ห้องของอีอูยอนเป็นห้องสวีทที่มีระเบียงเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำส่วนตัว เขาหยิบบุหรี่และไฟแช็กจากกระเป๋าก่อนจะออกไปที่ระเบียง อินซอบถอนหายใจ
พอลองใช้นิ้วกดที่ข้อมือดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติที่กระดูก เขาเพียงแค่รู้สึกลำบากใจที่จะขยับ เพราะมันบวมมากกว่าเจ็บเท่านั้นเอง
ที่นิ้ว ที่ข้อมือ…และก่อนหน้านี้เขาก็โดนมีดบาดที่นิ้วด้วยนี่
อินซอบก้มลงมองมือที่ประสบกับความเคราะห์ร้ายเป็นพิเศษพลางยิ้มอย่างขมขื่น ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าหลังจากเจออีอูยอน ก็ไม่มีส่วนที่สมบูรณ์ดีในร่างกายอีกเลย แม้หัวใจของเขาจะขาดรุ่งริ่งมากกว่าร่างกายก็ตาม
นี่เป็นการท่องเที่ยวครั้งแรก แต่สุดท้ายก็เป็นแบบนี้จนได้ อินซอบก้มลงมองข้อมือที่เจ็บแปลบพลางคิดว่าบางทีนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนอยู่แล้ว ที่ผ่านมาการที่อีอูยอนทำตัวอ่อนโยนจนไร้สาระเป็นเรื่องผิดปกติ
ตอนนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นแล้วสินะ
อย่างที่อีอูยอนพูด เหตุผลที่เขาอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายนั้นเป็นความตั้งใจของตัวเขาเอง การที่เขายื้อต่อไปด้วยการเอาการแก้แค้นของเจนนี่มาเป็นข้ออ้างเป็นการกระทำที่โง่เขลา เพราะฉะนั้นการที่จะจากไป เขาก็ต้องทำด้วยความตั้งใจของตนเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องป้องกันไม่ให้คนอื่นได้รับผลกระทบได้ให้มากที่สุด และจะต้องจากไปหลังจากที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัวแล้ว ต่อให้จะต้องไปเข้าคุก เขาก็สบายใจกว่าการอยู่ข้างๆ อีอูยอน
…เขาไม่มีความมั่นใจที่จะทนอีอูยอนอีกต่อไปแล้ว
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนที่เข้ามาเมื่อไหร่ไม่รู้ยืนอยู่หน้าเตียงและเอ่ยเรียกชื่อของชเวอินซอบ อินซอบเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ไปดูกับผมไหมครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่ระเบียง แม้ความจริงตอนนี้เขาอยากจะนอนลงบนเตียง แต่อินซอบก็คิดว่าคำพูดนั้นจะสร้างบรรยากาศแปลกที่ไม่จำเป็นขึ้นมาหรือเปล่า จึงลุกไปเฉยๆ
อีอูยอนหยิบผ้าห่มที่วางอยู่บนเตียงออกมาและเอามาคลุมไหล่ของอินซอบ…แย่ แบบนี้มันเป็นการเล่นนอกกติกานี่ ถ้าเราขีดเส้นเกี่ยวกับความใจดีที่อีอูยอนห้ามทำด้วยก็คงจะดี อินซอบคิด
พอออกมาที่ระเบียง อีอูยอนก็จับให้เขานั่งบนเตียงคู่
“ดูนั่นสิครับ”
อีอูยอนชี้ที่ท้องฟ้า อินซอบที่เงยหน้าไปตามที่อีกฝ่ายชี้โดยไม่ตั้งใจอุทานออกมาว่า ‘อ๋า’
รุ้งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำที่มีฝนตกลงมาปรอยๆ สีสันที่สวยงามถูกผสมเข้ากับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มและกำลังเรืองแสง อินซอบไม่สามารถละสายตาไปจากภาพที่สวยงามที่แสงต่างๆ ที่สะท้อนกับพระจันทร์เต็มที่ที่อยู่ระหว่างก้อนเมฆสร้างขึ้นมาได้เลย
“สวยไหมครับ”
“…ครับ”
คำตอบที่ซื่อตรงหลุดออกมา อีอูยอนมองภาพของอินซอบที่อ้าปากพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้า เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพึมพำออกมา
“ดีจังนะครับ ที่ได้มองของแบบนั้นแล้วรู้สึกอย่างนั้น”
“…?”
“ผมทำได้แค่เดาน่ะครับ แบบว่า ‘คนอื่นๆ รู้สึกว่าของแบบนั้นมันสวยสินะ’”
อินซอบไม่เข้าใจคำพูดของอีอูยอนอยู่แวบหนึ่ง เขากะพริบอยู่สองถึงสามครั้งก่อนจะรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ฟิลลิปเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
“ครับ?…ทำไมจู่ๆ ถึง…”
อินซอบไม่รู้เลยว่าทำไมอีอูยอนถึงหยิบเรื่องเกี่ยวกับอดีตออกมาพูด
“เป็นควอร์เตอร์แบ็กชั้นดี มีแฟนสาวเป็นประธานชมรมเชียร์หลีดเดอร์ แล้วมีอะไรอีกไหมครับ”
“…”
“เป็นลูกชายของตระกูลที่ยิ่งใหญ่สินะครับ ผมแน่ใจว่าคุณรู้มาเท่านี้ใช่ไหมครับคุณสตอล์กเกอร์”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่เรียกอินซอบว่าคุณสตอล์กเกอร์นั้นขี้เล่น แต่เขาหาความขี้เล่นในดวงตาของอีกฝ่ายไม่เจอเลย เนื้อหาที่อีกฝ่ายกำลังพูดก็เหมือนกัน อินซอบตื่นตระหนกและพยักหน้า
“ครับ ใช่แล้วครับ”
“ไม่เคยคิดเลยเหรอครับว่าทำไมผมถึงมาเป็นนักแสดงที่เกาหลี”
“…เคยครับ”
เขาเคยตั้งสมมุติฐานมากมายนับไม่ถ้วนอยู่คนเดียวเกี่ยวกับอดีต ตอนที่เขารู้ความจริงว่าจู่ๆ ฟิลลิปที่หายไปจากอเมริกากำลังทำงานด้านการแสดงด้วยชื่ออีอูยอนอยู่ที่เกาหลีนั้น อินซอบคิดว่ามันไม่น่าเชื่อในครั้งแรก นักเรียนที่เล่นอเมริกันฟุตบอลที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเป็นนักแสดงอย่างนั้นเหรอ นี่เป็นการรวมกันที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
“แล้วเหตุผลคืออะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้สิครับ”
แม้เขาจะลองตั้งสมมุติฐานมากมาย แต่ข้อสรุปก็ออกมาเป็นแบบนั้นเสมอ นั่นก็คือเขาไม่รู้ อินซอบไม่สามารถคาดเดาเหตุผลได้เลยว่าอีอูยอนมาเป็นนักแสดงที่เกาหลีด้วยความคิดอะไร
อีอูยอนที่เงียบไปสักพักเอ่ยถาม
“รู้จักโรค ASPD ไหมครับ”
“คืออะไรเหรอครับ”
“Antisocial personality disorder[1]”
“…ความผิดปกติทางนิสัยต่อต้านสังคมใช่ไหมครับ”
“ครับ”
อีอูยอนนั่งลงข้างๆ อินซอบ เขาพูดต่ออย่างเฉยเมย
“นั่นแหละครับตัวผม”
“…”
“เดี๋ยวนี้บางครั้งก็ถูกเรียกว่าโซซิโอพาธ หรือไซโคพาธ แต่อาการมันไม่เหมือนกันหรอกครับ แค่คล้ายๆ น่ะ”
“…”
อินซอบไม่รู้ว่าทำไมอีอูยอนถึงพูดเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้กับตนเอง และรู้สึกลำบากใจ
“ผมไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ASPD หรอกครับ ถ้าจะวินิจฉัยจะต้องเป็นช่วงหลังอายุสิบห้า แต่ตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่าจะต้องทำพฤติกรรมแบบไหนถึงจะเป็นคนปกติ แม้หลังจากนั้นผมจะก่อเรื่องใหญ่โตก็ตาม แน่นอนว่าจะไม่มีใครรู้ เพราะมันถูกปกปิดด้วยตำแหน่งและเงิน แต่ถึงอยากนั้นผมก็โดนไล่มาที่เกาหลีอยู่ดี”
“…”
อินซอบกลืนน้ำลาย
ตอนอยู่ที่อเมริกา เขาเคยรวบรวมความกล้าและไปที่บ้านของอีกฝ่ายด้วยตัวเองเพื่อจะหาข่าวของฟิลลิป แน่นอนว่าว่าโดนปิดประตูใส่หน้ากลับมา เขาไม่รู้อะไรเลย ฟิลลิปหายไปจากที่นั่นเหมือนคนไม่มีตัวตน
“รู้จักคำว่าประมาทโดยจงใจ[2]ไหมครับ”
“ไม่รู้…ครับ”
“ประมาทโดยจงใจก็คือ ‘การที่ผู้กระทำตัดสินใจแล้วว่าการกระทำของตนมีส่วนที่ทำให้ความผิดสำเร็จ แต่ก็ยังทำการกระทำนั้นในสภาพที่คาดเดาผลลัพธ์เอาไว้แล้ว’ ครับ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ผมอยากจะวางเพลิง แม้จะรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณอินซอบกำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน แต่ถ้าผมอยากจะวางเพลิงขึ้นมาซะดื้อๆ แล้วก็จงใจทำให้ไฟไหม้ ผมก็จะต้องโดนข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเพิ่มเข้าไปกับข้อหาวางเพลิงด้วยไงครับ“
อินซอบขนลุกกับการเปรียบเทียบที่ทำให้รู้สึกเย็นวาบ
“อย่ากังวลไปเลยครับ ผมไม่ทำแบบนั้นแล้ว เบื่อแล้วน่ะครับ”
แม้อีอูยอนจะยิ้มและพูดว่าล้อเล่นกับอินซอบ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยได้ยินเป็นเรื่องล้อเล่นเท่าไรแล้ว
“คนแบบผมใช้ชีวิตอยู่โดยเต็มไปด้วยการประมาทโดยจงใจครับ”
“…”
“เพราะไม่มีเกณฑ์ในการพิจารณาความสำคัญ หรือความรุนแรงของเรื่องต่างๆ ตั้งแต่แรกแล้ว เข้าใจไหมครับ”
แม้อีอูยอนจะยิ้มอย่างงดงามพร้อมกับถามกลับ แต่อินซอบก็ไม่สามารถพยักหน้าได้ เขาแค่คิดว่าอีกฝ่ายนิสัยไม่ดีเฉยๆ แต่พอรู้ว่าเป็นปัญหาทางด้านจิตใจที่ถูกจำแนกว่าเป็นอาการผิดปกติแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นวาบ
“ห้ามทำให้คนอื่นเจ็บนะ ห้ามแกล้งสัตว์นะ คุณอินซอบน่ะต่อให้ไม่ต้องตั้งใจอธิบายเรื่องพวกนั้น ก็เข้าใจได้ใช่ไหมครับ”
“แน่นอนสิ…”
อินซอบกำลังจะพูดว่าแน่นอนสิครับ แต่ก็ต้องปิดปากลง เกณฑ์ที่แน่นอนอยู่แล้วแบบนั้นไม่มีสำหรับผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
“นั่นสิครับ แน่นอนอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ เพราะมันเป็นความจริงที่แน่นอนอยู่แล้วเหมือนกับที่รู้สึกได้ว่าท้องฟ้านั่นสวย”
“…”
“ดังนั้นผมก็เลยแยกลำบากน่ะครับว่าความรู้สึกที่ผมรู้สึกเหมือน หรือแตกต่างกับคนอื่น อันที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้ผมไม่เคยรู้สึกอะไรเลยจนรู้สึกลำบากเลยล่ะครับ”
“…”
“ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังจะทำอะไร”
อีอูยอนที่พูดแบบนั้นใช้นิ้วไล้ไปตามแก้มของอินซอบ อินซอบไม่เชื่อว่าความจริงแล้วผู้ชายที่มีมือที่อ่อนโยนขนาดนี้ไม่สามารถสัมผัสกับความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม อีอูยอนที่ลูบอินซอบเบาๆ พูดต่อทั้งๆ ที่ขมวดคิ้วเหมือนกับอึดอัดใจ
“การแกล้งทำเป็นคนปกติปะปนอยู่ในสังคมน่ะไม่ยากเลยครับ แค่สันนิษฐานความรู้สึกที่คนอื่นๆ รู้สึก แล้วแกล้งทำเป็นแบบนั้นให้พอดีก็ได้แล้ว ผมเป็นนักแสดงที่มีความสามารถนี่ครับ ถึงขนาดกวาดรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์เชียวนะ”
อินซอบมองหน้าของอีอูยอนที่พูดแบบนั้นพลางหัวเราะ และเขาก็รู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา
“แต่กับคุณชเวอินซอบน่ะ…ผมทำไม่ได้เลย”
“…”
“ผมทำให้มันพอดีไม่ได้เลยครับ ผมตั้งสติไม่ได้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้”
“…”
หัวใจของอินซอบอุ่นวาบ แม้เขาจะคิดว่าไม่ แต่เขาก็ยังฟังคำพูดของอีอูยอนที่เหมือนกับคำสารภาพรักอยู่ตลอด
“ผมไม่รู้เลยครับว่าจะต้องควบคุมความรู้สึกของตัวเองยังไง และเริ่มจากตรงไหน บางครั้งผมก็ปล่อยเชือกที่ตัวเองกำลังกำไว้ ดังนั้นผมก็เลยสร้างความเจ็บปวดให้คุณอินซอบอยู่เรื่อยๆ”
อีอูยอนลูบไล้ใบหน้าของอินซอบอย่างระมัดระวัง แก้ม ตา หน้าผาก และติ่งหู
อีอูยอนสัมผัสใบหน้าของอินซอบเหมือนคนที่มองไม่เห็นกำลังคลำดูของที่สำคัญด้วยปลายนิ้ว
ตอนที่ปลายนิ้วของอีอูยอนเฉียดผ่านริมฝีปากไป อินซอบก็ก้มหน้าลง แม้เขาจะได้ยินความจริงที่ว่าความรู้สึกที่คนคนนี้รู้สึกแตกต่างจากตน แม้จะได้ยินคำอธิบายว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นความรู้สึกที่ผิด แต่เขาก็ยังหวังให้อีอูยอนรู้สึกเหมือนกันกับตน
สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกชอบใครสักคน เป็นความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวแบบนี้หรือเปล่า
หลังจากพูดออกมายาวเหยียด อีอูยอนก็หยุดพักอยู่พักหนึ่ง และเริ่มใช้มือลูบไล้ริมฝีปากของอินซอบ
“ที่ผมจะพูดก็คือ…แม้ผมไม่สามารถรู้สึกถึงความงดงามของท้องฟ้านั้นได้ แต่ผมก็คิดว่าอยากจะให้คุณอินซอบมองสิ่งนั้นแล้วคิดว่าสวยครับ”
“…”
“แค่นั้นได้ไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม อินซอบรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ถามแบบนั้นช่างเปล่าเปลี่ยว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองตาอีกฝ่าย ทันทีที่สบตากัน อีอูยอนก็ยิ้มอย่างติดตาตรึงใจ อีอูยอนกำลังมองอินซอบด้วยตาที่สวยงามนั้น
…อินซอบคิดว่าเขาอยากให้ใครก็ได้ช่วยสอนวิธีปฏิเสธคนคนนี้ให้ที
อีกฝ่ายก้มหน้าลงมาจูบอินซอบ อินซอบหน้าแดงขึ้นมาทันที เพราะสัมผัสของริมฝีปากที่เข้ามาหาอย่างนุ่มนวลก่อนจะผละออกไป
อีอูยอนเห็นท่าทางนั้น และส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ผมว่าผมคงจะเป็นไอ้เหี้ยนั่นจริงๆ แล้วครับ”
เมื่อพูดจบ อีอูยอนก็ดึงอินซอบเข้ามากอดไว้ในอ้อมกอดก่อนจะเริ่มจูบอย่างดุเดือด แล้วผ้าห่มที่คลุมไหล่ของอินซอบเอาไว้ก็ตกลงไปที่ปลายเท้า
[1] Antisocial personality disorder คือโรคบุคลิกผิดปกติโดยมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีพฤติกรรมเกเรมาก ทำตัวเป็นอันธพาล ก้าวร้าว ขี้โมโห หยาบคาย ชอบความรุนแรง ชอบทำร้ายผู้อื่น เวลาโกรธจะชอบใช้กำลัง ชอบละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น และไม่สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้ ในกรณีของพระเอกจะมีอาการไม่รู้จักอารมณ์และความรู้สึกเพิ่มขึ้นมาด้วย
[2] ประมาทโดยจงใจ (Recklessness : 미필적 고의) เป็นศัพท์ในทางกฎหมาย หมายถึง การกระทำที่แม้จะไม่ได้มีเจตนา แต่ก็จงใจเพิกเฉยต่อภยันตรายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อบุคคลอื่น เช่น นาย ก. รู้ว่าตัวเองเมาและอาจขับรถชนผู้อื่น แต่ก็ยังฝืนขับออกไป