการ ตนจะไม่สร้างความลำบากให้กับนักศึกษาคนนั้นที่ให้ยืมชื่อเด็ดขาด

อีอูยอนร้องอืม เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำสีหน้าไม่ดี

“ในระหว่างนั้นคุณก็โดนคิมแฮชินข่มขู่ด้วย เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องให้สัมภาษณ์หรอกครับ เพราะยังไงที่คิมแฮชินอยากจะสัมภาษณ์คุณอินซอบก็เพราะเหตุผลอื่นอยู่แล้ว”

“…คืออะไรเหรอครับ”

“ก็เสียงของคนที่เจอคังยองโมและแจ้งความมันคล้ายกับเสียงของคุณอินซอบมากยังไงล่ะครับ”

“…”

“เพราะงั้นบางทีเธออาจจะทำให้คุณพูดคล้ายๆ กับเรื่องที่เล่าจากสิ่งที่พบเห็น และเผยแพร่มันลงไปในสื่อน่ะสิครับ ผมเกือบจะลำบากเพราะมันแล้วนะ”

“…ขอโทษครับ”

อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ

“ทำไมถึงต้องทำตามที่โดนข่มขู่ด้วยล่ะครับ ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณจะขายผมให้คิมแฮชิน เพราะโดนขู่นิดหน่อยน่ะเหรอครับ”

“ขอโทษครับ”

“ผมผิดหวังนะครับ”

อินซอบรู้สึกแสบกระเพาะ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ช่างแปลกประหลาดและน่ากลัว อีอูยอนพอใจอะไรขนาดนั้นนะ อีกฝ่ายยิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยใบหน้าระรื่นก่อนจะพูดต่อ

“ผมผิดหวังเพราะความรู้สึกที่คุณมีต่อผมมันมีแค่นั้น”

“…ขอโทษครับ”

เขาไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่าขอโทษ เขาไม่รู้เลยว่าเกมโกหกที่น่าหวาดเสียวนี้จะจบลงอย่างไร ปลายนิ้วของอินซอบสั่น เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงไป

“แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อวานผมก็เชื่อนิดๆ นะครับ”

“…?”

อีอูยอนยิ้มพร้อมกับใช้นิ้วไล้ริมฝีปากของอินซอบราวกับจะลูบจับ มันชัดเจนมากว่าการกระทำสั้นๆ นั้นหมายความว่าอะไร ใบหน้าของชเวอินซอบร้อนผ่าวในทันที อินซอบรีบก้มหน้า และใช้มือทั้งสองข้างจับผ้าห่มไว้คล้ายจะดึงเข้ามากอด ร่างกายของเขาสั่นเทาอีกครั้ง

“อยากกลับอเมริกาเหรอครับ”

“…!”

อินซอบพยักหน้าอย่างแข็งขัน เขาอยากเรียกแท็กซี่และวิ่งไปที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับอเมริกาเดี๋ยวนี้เลย

อีอูยอนยื่นมือออกไป ปลายนิ้วของเขาลูบไล้แก้มของอินซอบ เขาค่อยๆ ลูบหน้าของอินซอบราวกับกำลังโอบกอดสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารัก

“ความจริงแล้วผมโกรธมากเลยนะครับ”

“…”

“ถึงจะโล่งอกที่คุณแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เห็น แต่ผมเกือบจะซวยเพราะคุณอินซอบกับคิมแฮชินแล้วนะครับ”

เขารู้ร่องรอยของพวกชนชาติโชซอนที่ทำกับเขาขนาดนั้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว มันไม่ใช่ว่าเขาลืมเพราะตารางงานที่ยุ่งมากและปล่อยมันไป เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าถ้ามีเวลา เขาจะไปหักขาหรือไม่ก็ฝังพวกมันไว้ที่ไหนสักแห่งคนเดียว ถ้าชเวอินซอบไม่ร่วมมือกับคิมแฮชินและหักหลังเขาก็คงจะไม่มีเรื่องให้พวกชนชาติโชซอนพวกนั้นถูกใส่ความว่าลอบทำร้ายคังยองโม แม้สุดท้ายเขาจะโล่งใจที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่อีอูยอนไม่พอใจกับทางเลือกของอินซอบที่ไล่ต้อนเขาให้จนมุมเอาเสียเลย

“ผมจะไม่เชื่อคุณอินซอบอีกแล้วครับ”

“…”

อินซอบเองก็ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ คงจะแปลกถ้าอีอูยอนมาบอกว่าเชื่อใจชเวอินซอบ

“ดังนั้นผมจะไม่ปล่อยคุณไป”

“ครับ?”

“ผมจะปล่อยคนที่ผมเชื่อใจไม่ได้ และมีข้อมูลพวกนั้นไปได้ยังไงล่ะครับ”

“ผมจะเผาข้อมูลพวกนั้นทิ้งให้หมดเลยครับ”

“ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ คุณอาจจะซ่อนไว้ที่ไหนอีกก็ได้ คุณเป็นคนที่โกหกทั้งชื่อ อายุ แล้วก็ร่องรอยทุกอย่างนี่ ใช่ไหมครับ”

“งั้นผมจะไปสถานีตำรวจครับ ผมจะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากความผิดของผมเอง”

“‘ไปๆ มาๆ ผู้จัดการของอีอูยอนก็คือนักต้มตุ๋น’ เป็นข่าวที่ดีมากเลยครับ”

“…”

อินซอบที่พยายามจะสงบปากสงบคำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“งั้น…คุณต้องการอะไรครับ”

ถึงจะโดนฟ้องร้องว่าเขาสะกดรอยตาม หรือขโมยชื่อคนอื่นมาใช้ แต่เขาก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อินซอบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะอดทนทุกอย่าง ถ้ามันเป็นความผิดที่ตัวเองได้ทำไปแล้ว

“นั่นน่ะสิครับ ผมเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”

อีอูยอนเท้าคางพลางหรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยตอบ

นั่นเป็นความจริง เพราะตอนนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับชเวอินซอบดี พอคิดว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาไม่สบายใจที่จะปล่อยชเวอินซอบไป เขาก็โมโหอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่พอใจกับการส่งอีกฝ่ายให้กับตำรวจมากกว่า เขาไม่อยากยื่นปลาที่ตัวเองจับได้ให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอยากสนุกกับมันต่อไปอีกสักพัก เพราะท่าทางที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบเขาและรั้งเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายนั้นน่าสนุก

“ดีล่ะ”

หลังจากครุ่ดคิดสักพัก อีอูยอนก็พูดออกมาในที่สุด

“ทำอย่างนี้กันเถอะครับ”

“…”

อินซอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงไปก่อนจะรอคำพิพากษาที่จะออกมาจากปากของคนตรงหน้า

“ผมจะให้คุณกลับมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวอีกครั้งครับ”

“ครับ?!”

“ลองทำให้ผมเชื่อใจคุณให้ได้ระหว่างที่ทำงานอยู่ข้างๆ ผมไงครับ”

“คุณพูดเรื่องอะไร…”

“ผมบอกให้คุณอินซอบลองรั้งผมเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายดูครับ เพราะผมน่าจะได้เห็นว่าคุณชอบผมมากแค่ไหนระหว่างที่เก็บคุณไว้ข้างๆ”

หน้าของอินซอบค่อยๆ ซีดลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อีอูยอนค่อยๆ พูดออกมาทีละคำ

“หนึ่งเดือนครับ ถ้าผมเชื่อใจคุณได้ในหนึ่งเดือน ผมจะคืนบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตให้คุณ และแน่นอนว่าผมจะไม่แตะต้องชเวอินซอบที่คุณยืมชื่อมาแม้แต่ปลายนิ้ว”

“นั่นมันเรื่องอะไรกัน…”

“แต่ถ้าผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วผมยังเชื่อใจคุณอินซอบไม่ได้ ถึงตอนนั้นผมจะเรียกทั้งคุณและชเวอินซอบมา แล้วจะทำให้พวกคุณพังพินาศไปพร้อมๆ กันเลยครับ”

ปากของอินซอบสั่นระริก เขาทำได้เพียงมองอีอูยอนเท่านั้น ไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะมันเป็นข้อเสนอที่ไม่น่าเชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ทำไมครับ ทำไม่ได้เหรอ มีอะไรยากเหรอครับ แค่แสดงความรักห่วยๆ ที่ทำให้ถึงกับไล่ตามผมจากอเมริกามาที่เกาหลีให้เห็นนิดหน่อยก็น่าจะพอแล้วนะครับ”

“ยังไงซะคุณก็จะไม่เชื่อใจผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็ลองทำให้เชื่อสิครับ”

นี่เป็นเกมที่เกือบจะจบแล้ว อินซอบรู้ว่าเขาไม่สามารถชนะในเกมที่เริ่มจากการถูกตราหน้าว่าแพ้ได้เลย

อีอูยอนแค่อยากจะแกล้งเขาเท่านั้น ถึงได้ยอมเล่นเกมนี้ เขาตายแน่ ถ้าหากเกิดเรื่องที่เหมือนเมื่อวานขึ้นอีกครั้ง อินซอบไม่สามารถทนเรื่องแบบนั้นได้

“ไม่เอาครับ”

อินซอบพยายามมองอีอูยอนขณะพูด อย่าว่าแต่หนึ่งเดือนเลย แม้แต่วินาทีเดียวเขาก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ

“ช่วยคืนพาสปอร์ตกับเสื้อผ้ามาด้วยครับ”

“ทำไมผมต้องทำด้วยล่ะ”

“ก็มันเป็นของผมนี่ครับ ช่วยคืนมาด้วยครับ”

แม้เขาจะหายใจไม่ออก อีกทั้งมือและเท้าก็ไม่มีแรงด้วยความกลัว แต่อินซอบก็พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่ตัวเองสามารถสร้างขึ้นมาได้และพูดอย่างนั้น ในระหว่างนั้นเขาก็นึกถึงนิทานที่ชายตัดฟืนเอาเสื้อผ้าของเทพธิดาไปซ่อนไว้ในเชิงเสียดสี

“ก็ให้ได้นะครับ แต่…”

ท้ายประโยคของอีอูยอนหายไปอย่างช้าๆ มีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากท้ายเสียงที่เบาลง มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะและนุ่มนวลเหมือนท่วงทำนองของเปียโน ทันทีที่รอยยิ้มค่อยๆ ถูกเก็บกลับไปจากใบหน้าของเขา ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกก็เผยตัวออกมา

“ถ้านายไป แล้วชเวอินซอบจะเป็นยังไงล่ะ”

“…”

แล้วอินซอบก็ได้รู้…

ว่าความจริงแล้วคนที่เอาเสื้อผ้าของตัวเองไปซ่อนไม่ใช่ชายตัดฟืน แต่เป็นเสือที่ดุร้าย

***

“เดี๋ยวผมกลับมานะครับ กรุณาอยู่เฉยๆ อย่าสร้างเรื่องอะไรทั้งนั้น”

อีอูยอนว่าพลางเดินไปที่ประตูบ้าน อีอูยอนประกาศกร้าวว่าจะไม่ปล่อยให้อินซอบออกไปข้างนอกก่อนที่อินซอบจะทันได้ตอบอะไรด้วยซ้ำ และคำพูดของเขาก็เป็นเรื่องจริง

อินซอบยังไม่ได้เสื้อผ้าคืนจากอีกฝ่าย และเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยการใช้ผ้าห่มคลุมตัว ห้องแต่งตัวที่มีเสื้อของอีอูยอนอยู่นั้นถูกคนงานที่เจ้าตัวเรียกมาถอดบานพับออกและเปลี่ยนเป็นประตูเหล็ก แม้เขาจะลองใช้ค้อนทุบตลอดทั้งวัน แต่ประตูก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว

นี่เป็นวันที่สามแล้ว อินซอบกำลังอดทนอย่างหนักแน่น

เสือนั้นอาจจะกัดเหยื่อให้ตายเมื่อมันเบื่อ หรือจับกินเมื่อมันหิว แต่เห็นได้ชัดว่าเสือตัวนั้นไม่คิดจะปล่อยเขาไปเด็ดขาด ดังนั้นเขาจะไม่เข้าร่วมเกมของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

นอกเหนือจากการที่ไม่มีเสื้อผ้าและไม่มีอิสระแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีความลำบากอะไร ขอเพียงอีอูยอนไม่ค่อยจะอยู่บ้าน เพราะตารางงานที่ยุ่ง และอินซอบอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวก็ใช้ได้แล้ว

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือเขาไม่ได้โทรศัพท์หาพ่อแม่มาสี่วันแล้ว และพ่อกับแม่ก็ไม่น่าจะแค่กังวลเล็กน้อย เพราะเขาสัญญาว่าต่อให้เกิดเรื่องอะไร เขาจะโทรศัพท์ไปหาสามวันต่อครั้ง ถ้ามีอินเทอร์เน็ต เขาก็น่าจะเขียนอีเมลได้ แต่อีอูยอนได้ปิดกั้นการติดต่อกับโลกภายนอกไว้ตั้งแต่แรก มิหนำซ้ำยังเอาคอมพิวเตอร์ไปซุกไว้ในห้องแต่งตัวอีกด้วย

อินซอบเอาผ่าห่มคลุมตัว และนอนบนโซฟา เขาหิว แต่ก็ไม่มีความคิดว่าอยากจะกินอะไร เขาแค่เหม่อลอยเท่านั้น อีอูยอนไม่ได้ด่าหรือตีเหมือนวันนั้น เขาเพียงแต่พูดจาเย็นชาบ้างเป็นบางครั้ง และมันก็เกือบจะเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ก็มีตอนที่อีกฝ่ายทำตัวอ่อนโยนกับเขาจนเขาลืมไปแล้วว่าความจริงอีอูยอนเป็นคนที่น่ากลัวด้วยเหมือนกัน

“เจนนี่…”

อินซอบหลับตาก่อนจะเรียกชื่อเจนนี่

หลังจากที่ทะเลาะกันขนาดนั้นในวันนั้น เขาก็ไม่ได้คุยกับเจนนี่เลย แม้เจนนี่จะมาที่ใต้หน้าต่าง โยนหินใส่ และเรียกชื่อปีเตอร์ทุกคืน แต่ปีเตอร์ก็ทำเป็นไม่รู้ เขาไม่ยกโทษให้กับคำพูดที่เธอพูดใส่เขา เนื่องจากมีความจริงที่แหลมคมที่ตัวเขาเองไม่อยากจะยอมรับซ่อนอยู่ในคำพูดพวกนั้น เขาจึงไม่สามารถยอมรับฟังเธอได้ และถ้าเขาทำแบบนั้น มันก็เหมือนกับเขาต้องยอมรับความจริงที่ตัวเองมองข้ามด้วย

เมื่อปีเตอร์เมินเธออยู่เรื่อยๆ เธอก็เริ่มเขียนจดหมาย ตอนแรกมันเป็นแค่เนื้อหาธรรมดาที่ขอให้เขายกโทษให้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เนื้อหาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นกลอุบายที่ฟิลลิปสร้างขึ้น และตัวเธอเองก็เป็นคนน่าสงสารที่หลงเชื่อเรื่องพวกนั้น ปีเตอร์ไม่สนใจจดหมายนั้น เขาคิดว่ามันเป็นคำโกหกที่เจนนี่ซึ่งโดนปฏิเสธกุขึ้นมา แม้แต่ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เธอส่งให้เขา เธอก็ยังเขียนคำสาปแช่ง และคำด่าฟิลลิปเอาไว้เต็มหน้ากระดาษ

และสองวันหลังจากที่เขาได้รับจดหมายฉบับนั้น เจนนี่ก็ฆ่าตัวตาย แม่ของเธอเจอว่าเธอผูกคอตายกับลูกบิดประตู และแจ้งตำรวจ เธอเขียนสาเหตุการตายไว้ในจดหมายลาตายว่าเพราะไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอเลย สุดท้ายเธอจึงต้องเลือกวิธีนี้

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท