“สายแล้วครับ”
“ครับ? อ๋อ ครับ รู้แล้วครับ”
แม้จะรู้ว่าไม่มีตารางงานต่อ แต่อินซอบก็ตอบแบบนั้นไปก่อน
“จะไปเตรียมร่มไว้ให้นะครับ”
ยูโอจินมองด้านหลังของอินซอบที่วิ่งไปเอาร่มอย่างพอใจ อีอูยอนกล่าวลาและออกจากสตูดิโอ พวกแฟนคลับที่บ้าคลั่งยังคงรออีอูยอนอยู่ที่หน้าทางเข้า และเข้ามารวมตัวกันเป็นกลุ่ม
“พี่คะ ถ่ายรูปได้ไหมคะ”
“พี่อูยอน มองทางนี้หน่อยค่า”
“ฝนตกอยู่ รีบกลับกันไปเถอะครับ เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะครับ”
เมื่อได้ยินอีอูยอนพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พวกผู้หญิงที่กำลังรออยู่ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา อินซอบยืนกางร่มรออีอูยอนตรงทางเข้า
วินาทีที่สบตากับอินซอบที่กำลังมองมาด้วยดวงตากลมโตที่ดูหวาดกลัวในขณะที่ไหล่ข้างหนึ่งเปียก ความหงุดหงิดที่อีอูยอนข่มเอาไว้อย่างยากลำบากก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
“ทำอะไรน่ะครับ”
เขาจับแขนของอินซอบและแย่งร่มมาถือเอง
“เอ่อ ผมถือ…”
“เงียบ แล้วก็ไปได้แล้วครับ”
อีอูยอนกระซิบเสียงต่ำก่อนจะจับไหล่ของอินซอบไว้ ตอนนี้รอบๆ มีแฟนคลับที่ล้อมกรอบเข้ามาขวางทางอยู่
“พี่! ลองพูดอะไรก็ได้หน่อยค่า ฉันชื่อยองฮวานะค้า ช่วยเรียกชื่อฉันสักครั้งเถอะค่ะ”
“พี่อูยอน ช่วยมองมาทางนี้หน่อยค่ะ”
“พี่คะ มองมาทางนี้แป๊บหนึ่งสิคะ!”
รวมไปถึงคำขอต่างๆ อีกมากมาย อีอูยอนใช้ร่มคันเดียวกับอินซอบ และออกวิ่งไปทางรถตู้ที่จอดอยู่ พวกแฟนคลับที่ใส่เสื้อกันฝนวิ่งตามหลังพวกเขามา อีอูยอนเดินจ้ำอ้าว แฟนคลับที่เดินตามไม่ทันเริ่มร้อนใจจึงยื่นมือออกมาคว้าชายเสื้อของอินซอบ อินซอบร้องดัง ‘อ๊ะ’ และหงายไปด้านหลัง อีอูยอนโอบเอวของอินซอบโดยอัตโนมัติทันที กลิ่นตัวที่เปียกฝนลอยออกมาจากร่างของอินซอบ
เมื่อเห็นใบหน้าที่เฉียดเข้ามาใกล้อย่างน่าหวาดเสียว อีอูยอนก็รับรู้ได้ว่าอินซอบกำลังกลัวตัวเอง ไม่ใช่ผู้หญิงที่จับเขาไว้
“มะ ไม่เป็นไรครับ”
ชเวอินซอบตั้งตัวให้ตรง และถอยห่างจากอีอูยอน แม้ไหล่ที่ยื่นออกไปนอกร่มจะเปียกฝนไปหมด แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเข้าไปใกล้อีอูยอน
ฝนของฤดูใบไม้ผลิที่มาก่อนเวลาเทลงมาบนร่ม อีอูยอนก้มลงมองชเวอินซอบสักพักก่อนจะเดินเข้าไปด้านในรถตู้ อินซอบใช้มือบังฝน และรีบขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับ
ตลอดทางกลับบ้านอีอูยอนไม่พูดอะไรกับอินซอบเลยแม้แต่คำเดียว
***
“จะให้พาไปที่ฟิตเนสไหมครับ”
อินซอบรู้ดีว่าถ้าเลิกงานเร็ว อีอูยอนมักจะไปออกกำลังกายหลังเลิกงาน นี่จึงเป็นคำถามที่สามารถถามได้ แต่อีอูยอนกลับตอบอย่างคาดไม่ถึงกลับมา
“คุณอินซอบขึ้นไปก่อนเลยครับ ผมน่าจะต้องทำธุระก่อนเข้าไป”
อินซอบคิดว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่าจึงดับเครื่อง และนั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งคนขับสักพัก
“ทำไมครับ จะตามไปด้วยเหรอ”
“เปล่าครับ…ผมอยู่คนเดียวได้เหรอครับ”
หลังจากวันนั้น แม้แต่ตอนที่เสร็จจากตารางงานแล้วไปทำธุระเล็กน้อย อีอูยอนก็มักจะพาอินซอบไปด้วยเสมอ เขายืนกรานว่าอินซอบอาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นก็ได้ถ้าปล่อยเอาไว้ที่ที่มองไม่เห็น
“ไปเฝ้าบ้านรออยู่เฉยๆ เถอะครับ ตัวคุณเองก็รู้ดีที่สุดใช่ไหมครับว่าการไม่คิดอะไรที่ไร้สาระนั้นเป็นเรื่องดี”
“ครับ…เข้าใจครับ”
อีอูยอนลงจากรถก่อนจะเปลี่ยนไปขึ้นรถของตัวเอง และออกจากลานจอดรถไป แม้กระทั่งตอนที่ลงจากที่นั่งของคนขับมาแล้ว อินซอบก็ยังมองรถของอีอูยอนที่ไกลออกไปอย่างเหม่อลอย
ขณะที่ขึ้นลิฟต์ และขึ้นมาที่ชั้น 49 คนเดียว อินซอบก็ยังคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ทันทีที่คิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับชเวอินซอบที่บริสุทธิ์เมื่อตัวเองหายไป เขาก็ไม่กล้าจะเดินจากไป เหนือสิ่งอื่นใดกับดักที่ใหญ่โตมโหฬารคือการที่บัตรประชาชนและพาสปอร์ตของเขาอยู่ในที่ที่ลึกที่สุดในห้องนิรภัยของอีอูยอน และเขาไม่สามารถกลับอเมริกาได้
“คงโดนจับได้”
แม้คิดจะหลับตาหนีไปอย่างไม่ยินดียินร้ายก็ไม่มีหลักประกันว่าอีอูยอนจะไม่สามารถตามหาเขาเจอ อินซอบคิดว่าถ้าอีกฝ่ายมาหาในที่ที่เขาซ่อนด้วยเท้าที่ใช้รองเท้าเหมือนวันนั้น หัวใจของเขาที่พยายามทำให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างยากลำบากก็คงจะหยุดเต้นในคืนวันนั้นเอง
เขากดรหัสตามที่อีอูยอนสอน และขณะที่เข้าไปในบ้านอินซอบก็นึกถึงความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ขึ้นมาได้พลางหัวเราะอย่างขมขื่น
จะต้องเรียกการที่เขาไม่ได้เป็นสต็อกโฮล์ม ซินโดรม [1]และมาทำแบบนี้เพื่อแก้แค้นว่าอะไรดีนะ เขาอาจจะได้เป็นรายงานของทฤษฏีที่เกิดขึ้นมาใหม่ในแวดวงวิชาการก็ได้
อินซอบถอดรองเท้า และเดินเข้าไปในบ้าน เขาเดินเข้ามาพร้อมกับอีอูยอนเสมอ แต่พอต้องเดินเข้ามาคนเดียว เขาก็รู้สึกว่าบ้านกว้างยิ่งขึ้น
เนื่องจากคนทำความสะอาดจะมาจัดการบ้านให้สองถึงสามวันต่อครั้ง ที่แห่งนี้จึงอยู่ในสภาพที่สะอาดอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นอินซอบก็ยังชะเง้อมองไปรอบๆ และคิดว่าไม่มีอะไรให้เก็บหรือไร เขาหยิบหนังสือพิมพ์ที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะมาวางให้สวยงาม และจัดเรียงหมอนอิงบนโซฟา
พออาบน้ำเสร็จ และออกมาข้างนอกแล้ว เขาก็สะดุดตาเข้ากับของที่จะต้องจัดอีกสองสามอย่างจึงเดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่น พอทำทุกอย่างเสร็จแล้ว อินซอบก็มีเวลาว่างขึ้นมาทันที ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะใช้เวลาเรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับอีอูยอน และเขียนมันออกมาเป็นตัวหนังสือ แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว
“เฮ้อ…”
เขาไม่รู้ว่าการฆ่าเวลาด้วยวิธีแบบนี้มันจะนานแค่ไหน อินซอบกำลังรู้สึกว่าเขาถูกวางไว้ในอิสรภาพที่เข้ามาหาอย่างกะทันหัน
แม้เขาจะเปิดโทรทัศน์ และเปลี่ยนช่องไปเรื่อย แต่มันก็ไม่มีรายการให้ดู และความสนุกของเขาก็หายไปทันที เขาคิดว่าจะอ่านหนังสือดีไหม และยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ใช่หนังสือของเขา แต่เป็นหนังสือของคนอื่น และเจ้าของหนังสือก็ไม่อยู่ด้วย เขาจะแตะต้องมันตามอำเภอใจไม่ได้
ขณะเดินเตร่ไปเตร่มาอินซอบก็มายืนอยู่หน้าห้องนิรภัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจับลูกบิดประตู และลองขยับดูเล็กน้อย
“ไม่มีทางเปิดได้หรอก…”
โทรศัพท์ของเขาถูกอีอูยอนเอาไป และอีกฝ่ายจะเอามาคืนให้แค่ตอนที่เขาต้องคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน หรือโทรศัพท์กลับไปที่บ้านสามวันครั้งเท่านั้น อันที่จริงต่อให้มีโทรศัพท์มือถือ เขาก็ไม่มีคนที่จะติดต่ออยู่ดี เขาไม่มีเพื่อนหรือคนสนิทที่เกาหลี เขาไม่มีที่ให้ไป
ต่อให้บอกว่าชีวิตที่เกาหลีของเขามีแค่อีอูยอนก็คงจะไม่ใช่คำพูดเกินจริงนัก แม้เขาจะไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ แต่ตอนที่เขาหันไปมองรอบๆ สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่อีอูยอนเท่านั้น
“จะมาเมื่อไหร่นะ…”
ครั้นพูดออกไปแล้ว อินซอบก็สะดุ้งตกใจเอามือขึ้นมาปิดปาก เขาพูดเหมือนกำลังรออีอูยอนอยู่เลย แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้ยิน
ดูเหมือนเขาจะถูกจับได้ถึงจิตใจที่แท้จริงที่กดไว้ข้างใน และหน้าของเขาก็ร้อนวูบขึ้นมา อินซอบใช้ฝ่ามือตบแก้มตัวเองแรงๆ
“ตั้งสติ ชเวอินซอบ”
ดูเหมือนสติของเขาจะถูกขายเพียงเพราะอีอูยอนทำดีด้วยนิดหน่อย ไม่ได้ อีอูยอนเป็นคนไม่ดี เป็นคนไม่ดีมากๆ ไม่สิ เขาเป็นคนผิดปกติที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำว่าคนไม่ดีได้ด้วยซ้ำ
…แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำดีกับเรา
นอกจากตอนที่อีอูยอนพูดแหย่เล่น หรือแสดงนิสัยที่เน่าเฟะออกมาเป็นบางครั้ง อีกฝ่ายก็ทำดีกับเขามากกว่าเมื่อก่อน
แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ จนไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าไม่ได้ใส่ใจที่จะมอง แต่อีกฝ่ายก็ปฏิบัติกับตนอย่างดี เขาไม่ยอมให้อินซอบถือของหนักๆ แถมยังแจ้งกับบริษัทไปว่าให้ปรับตารางงานทั้งหมดให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน ถึงจะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะไม่มีละครหรือภาพยนต์ที่กำลังถ่ายทำอยู่ แต่สำหรับอินซอบที่เลิกงานตอนเห็นพระจันทร์ยามเช้ามืด และไปทำงานตอนเห็นดวงดาวยามรุ่งสางมาตลอดกลับสบายมากๆ ในช่วงนี้ การไม่ได้กินข้าวตามเวลาเป็นเรื่องปกติถ้าต้องไปเฝ้าอีอูยอนถ่ายละคร แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีเรื่องแบบนั้นแล้ว เขาได้เวลาพักตรงกับเวลากินข้าวเสมอ บางครั้งในวันที่ไม่มีตารางงานอีกฝ่ายก็ยังเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เขาด้วย ถ้ามีของที่ต้องการ ไม่ว่าอะไรอีกฝ่ายก็จะซื้อให้ ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าที่เขาใส่อยู่ตอนนี้ก็เป็นของที่อีอูยอนซื้อมาให้จากห้างสรรพสินค้า อีอูยอนทำดีกับอินซอบจนเขาคิดว่าการใช้ชีวิตหรูหราแบบนี้มันดีแล้วเหรอ แม้กระทั่งวันนี้ตอนที่กางร่ม อีอูยอนก็ยังโอบไหล่เขาด้วย
อินซอบลูบไหล่อยู่คนเดียวพลางถอนหายใจ
…ถ้าเราไม่ตกใจก็คงจะดี
อินซอบส่ายหน้าก่อนจะลุกจากที่ แม้เขาจะไม่รู้ว่าอีอูยอนจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เขาก็ไปยืนที่ครัว เพราะคิดว่าจะชวนกินข้าวด้วยกันเมื่ออีกฝ่ายกลับมาแล้ว แม้เขาจะไม่ได้มีฝีมือในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมมากนัก แต่เขาก็เตรียมสลัดอย่างง่ายๆ และทำซอสพาสต้าเอาไว้ เขาคิดว่าเขาจะต้มเส้นตอนที่อีอูยอนมาถึง
อินซอบจัดโต๊ะอาหารในห้องครัวก่อนจะมองนาฬิกาอีกครั้ง เขาเคี้ยวสลัดอยู่คนเดียวพลางรอให้อีอูยอนกลับมา
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูหน้าบ้าน อินซอบดีดตัวขึ้นจากที่ และวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน
“กลับมา…“
“ใครเหรอคะ คนคนนี้น่ะ”
อีอูยอนกลับมาแล้ว และเขาพาผู้หญิงที่ใส่ชุดหรูหรามาด้วยข้างๆ
แบคฮีจิน เป็นนักแสดงที่อินซอบเองก็รู้จักในฐานะคนที่มีข่าวลือกับอีอูยอนอยู่พักหนึ่ง
“ผู้จัดการส่วนตัวน่ะครับ”
อีอูยอนตอบก่อนจะเดินเข้ามาด้านใน
“ผมมาเปลี่ยนเสื้อแป๊บหนึ่งน่ะครับ”
“ครับ…”
ระหว่างที่อีอูยอนเข้าไปในห้องแต่งตัว แบคฮีจินก็ถอดรองเท้าก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน จากนั้นเธอก็มองตรงนั้นทีตรงนี้ที
“บ้านของคุณอูยอนสะอาดมากเลยนะคะเนี่ย ถ้าใครมาเห็นคงนึกว่าเขาอยู่กับผู้หญิงแน่เลย”
“ฮ่าๆ เป็นแบบนั้นเพราะมีคนที่ช่วยจัดการให้ต่างหากครับ”
“คุณผู้จัดการส่วนตัวทำความสะอาดให้ด้วยเหรอคะ”
เธอเบนสายตามาที่อินซอบก่อนจะเอ่ยถาม
“เปล่าครับ ผมแค่…จัดเรียงนิดหน่อยเท่านั้นครับ”
“อย่างนั้นเหรอคะ พวกคุณอยู่ด้วยกันเหรอคะ”
“…ระยะหนึ่งน่ะครับ เพราะมีเรื่องเกิดขึ้น”
“เพราะงั้นเขาก็เลยชวนให้ไปเจอกันข้างนอกสินะ”
พอได้ยินคำพูดที่แบคฮีจินพึมพำคนเดียว อินซอบก็คอตก หญิงสาวมองชั้นวางหนังสือที่วางปิดกำแพงห้องนั่งเล่นอยู่พลางอุทานออกมา
“ดูท่าคุณอีอูยอนจะชอบอ่านหนังสือมากเลยสินะคะ อ๋า ฉันก็รู้จักนักเขียนคนนี้เหมือนกัน หนังสือเล่มนี้สนุกมากเลยนะคะ”
หนังสือที่เธอเลือกเป็นหนังสือที่อีอูยอนอ่านไปได้ไม่กี่หน้า และบอกว่าเป็นหนังสือที่เหมือนขยะก่อนจะโยนทิ้งไป อินซอบคิดว่าจะพูดเรื่องนั้นดีหรือไม่ แล้วสุดท้ายปิดปากอยู่เงียบๆ
อีอูยอนสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพร้อมกับพาดเนคไทไว้ที่คอ และเดินออกมาพลางติดกระดุมไปด้วย เขามองหนังสือที่แบคฮีจินดึงออกมาก่อนจะอมยิ้ม
“เป็นหนังสือที่สนุกใช่ไหมล่ะครับ”
“ค่ะ สนุกมากจนฉันนั่งอ่านจนจบโดยไม่ลุกไปไหนเลยล่ะค่ะ เดิมทีฉันอ่านหนังสือไม่ค่อยเก่งหรอกนะคะ แต่ดูเหมือนเล่มนี้จะตรงกับรสนิยมของฉันน่ะค่ะ”
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนติดกระดุมตรงแขนเสื้อเชิ้ตพลางเอ่ยตอบ อินซอบยืนเงียบๆ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเหมือนคนทำผิดพลางลูบชายเสื้อของตัวเอง
“เดี๋ยวถ้ามีหนังสือที่อยากอ่าน ฉันขอยืมได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
แม้จะตอบอย่างยินดี แต่เขาไม่มีเรื่องให้ต้องเจอผู้หญิงคนเดิมมากกว่าสองครั้งหรอก ตอนที่แบคฮีจินหันไปมองชั้นวางหนังสือพลางทำลิสต์รายการอยู่คนเดียวว่าถ้ามาคราวหน้าจะยืมหนังสืออะไรดี อีอูยอนก็หันหน้ามาหาอินซอบ
“กินข้าวหรือยังครับ”
“ครับ กำลังจะกิน…”
อีอูยอนเหลือบมองบนโต๊ะ
“จะกินคนเดียยทั้งหมดเลยเหรอครับ”
อีอูยอนถามทั้งๆ ที่รู้ว่าอาหารที่จัดวางอยู่บนโต๊ะเป็นอาหารสำหรับสองที่ อินซอบเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
“ถ้ากินเยอะเกินไปจะนอนไม่ได้เพราะอาหารไม่ย่อยนะครับ กินพอดีๆ เถอะครับ”
อีอูยอนยิ้มเพียงแวบเดียวก่อนจะพูดอย่างนั้น
“รีบออกไปกันเถอะค่ะ”
แบคฮีจินคล้องแขนอีอูยอนและพูดอย่างน่ารัก หลังจากที่อีอูยอนบอกให้อินซอบเฝ้าบ้านดีๆ แล้ว เขาก็เดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน
อินซอบได้ยินเสียงพูดเบาๆ ของคนสองคนจากด้านนอกของประตูหน้าบ้านห่างออกไปเรื่อยๆ พลางยิ้มอย่างขมขื่น
[1] สต็อกโฮล์ม ซินโดรม คือ อาการของคนที่ตกเป็นเชลยหรือตัวประกันเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนร้ายหลังจากที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง