“…”
เนื่องจากแนวความคิดของอีอูยอนไม่ปกติ อินซอบจึงไม่ได้สามารถตามความคิดของอีกฝ่ายได้ทัน
“ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต…อืม”
อีอูยอนคล้ายจะจมอยู่กับความคิดสักพัก เขามองหลังศีรษะของอินซอบก่อนจะพูดต่อ
“แค่พามาก่อนก็ได้นี่ครับ”
“ถ้าทำแบบนั้นจะจบเหรอครับ”
“ถ้าฟังที่ผมพูดก็โอเคครับ แต่ถ้าไม่ฟัง ผมก็จะทำให้ตาย หรือไม่ก็แค่ยกให้คนอื่น”
“…”
โอ๊ย เราทำตามวิธีคิดนั้นไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ตายก็ทำตามไม่ได้
ขณะที่อินซอบกำลังตำหนิตัวเองที่ถามคำถามไร้สาระออกไป อีอูยอนก็โยนคำถามใส่อย่างกะทันหัน
“พอไปถึงฮาวายแล้ว คุณอินซอบอยากทำอะไรมากที่สุดเหรอครับ”
“แค่เดินเล่น…ก็พอแล้ว แค่เดินไปเดินกลับก็พอแล้ว อ้อ จริงสิ เพราะเป็นอเมริกาค่าโทรศัพท์ก็จะถูกลง แล้วก็น่าจะมีโทรศัพท์สาธารณะเยอะด้วย งั้นผมจะโทรกลับบ้าน…”
ขณะที่กำลังร่ายยาวด้วยความตื่นเต้น อินซอบก็พบว่าอีอูยอนกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาน่าหวาดกลัว จึงหุบปากอย่างรวดเร็ว
“อยากกลับบ้านเหรอครับ”
“…”
ถ้าบอกว่าไม่อยากกลับก็คงเป็นเรื่องโกหก และหากบอกว่าอยากกลับก็คงจะเป็นการทิ้งความโง่เอาไว้ตรงนี้แน่นอน อินซอบพยายามพิจารณาจิตใจที่ตรงไปตรงมาของตัวเองเงียบๆ อีอูยอนที่เข้าใจความเงียบของเขาในความหมายอื่นยิ้มโชว์ฟันที่เรียงสวย แต่ตาของเจ้าตัวไม่ได้ยิ้มไปด้วย ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวเผยตัวออกมาในดวงตาคู่นั้น อีอูยอนจ้องมองด้านหลังศีรษะของชเวอินซอบที่กำลังจับพวงมาลัยอย่างไม่ยอมแพ้
“นอกจากตอนออกนอกประเทศแล้ว เวลาที่เหลือคุณอย่าหวังว่าจะได้เห็นพาสปอร์ตเลยครับ”
“ผมไม่หนีหรอกครับ”
“ผมจะเชื่อคำพูดนั้นได้ยังไงล่ะครับ ตอนนอนผมก็จะมัดเท้าไว้ด้วย ผมจะให้คุณถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วก็ยัดมันไว้ในตู้เซฟ”
อินซอบหน้าเครียดไปพักหนึ่ง เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าจะทำแบบนั้นจริงๆ แม้อีอูยอนจะหัวเราะและบอกว่า ‘ผมพูดเล่นครับ’ แต่สีหน้าของอินซอบที่เป็นกังวลก็ไม่ผ่อนคลายลงง่ายๆ เพราะแบบนั้นอีอูยอนถึงสามารถยิ้มได้อยู่สักพัก
ในระหว่างทางกลับบ้านคนทั้งคู่พูดไร้สาระเกี่ยวกับการไปเที่ยวต่ออีกสองสามคำ
วันนั้นอินซอบได้จัดสัมภาระสำหรับไปเที่ยวครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา อินซอบตอบกลับคำถามของอีอูยอนที่ถามว่าตื่นเต้นไหมว่าไม่อย่างนิ่งเฉย แต่เขากลับนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
และอีอูยอนก็รู้ความจริงนั้นอยู่แล้ว
***
“ฮาย มิสเตอร์ชเว”
อินซอบร้อง ‘อ้อ’ และตกใจกับใบหน้าที่คุ้นเคยที่เจอที่สนามบิน
“คนที่ออฟฟิศจะต้องไปเป็นผู้ช่วยที่สถานที่ถ่ายทำหนึ่งคนน่ะค่ะ พอเอาชนะการแข่งขันที่ดุเดือดมาได้ ฉันก็เลยได้มา”
อีดายองพูดร่ายยาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“คนอื่นๆ บ้าไปเลยแหละค่ะ เพราะเราจับสลากกัน หัวหน้าทีมฮงถึงกับบอกว่าถ้าเปลี่ยนฉลากที่ได้รางวัลกับตัวเอง เขาจะให้โบนัส แต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ส่วนคนที่ดีใจที่จับสลากไม่ถูกก็มีแค่หัวหน้าทีมชาเท่านั้นแหละค่ะ!”
เธอเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ชเวอินซอบฟังด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ฉันเพิ่งเคยไปฮาวายครั้งแรกก็เลยตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ เมื่อวานนอนไม่หลับเลย”
“ผมเองก็หลับๆ ตื่นๆ นิดหน่อยเหมือนกันครับ”
พอเห็นอินซอบตอบอย่างเขินๆ อีดายองก็ทำหน้าตายินดีพร้อมกับบอกว่า ‘ใช่ไหมล่ะคะ’
“ใช่ไหมล่ะคะ ใช่ไหมล่ะ! พี่สาวฉันน่ะ มองฉันแล้วก็ดูถูกว่าฉันเชยด้วยแหละค่ะ แต่เพราะฉันเคยไปเที่ยวต่างประเทศแค่ที่ญี่ปุ่นครั้งเดียวเอง ก็เลยประหม่าจริงๆ ค่ะ แถมฉันยังไม่เก่งภาษาอังกฤษซะด้วย อือ คุณอินซอบเก่งภาษาอังกฤษไหมคะ”
“เอ่อ…ก็ได้นิดหน่อย…”
“งั้นเหรอคะ เหมือนกันเลยค่ะ คนเกาหลีน่ะต่อให้จะเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมาขนาดนั้น แต่ก็ยังอ่อนกับการใช้จริงอยู่ดี”
“งั้นเหรอครับ”
อินซอบยิ้มเจื่อนๆ พลางตอบรับคำพูดของอีดายอง ความจริงแล้วภาษาอังกฤษคือภาษาแม่ของอินซอบ เขาจึงตั้งใจที่จะไม่ใช้ภาษาอังกฤษสักคำในตอนที่อยู่เกาหลี และใช้แค่ภาษาเกาหลีเท่านั้น ชเวอินซอบคิดว่าเขาจะใช้ภาษาอังกฤษแค่ขั้นพื้นฐานต่อหน้าอีดายอง
“คุณอินซอบ ตั๋ว…”
อีอูยอนไปรับตั๋วเครื่องบิน พอเขาเห็นอีดายองเขาก็ทำหน้านิ่งอยู่แวบหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ”
อีดายองจำอีอูยอนได้ และทักทายอย่างยินดี อีอูยอนทักทายเธอกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“มีธุระอะไรที่นี่เหรอครับ มาทำธุระเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันเองก็จะไปฮาวายด้วย ฉันได้ไปเพราะบรรณาธิการฝ่ายศิลป์หาคนที่จะไปเป็นผู้ช่วยน่ะค่ะ”
เธอทำหน้าภาคภูมิใจที่ตัวเองเอาชนะการแข่งขันที่ดุเดือดมาได้ อีอูยอนตอบว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ ก่อนจะหมุนเท้าไปอย่างกะทันหัน และเดินไปที่อื่น
“คุณอีอูยอนเขาสภาพร่างกายไม่ค่อยดีเหรอคะ เขาดูอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยหรือเปล่า”
“งั้นเหรอครับ”
อินซอบมองด้านหลังของอีอูยอนที่ห่างออกไปไกลพร้อมกับกะพริบตาอย่างวุ่นวายใจ เขารู้ว่าแววตาของอีอูยอนเย็นชาขึ้นในวินาทีที่เห็นหน้าของอีดายอง
“เอาพวกยาสามัญประจำบ้านมาหรือเปล่าคะ แน่นอนว่าพอไปถึงที่นั่นก็น่าจะมีทุกอย่าง แต่ได้ยินมาว่าคนเกาหลีน่ะถูกกับยาเกาหลีมากกว่า ถ้าคุณอีอูยอนไม่สบายตรงไหนก็จะได้ดูแลเขาได้ไงคะ”
“ขอบคุณครับ”
อินซอบรู้สึกขอบคุณจากใจจริงกับการทุ่มเทใจของหญิงสาวและก้มหัวให้
“เอ๊ะ น่าอายจังเลย คุณอินซอบไว้อีกเดี๋ยวเจอกันนะคะ เพราะฉันจะไปเช็คอินแล้วก็เข้าไปซื้อของดิวตี้ฟรีค่ะ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบเอ่ยลาหญิงสาวก่อนจะก้าวเท้าไปยังทิศทางที่อีอูยอนหายไป จากที่ค่อยๆ เดินเร็วขึ้นก็กลายเป็นวิ่งโดยไม่รู้ตัว อินซอบหอบพร้อมกับมองซ้ายทีขวาทีห
แต่ไม่ว่าเขาจะมองหาอย่างไร เขาก็ไม่เห็นอีอูยอนเลย ถ้าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหนสักที่แล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เขาจะไม่เห็นเด็ดขาด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ดึงดูดสายตาของคนอื่นต่อให้จะยืนอยู่เฉยๆ ก็ตาม
“อยู่ที่ไหนกันนะ…”
แม้อินซอบจะวิ่งไปทั่วด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี แต่การที่จะหาอีกฝ่ายเจอในสนามบินที่กว้างใหญ่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หัวใจของเขาเจ็บเหมือนกับถูกฉีก เขายืนพิงกำแพงและหอบหายใจ แล้วมือที่ยื่นออกมาทางด้านหลังก็จับไหล่อินซอบไว้ก่อนจะดึงเข้าไปหา
“…!”
อีอูยอนปิดปากของเขาที่กำลังจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจไว้ พวกผู้หญิงที่ห้อยกล้องถ่ายรูปไว้ที่คอกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป
“พวกแฟนคลับเหรอครับ”
“พวกผู้หญิงเสียสติต่างหากครับ”
อีอูยอนพูดอย่างนั้นออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย อินซอบจึงมองไปรอบๆ ด้วยกลัวว่าจะมีคนได้ยิน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนี้”
อีอูยอนใช้มือชี้ไปที่ป้ายที่บอกว่า ‘กำลังทำความสะอาด’ ที่ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ตอนนั้นเองชเวอินซอบถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“สนใจขนาดนั้นเลยเหรอครับว่าคนอื่นจะรู้ว่าอีอูยอนนิสัยไม่ดี”
“…!”
“คุณชเวอินซอบอยากจะรู้แค่คนเดียวเหรอครับ”
“เปล่าครับ”
“แต่ภาพลักษณ์ที่มีแค่คุณชเวอินซอบที่รู้ก็มีอยู่อย่างหนึ่งนะครับ”
เสียงของอีอูยอนที่หัวเราะอยู่ด้านหลังสัมผัสเข้ากับต้นคอของอินซอบ อินซอบตกใจและหันหลังกลับไปมอง เพราะความคิดที่ว่ามีของนุ่มๆ เฉียดผ่านไป อีอูยอนฉีกยิ้มแบบคนดีให้จากในที่ที่ห่างจากเขาไปประมาณหนึ่งก้าว
คิดมากไปเองเหรอ อินซอบใช้ฝ่ามือลูบคอก่อนจะพูดเหมือนกับพึมพำ
“จะต้องไปทำเรื่องตรวจคนออกนอกเมืองแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“จริงด้วยสินะครับ แต่ก่อนหน้านั่นน่ะ”
อีอูยอนยื่นมือออกมาและใช้นิ้วโป้งลูบริมฝีปากล่างของอินซอบ อินซอบก้มหน้าลง เพราะความรู้สึกอุ่นร้อนที่มุมปาก
“ผมอยากทำให้คุณอินซอบได้กินของที่ชอบก่อนออกจากเกาหลีจังเลยครับ”
เสียงที่สุภาพและอ่อนหวานเลื่อนลงมาตรงต้นคอที่ปรากฏให้เห็นของอินซอบ
***
“นี่! คุณอินซอบ!”
พออีดายองที่สนิทกับทีมงานถ่ายทำแล้ว และกำลังคุยกันอย่างไม่มีเขินอายเห็นอินซอบ เธอจึงโบกมือให้
“ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนน่ะค่ะ”
พอเธอแนะนำอินซอบ เขาก็เดินไปหาทุกคนและรีบก้มหัวให้
“จริงเหรอ ดูเด็กมากเลยนะ”
“อายุมากกว่าฉันสองปีค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อ บอกว่าเป็นเด็กม.ปลายก็เชื่อนะเนี่ย”
“น่าอิจฉาผิวจัง ถ้าเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็น่าจะต้องโต้รุ่งเป็นประจำ แล้วก็น่าจะเหนื่อยนี่นา ทำยังไงผิวถึงดีขนาดนี้ล่ะคะ”
ชเวอินซอบงงกับบทสนทนาที่ไม่คาดคิด เขาพยายามหาคำพูดที่จะตอบออกไปในขณะที่พูดว่า ‘เอ่อ เรื่องนั้น’ หลายๆ คนสนุกกับปฏิกิริยาของเขา และถามอินซอบเกี่ยวกับเรื่องผิวเหมือนกับจะแกล้งเล่นต่ออีกสองสามครั้ง
“คุณอีอูยอนอยู่ที่ไหนเหรอคะ เมื่อกี้ยังอยู่ด้วยกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
อินซอบเบิกตาโพลงเหมือนกับตื่นตระหนกกับคำถามที่ใครสักคนโยนมาผ่านๆ
“เอ่อ…เขากำลังมาครับ”
“เหมือนมีอะไรเปื้อนเสื้อคุณอินซอบเลยค่ะ”
พออีดายองจะช่วยปัดสิ่งที่เปื้อนบริเวณไหล่ให้ ชเวอินซอบก็รีบโบกมือปฏิเสธพลางทำหน้าแดงเหมือนกับโดนไฟจี้
“ไม่ต้องครับ ผมทำเองดีกว่าครับ ไม่เป็นไรครับ”
“ว้าว ดูเหมือนคุณอินซอบจะชอบคุณดายองนะเนี่ย ใครชอบใครกันล่ะ”
“สองคนนี้คบกันเหรอคะ”
คนที่แปลปฏิกิริยาของอินซอบไปในทิศทางอื่นยิ้มอย่างล้อเลียน อีอูยอนที่ปรากฏตัวในตอนนั้นก็แทรกเข้ามาว่า ‘คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ’
“ดูเหมือนความสัมพันธ์ของคุณอินซอบกับคุณดายองจะพิเศษน่ะค่ะ”
“จะต้องดูแลผู้จัดการส่วนตัวดีๆ แล้วล่ะค่ะ ถึงยังไงฮาวายก็เป็นที่ที่คนไปฮันนีมูนกันเยอะด้วย จะต้องตกหลุมรักกันแน่ๆ เลย”
“นั่นสินะครับ จะต้องดูแลให้ดีๆ เลย”
ความบ้าคลั่งที่น่ากลัวที่เขาสัมผัสได้จากน้ำเสียงของอีอูยอน แต่คนอื่นๆ ไม่สามารถรับรู้ได้ทำให้อินซอบกดดัน อีอูยอนชวนชเวอินซอบให้ไปซื้อกาแฟด้วยกันสักครู่ก่อนจะลากแขนเขาไป
“ผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ”
“ผมรู้ครับ”
“ผมไม่ได้พูดอะไรเลย…จริงๆ นะครับ”
แม้แต่การพยายามแก้ตัวของเขาก็ผิดปกติ ที่ด้านหลังของอีอูยอน อินซอบกล้ำกลืนเสียงหัวเราะที่ขมขื่นลงไป
“จะให้ซื้อกาแฟแบบไหนให้ดีครับ”
เขานึกถึงหน้าที่หลักของตัวเอง และเอ่ยถามอีอูยอน
“ผมจะนอนบนเครื่องบิน จะดื่มกาแฟอะไรกันล่ะครับ”
“ก็เมื่อกี้…”
“ผมนึกว่าคุณไม่อยากอยู่ตรงนั้น ก็เลยลองพูดดูน่ะครับ แล้วคุณอินซอบก็อิ่มแล้วไม่ใช่เหรอครับ เพราะดื่มอย่างอื่นที่ไม่ใช่กาแฟมาเต็มที่แล้ว”
อินซอบนึกถึงเรื่องที่เกิดในห้องน้ำเมื่อกี้ และรีบหันหน้าไป แต่อีอูยอนไม่มีทางจะพลาดภาพที่แก้ม ต้นคอ และใบหูของเขาแดงแน่ๆ เขายิ้มและใช้นิ้วถูรอยเปื้อนตรงชายเสื้อเชิ้ตของอินซอบเบาๆ
“คราวหลังดื่มอย่าให้หกนะครับ”
“…!”
อินซอบใช้ฝ่ามือปิดรอยเปื้อนเล็กๆ ที่เปื้อนตรงไหล่ไว้ อีอูยอนพยักหน้าบอกให้ชเวอินซอบรู้ว่าได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว พอเห็นว่าแถวที่พวกเขายืนต่อกันอยู่ต่างกับคนอื่น อินซอบจึงเอียงคอถาม
“ทำไมพวกเราถึงยืนตรงนี้ล่ะครับ”
“เพราะชั้นที่นั่งต่างกันครับ”
“…”
“ไหนๆ ก็จองของผมแล้ว ผมก็เลยจองที่ตรงนี้ให้คุณอินซอบด้วยไงครับ”
อีอูยอนตั้งใจจองตั๋วเครื่องบินเอง เพราะคนที่จะออกจากประเทศคือปีเตอร์ไม่ใช่ชเวอินซอบที่คนในบริษัทรู้จัก แม้ชเวอินซอบจะรู้ความจริงนั้นดี แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอัพเกรดชั้นที่นั่งให้ด้วย
“ไม่แพงเหรอครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเรียกเก็บจากบริษัทเอา”
“ค่ารถผมจะจ่ายเองครับ”
พออินซอบที่ไม่ชอบถูกบังคับให้รบกวนคนอื่นพูดแบบนั้น อีอูยอนเหลือบตามองบนแวบหนึ่งก่อนจะกรอกตา เป็นสีหน้าที่บอกว่าไม่พอใจ
“ผมไม่ชอบคุยเรื่องเงินครับ”
“…ขอโทษครับ”
“ถ้ารู้แล้ว ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปก็อย่าคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกนะครับ”
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาได้รับก็มากเกินไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำ เขาเดินตามหลังอีอูยอน และถูกนำทางไปยังที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส หัวใจของอินซอบก็หนักขึ้น
“จะนั่งริมหน้าต่างไหมครับ”
“ผมนั่งตรงไหนก็ได้ครับ”
“งั้นเข้าไปนั่งริมหน้าต่างเลยครับ”
อินซอบเข้าไปนั่งที่ที่นั่งริมหน้าต่างตามที่อีอูยอนสั่ง เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่จะออกเดินทางในเวลาเช้าตรู่ ที่ชั้นเฟิร์สคลาสจึงไม่มีใครนั่งเลยนอกจากพวกเขาสองคน
อินซอบหยิบหนังสือที่อีอูยอนซื้อให้ออกมาจากกระเป๋าและวางไว้บนตัก อินซอบเปิดหนังสือ และปิดหนังสือก่อนจะใช้นิ้วลูบสันหนังสือไปมาในขณะที่รอให้เครื่องขึ้น แล้วก็กางหนังสือออกอีกครั้ง และเขาทำแบบนี้สลับกันไปมาเรื่อยๆ