อีอูยอนถอดแว่นตาเก็บไว้ในกล่องใส่แว่นก่อนจะโยนไปที่เบาะหลัง อินซอบที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับไม่รู้ว่าควรจะวางสายตาไว้ตรงไหนดี เพราะบรรยากาศแปลกๆ เขาเลยขยับนิ้วไปมาเงียบๆ ถ้านั่งอยู่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับ เขาก็คงจะลูบพวงมาลัย …พอได้มานั่งตรงที่นั่งข้างคนขับที่ไม่ได้นั่งมานาน เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรดี เพราะข้างหน้ามันโล่ง
“ผมจะโทรเรียกแท็กซี่นะครับ ขอยืมโทรศัพท์มือถือหน่อยได้ไหมครับ”
ถ้าไม่ใช่ตอนทำงานเหมือนกับวันนี้ โทรศัพท์มือถือของอินซอบก็แทบจะถูกทิ้งไว้ที่บ้าน เพราะอีอูยอนเป็นคนควบคุม อีอูยอนส่ายหน้า
“โทรศัพท์ผมแบตเตอร์รี่หมดครับ”
“…”
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า และโชว์หน้าจอที่แหล่งพลังงานหมดไปแล้วให้ดู อินซอบร้องอ๋อก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มียางสำรองกี่เส้นเหรอครับ“
“หนึ่งครับ”
“…”
อินซอบครุ่นคิด และเขาก็เปิดประตูเพื่อจะลงไป อีอูยอนเอื้อมมือออกมาปิดในขณะที่ประตูถูกเปิด
“จะไปไหนครับ”
“จะไปเรียกแท็กซี่ครับ”
“ฝนหยุดแล้วค่อยออกไปครับ ไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอะไรซะหน่อย”
อีอูยอนพูดถูก พวกเขาไม่ได้มีเรื่องด่วนอะไรเลย มีก็แต่หัวใจที่เร่งรีบเท่านั้น
อินซอบเอนตัวพิงเบาะที่นั่งด้านข้างคนขับอีกครั้ง
“ไม่ถอดเสื้อเหรอครับ”
“ครับ?!”
“มันเปียกน่ะครับ”
นี่เป็นบทสนทนาที่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่ถึงอย่างนั้นอินซอบกลับรู้สึกเขินอายอย่างไร้สาระจนเลือดไปกองอยู่ที่หน้า เขาถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่ออกมาพับอย่างสวยงาม และวางไว้ตรงเบาะหลัง พอทำเรื่องที่จะทำทั้งหมดเสร็จ ความเงียบที่น่าอึดอัดใจก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
ต้องพูดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ …แล้วจะพูดอะไรดีล่ะ
ในตอนที่อินซอบมองออกไปนอกหน้าต่างพลางรู้สึกกังวลใจ อีอูยอนก็โพล่งขึ้น
“พอเห็นคุณอินซอบแล้ว คุณเหมือนจะเป็นคนที่ไม่มีดวงมากๆ เลยนะครับ”
“ครับ?”
อินซอบกะพริบตาปริบๆ เพราะเขาไม่รู้ว่า ‘ไม่มีดวง’ แค่หมายความว่าโชคไม่ดีหรือมีความหมายเป็นนัยๆ ว่ารู้สึกไม่ดีกับอีกฝ่ายกันแน่
“ก็เดทครั้งแรกเป็นแบบนี้ เพราะรถโดนเจาะยางไงครับ”
“เดท…เหรอครับ”
“งั้นสิครับ คุณนึกว่านี่คืออะไรล่ะ คิดว่าเป็นการให้รางวัลสำหรับผู้จัดการส่วนตัวที่ตั้งใจทำงานเหรอครับ”
แน่นอนว่าเขาคิดว่ามันแปลกอยู่นิดหน่อย เพราะอีอูยอนพูดโพล่งออกมาว่าคราวหน้าเราไปดูหนังกันเถอะทันทีที่เขาพูดว่าถ้ามีแฟนจะพาไปโรงภาพยนตร์ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ที่เขาไม่รู้จักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อินซอบจึงรีบลบความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวทิ้ง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขาตั้งใจเอาไว้อยู่เสมอว่าเขาจะไม่คาดหวังแม้เพียงเล็กน้อยกับอีอูยอน
“…ไม่รู้สิครับ”
“ก็ได้ครับ เพราะตอนนี้คุณก็รู้แล้ว”
“…”
บรรยากาศอึดอัดเพิ่มขึ้น อินซอบครุ่นคิดในขณะที่ลูบเล็บไปด้วยว่าจะต้องเรียกส่วนไหนของวันนี้ว่าเดทถึงจะดี
…ไม่มี ไม่มีเลยสักส่วนเดียว
อีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าตัวเองโดนแกล้งอีกแล้ว และหน้าแดง
“อยากเดทกับผมสินะครับ”
“…!”
“ไว้คราวหน้าไปเดทกันครับ เดทแบบจริงๆ จังๆ น่ะ”
“…ผมคงจะต้องขอปฏิเสธครับ”
“ปฏิเสธอะไรกันล่ะครับ ถ้าชวนก็ต้องทำสิ”
ท่าทางที่พูดแบบนั้นดูอารมณ์ดี อีอูยอนเอนเบาะไปด้านหลังก่อนจะนอนลง เขาขยับมือสั่งให้อินซอบ นอนลงไปด้วย
“ผมจะนั่ง…!”
อีอูยอนเอนเบาะที่นั่งข้างคนขับไปด้านหลังซะแล้ว อินซอบร้องอ๊ากในขณะที่นอนลง
“การเป็นการเที่ยวชมที่ดี เพราะสตอล์กเกอร์บ้าๆ เลยนะครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ…”
“เป็นไงครับ ความรู้สึกที่ได้นอนชื่นชมฝนที่ตกลงมาผ่านซีนรูฟกับผมน่ะ”
“…ก็ใช้ได้ครับ”
บทสนทนาถูกตัดจบอีกครั้ง แม้อีอูยอนจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่อินซอบกลับรู้สึกปากแห้ง เพราะความอึดอัดใจ
จะชวนคุยเรื่องอะไรดี ในหัวของอินซอบเอาแต่คิดว่า อะไรดีๆ จากนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่คุยกันในวงเหล้าวันนั้นขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
“…คุณทำยังไงกับจดหมายพวกนั้นเหรอครับ”
“…จดหมายไหนครับ”
“จดหมายที่ได้รับเดือนละครั้งน่ะครับ”
“โปสการ์ดน่ะเหรอครับ ก็เผาสิครับ แล้วก็ฉีกทิ้งด้วย”
อีอูยอนตอบอย่างสบายๆ อินซอบถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ว่าเป็นอย่างที่คิดเลย
“ทำไมครับ คุณอินซอบส่งโปสการ์ดพวกนั้นมาเหรอครับ…ส่งมาจริงเหรอ”
“…”
“คุณอินซอบส่งมาจริงๆ เหรอครับ”
“ถึงผมจะไม่ได้เขียน…แต่ผมเป็นคนส่งครับ”
เขาเป็นคนส่งจริงๆ เพราะถึงแม้เขาเลือกข้อความมาจากไดอารี่ของเจนนี่ แต่อินซอบก็เป็นคนเขียน อีอูยอนหัวเราะเสียงต่ำ
“เป็นสตอล์กเกอร์จริงๆ สินะครับ คุณชเวอินซอบ”
“ถึงจะไม่ใช่ข้อความที่ผมเขียน…แต่ก็เป็นแบบนั้นแหละครับ”
“ทำไมครับ หมายความว่านั่นเป็นของเพื่อนเหรอครับ ของเจนนี่เหรอ”
พอชื่อเจนนี่หลุดออกมาจากปากของอีอูยอน เขาก็รู้สึกแปลกๆ อินซอบพยักหน้าน้อยๆ
“เขียนจดหมายแทนคนที่ตายไปแล้วเนี่ย ไม่รู้สึกแย่บ้างเหรอครับ”
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักครั้ง…”
ไม่เคยคิดด้วย ความรู้สึกที่เขารู้สึกหลังจากอ่านไดอารี่ของเจนนี่มีแค่ความรู้สึกผิด เสียใจ และละอายต่อบาปเท่านั้น ความคิดที่ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่เขากลับไม่สามารถอยู่ข้างๆ เธอได้จนถึงตอนสุดท้ายรบกวนเขามาตลอด
“อยากให้ทำอะไรให้ล่ะครับ ถ้าเป็นสิ่งที่ผมสามารถทำได้ล่ะก็ ไม่ว่าอะไร…”
อินซอบเชื่อว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถไถ่บาปให้กับเจนนี่ได้
อีอูยอนหันหน้าไปทางอินซอบ ดวงตาเย็นชาหรี่ลงในความมืด
“ทำไมถึงมีชีวิตแบบนี้ล่ะครับ”
“ครับ?”
“ผมถามว่าทำไมถึงมีชีวิตอยู่เหมือนคนโง่แบบนั้นล่ะครับ ทำแบบนั้นเพื่อให้คนที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตเหรอครับ”
“…”
พออีอูยอนคุ้ยบาดแผลของเขาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัวใจของอินซอบก็เย็นวาบ เขารู้ดีกว่าใครว่าความจริงแล้วไม่มีใครขอให้เขาทำแบบนี้เลย แต่เขาทำแบบนี้ เพราะเขาไม่สามารถนั่งอยู่ในหลุมของความสิ้นหวังและความเศร้าเฉยๆ ได้
“ความจริงแล้วคนตายน่ะเป็นแค่ข้ออ้าง และตัวคุณอินซอบเองก็อยากทำแบบนี้”
“…!”
“ตามผมมาเพราะตัวเองอยากทำ แล้วคุณก็ชอบผมด้วย เป็นแบบนั้นใช่ไหมครับ”
พออินซอบที่หน้าแดงจะลุกขึ้นจากเบาะรถ อีอูยอนก็เอื้อมมือไปรั้งให้เขานอนลงอีกครั้ง แถมยังดึงเข็มขัดนิรภัยออกมาคาดไว้เพื่อทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ชเวอินซอบใช้แขนปิดหน้าและพลิกตัวหนี อีอูยอนรู้ว่าตนเองได้สะกิดบาดแผลที่ลึกที่สุดของอินซอบเข้าแล้ว ชเวอินซอบไม่ได้ตำหนิอะไร อีกฝ่ายแค่สร้างบาดแผลให้ตนและกระตุ้นบาดแผลนั้นไม่หยุดเท่านั้น และอีอูยอนก็ไม่พอใจกับเรื่องนั้นมากๆ
“ขอโทษครับ ผมพูดแรงไป”
“…”
“ผมแค่รู้สึกแย่ที่ตัวเองถูกเอาเข้าไปเกี่ยวด้วย เพราะผู้หญิงที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งหน้าตาน่ะครับ”
ถ้าเป็นไปได้อีอูยอนอยากจะดึงการมีอยู่ของผู้หญิงที่ชื่อเจนนี่ที่ติดอยู่ในชีวิตของอินซอบทิ้งไป การที่อีกฝ่ายใช้คำพูดที่ว่าอยากจะให้ทำอะไรก็ได้กับผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่ตัวเขา นั่นทำให้อีอูยอนอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
“บอกว่าทำแบบนั้นเพราะชอบผม เพราะชอบผมจนจะเป็นบ้าเถอะครับ”
อีอูยอนพูด อินซอบรู้ว่านั่นเป็นการปลอบใจที่อีกฝ่ายมอบให้
“ผมจะ…ทำแบบนั้นครับ”
“ไม่ใช่จะทำแบบนั้น มันเป็นความจริงนี่ครับ เพราะคุณอินซอบชอบผม”
ใบหน้าของอินซอบร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เขากลัวว่าอีอูยอนจะเริ่มพูดคำพูดล้อเล่นพวกนั้นไปตามมารยาท หัวใจของเขาจึงบีบรัด แต่อีอูยอนกลับเงยหน้ามองซันรูฟที่มีฝนเทลงมาโดยไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ แค่นั้นจริงๆ
เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคารถค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยระหว่างคนทั้งคู่ เสียงพวกนั้นค่อยๆ ชะล้างสิ่งที่ไม่ใช่คนทั้งสองคนในปัจจุบันออกไปทีละน้อย ทีละน้อย ชเวอินซอบมองหน้าอีอูยอนที่นอนอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง พอสบตากัน อีอูยอนก็แอบยิ้มให้ อีอูยอนยิ้มแบบนั้นท่ามกลางเสียงฝน
นี่เป็นครั้งแรกที่อินซอบรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ข้างๆ อีอูยอน
ฝนที่ตกลงมากระทบหลังคารถก่อนจะไหลลงมา แม้อินซอบจะคิดว่าฝนคงจะไม่หยุดตกไปสักพัก แต่เขากลับไม่ยอมบอกความจริงนั้นกับอีอูยอน อีอูยอนเองก็ปิดปากเงียบเช่นกัน โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเขาแค่เปิดเครื่องก็ใช้ได้แล้ว
ประมาณตีสามฝนถึงได้เบาลง
***
ตอนที่เดินเข้าประตูหน้าบ้านมา อินซอบมองถุงเท้าของตัวเองที่เปียกฝนจนดูไม่ได้ก่อนจะนิ่วหน้า อีอูยอนเห็นแบบนั้นจึงอุ้มอินซอบขึ้นมา
“ผะ ผม…”
“จะเข้าบ้านผมด้วยเท้าที่สกปรกแบบนั้นเหรอครับ”
“…”
“อยู่นิ่งๆ ครับ”
อีอูยอนปล่อยอินซอบลงที่ห้องน้ำ พอเห็นอินซอบยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมถอดเสื้อออก อีอูยอนจึงแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตพลางเอ่ยถาม
“อาบน้ำด้วยกันไหมครับ”
“ไม่ครับ ไม่ ผมจะอาบคนเดียว”
“โอเคครับ งั้นอาบน้ำเสร็จแล้วออกมานะครับ”
พอประตูห้องน้ำถูกปิดลง อินซอบถึงได้ค่อยๆ ถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก สุดท้ายเขาก็รอจนกระทั่งฝนหยุดตก และออกไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ เพื่อโทรศัพท์หาบริษัทประกัน ทั้งสองคนปล่อยให้รถถูกลากไป และขึ้นแท็กซี่กลับมา
พอมองนาฬิกาที่อยู่ในห้องน้ำ ก็เป็นเวลาตีสี่แล้ว ที่โชคดีคือตารางของพรุ่งนี้เป็นช่วงบ่าย ถึงไม่นับเรื่องที่นอนตื่นสายได้ อย่างไรความกดดันทางจิตใจก็ต่างจากการมีตารางงานตอนเช้าตรู่อย่างสิ้นเชิง
แต่คนที่ทำเรื่องแบบนั้นคือใครกันแน่ ตารางงานวันนี้ไม่ใช่ตารางงานอย่างเป็นทางการ แต่คนพวกนั้นกลับตามมาทำลายรถเหรอ
ความจริงแล้วชเวอินซอบเคยไปตีรถของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการแก้แค้นก่อนที่จะมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แม้เขาจะเคยจินตนาการภาพที่ทำให้รถพังยับเยินในหัว แต่สุดท้ายสิ่งที่อินซอบทำมีเพียงแค่การทำรอยเล็กๆ ประมาณสองเซนติเมตรบริเวณกันชนเท่านั้น
ดูจากการทำให้เสียหายมากมายขนาดนั้น คนพวกนั้นต้องไม่ใช่สตอล์กเกอร์ธรรมดาแน่
อินซอบครุ่นคิดว่าเขาจะต้องบอกกรรมการผู้จัดการคิม หรือหัวหน้าทีมชาไหมก่อนจะอาบน้ำเสร็จ พอเขาเปลี่ยนชุดออกมาที่ห้องนั่งเล่น อีอูยอนก็กำลังอ่านหนังสืออยู่
“ไม่นอนเหรอครับ”
“นอนสิครับ ตอนนี้แหละ”
อีกฝ่ายปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงก่อนจะลุกขึ้น ความคิดแปลกๆ โผล่ขึ้นมา นี่อีอูยอนรอจนกระทั่งเขาอาบน้ำเสร็จออกมาเหรอ
ไม่น่า ไม่มีทาง
อินซอบส่ายหน้า และเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง พอเห็นว่าอินซอบหยิบผ้าห่มมาปูด้านล่างเตียง อีอูยอนก็เอ่ยถามเหมือนกับตกใจ
“วันนี้ไม่นอนบนเตียงเหรอครับ”
“ครับ?”
“ลืมไปแล้วเหรอครับว่ามีอะไรโผล่ออกมาจากใต้เตียง”
“…!”
พอนึกถึงผีที่คลานออกมาจากใต้เตียง และจับผมของตัวเอกแล้วลากไป หน้าของอินซอบก็ซีดเผือด
“จะนอนกับผมไหมครับ”
“…แค่วันนี้…”
“ทำอย่างที่คุณต้องการเลยครับ เพราะถ้าขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะลงไปไม่ได้แล้ว”
อินซอบคิดอยู่สักพัก เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่น แล้วเขาก็ตัดสินใจนอนข้างล่างก่อน
“ถ้ามีอะไรออกมาจากใต้เตียงก็บอกนะครับ”
“…มันเป็นแค่หนังเท่านั้นครับ”
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนปิดโคมไฟในห้องนอนพร้อมกับกล่าวราตรีสวัสดิ์ อินซอบไม่สามารถหลับได้ง่ายๆ เพราะนึกถึงคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่ามีอะไรออกมาจากใต้เตียง เขาพลิกตัวหนึ่งครั้ง อีกหนึ่งครั้ง แล้วก็พลิกไปพลิกมา พลิกไปพลิกมา
อินซอบขยับตัวไม่หยุดเพื่อสร้างที่นอนที่ปลอดภัยและไม่น่ากลัวที่สุด จู่ๆ อีอูยอนก็ลงมาจากเตียง และดึงอินซอบขึ้นไป
“ทำอะไร…”
“ผมนอนไม่ได้ เพราะกลัวครับ”
“ครับ?”
“ผมกลัวว่าผีจะโผล่มา ก็เลยจะนอนกับคุณอินซอบครับ”
อีอูยอนใช้แขนข้างหนึ่งกอดอินซอบเอาไว้ และพูดโกหกอย่างหน้าตาเฉย
“ผมกลัวตลอดเวลาที่ดูหนังเลยครับ”
“…”
แม้อินซอบจะไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัวในตอนที่ดูภาพยนตร์สยองขวัญ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่าอีอูยอนไม่ขยับ และมองหน้าจออยู่ตลอดจนเขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมอีกฝ่ายในใจ ถึงขนาดที่เขาคิดว่าคนแบบนั้นไม่รู้สึกถึงความกลัวหรือเปล่า
“เพราะฉะนั้นคุณอินซอบช่วยนอนข้างผมหน่อยนะครับ”
ที่ถูกคือเขาควรจะดันอีอูยอนออกไป และลงไปนอนข้างล่าง แต่วันนี้อินซอบอยากจะมองข้ามความมีสติไป
อินซอบบอกว่า ‘งั้นผมจะทำแบบนั้นครับ’ ด้วยเสียงสั่นๆ และนอนลงบนเตียง อีอูยอนยิ้มในตอนที่รู้สึกว่ามีคนนอนข้างๆ อินซอบพลิกตัวอยู่สองสามครั้งก่อนจะเห็นว่าอีอูยอนนอนหลับไปแล้ว จึงกลั้นหายใจเอาไว้
ใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นใบหน้าที่เขาเห็นอยู่ตลอด แต่พอมองแบบนี้แล้ว เขากลับรู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลย
เขาไม่ใช่นักแสดงอีอูยอนที่ทุกคนรัก ไม่ใช่ฟิล ลิปควอร์เตอร์แบ็กของทีมอเมริกันฟุตบอล แต่เป็นอีอูยอนที่ตนรู้จัก
ชเวอินซอบมองใบหน้าของอีอูยอนอยู่สักพักก่อนจะหลับตาลง เขาไม่มีความคิดที่น่ากลัวๆ อีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้นเสียงลมหายใจภายในห้องก็ผ่อนคลายลง