“ไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าท้อง ท้องก็น่าจะนูนขึ้นมาแล้วนะครับ”
อีอูยอนสอดมือเข้าไปในเสื้อของอินซอบก่อนจะลูบท้อง ความรู้สึกที่ปลายนิ้วเฉียดผ่านชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ อินซอบบอกว่า ‘อย่าครับ’ พร้อมกับหัวเราะ ใบหน้าของอีอูยอนที่เคยยิ้มบางๆ เคร่งเครียดขึ้นในพริบตา น้ำเสียงที่พึมพำว่า ‘ผมอยากทำให้คุณท้องจริงๆ นะครับ’ จริงจังมากเสียจนอินซอบขนลุก
“ว่าแต่ทำไมคุณอินซอบถึงยั่วผมล่ะครับ”
“มะ ไม่ได้ยั่ว…นะครับ”
“อะไรกันล่ะครับที่ว่าไม่ใช่น่ะ คุณชวนมาที่รถ แล้วก็แกล้งทำเป็นหาอะไรสักอย่าง แถมยังเอาแต่มองหน้าผมแล้วก็ทำตัวไม่ถูกอีกด้วย”
อีอูยอนมองนาฬิกาก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าไม่ใช่เวลาที่จะต้องอัดรายการ ผมคงดึงกางเกงของคุณอินซอบลง แล้วก็ลิ้มรสรูที่แสนอร่อยตอนนี้เลย…น่าเสียดายจังครับ”
อินซอบที่จ้องเวลาอัดรายการเขม็งพูดอ้อมแอ้มว่า ‘ยะ อย่างนั้นเหรอครับ’
“แล้วอยากได้อะไรล่ะครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม
“ครับ?”
“ผมสงสัยว่าผู้จัดการส่วนตัวที่จริงใจและใสซื่อของผมอยากได้อะไร ถึงได้ช่วยอมไอ้นั่นของผมให้ในรถน่ะครับ”
แม้จะไม่มีใครมองเห็นด้านในรถ แต่อินซอบก็ยังค้านอย่างหนักแน่ว่าก็ยังมีความเสี่ยงที่เรื่องที่ทำในลานจอดรถจะถูกจับได้อยู่ดี ในตอนที่อีกฝ่ายที่พูดแบบนั้นอ้าปากและงับของของตนเข้าไป อีอูยอนคิดว่าคนคนนี้ต้องมีเรื่องที่จะขอร้องแน่ๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ผมมีเรื่องจะขอร้องครับ”
อินซอบหลุบตามองด้านล่าง และเริ่มพูดอย่างช้าๆ
“ผมจะให้ทุกอย่างเลยครับ”
เขาใช้มือลูบแก้มอินซอบพลางเอ่ย
“งั้น…”
“ยกเว้นเรื่องไปอเมริกา”
“…”
อีอูยอนมองใบหน้าของอินซอบที่เปลี่ยนไปทำหน้าหงอยอย่างบึ้งตึงเหมือนกับสนุก หลังจากทำสัญญาอีกครั้ง อินซอบก็เริ่มงานมาได้สองสัปดาห์แล้ว แม้ตอนนี้เขาจะสามารถโทรศัพท์ได้ทุกครั้งที่อยากทำ แต่หัวใจของอินซอบกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาไม่สามารถตอบคำถามของแม่ที่ถามว่า ‘เมื่อไรจะกลับบ้านกันแน่’ ได้ทุกครั้งที่วางสาย
“ไปแป๊บเดียวก็ไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้ครับ”
“…”
“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป ผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ ถ้าคราวหน้าผมเป็นแบบนั้นอีก ผมก็อาจจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชไปชั่วชีวิตเลยก็ได้นะครับ”
“ผมไม่หนีหรอกครับ ผมจะกลับมาอีกครั้ง”
แทนที่จะตอบ อีอูยอนกลับจับอินซอบให้มานั่งบนตักของตัวเองและจูบอย่างแนบแน่น เขาเลื่อนริมฝีปากลงมาเรื่อยๆ ไปตามหน้าผาก คิ้ว และดวงตาก่อนจะพึมพำ
“แค่ตอนไปอัดรายการผมยังจะเป็นบ้าเลยครับ…แล้วผมจะปล่อยคุณไปอเมริกาได้ยังไง”
“คุณอูยอน…”
“ไม่ได้ครับ ไม่ได้เด็ดขาดจนกว่าคุณอินซอบจะทำให้ผมมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ทิ้งผมแล้วหนีไป”
“นั่นเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดไม่ใช่เหรอครับ”
อีอูยอนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีให้กับการใช้สมองของอินซอบที่หลักแหลมพอสมควร
ความจริงแล้วในสัปดาห์หน้าหลังจากเสร็จงานทุกอย่าง เขาได้จองตั๋วเครื่องบินที่จะไปอเมริกาด้วยกันไว้แล้ว แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับอินซอบ เขาคิดที่จะทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเต็มที่ เพราะถูกทำเซอร์ไพรส์ เขาทำแม้กระทั่งบอกพนักงานที่จัดการตารางงานว่าอย่าบอกตารางงานของสัปดาห์หน้าในอินซอบรู้เด็ดขาด
“ต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่งอยู่แล้วครับ”
“…”
“ลองพูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องนั้นสิครับ เพราะผมจะทำให้”
“…ไม่มีแล้วครับ”
“ลองคิดดีๆ สิครับ จะต้องมีสักอย่างหนึ่งอยู่แล้ว”
พอเห็นอินซอบร้อง ‘อืม’ และจมอยู่กับความคิด อีอูยอนก็คิดอย่างจริงจังว่าเขาจะโดดการอัดรายการหรืออะไรก็ตาม แล้วพาอีกฝ่ายไปโรงแรมใกล้ๆ ทั้งๆ แบบนี้เลยดีไหม
“งั้นผมขอเลี้ยงต้นไม้ได้ไหมครับ”
“ครับ?”
“ต้นไม้น่ะครับ…เคทน่าจะยังอยู่ที่นั่น”
เคทที่เขาทิ้งไว้ที่ดาดฟ้าของห้องบนดาดฟ้ายังคงวนเวียนติดอยู่ในใจของอินซอบ
“อ๋อ ยัยนั่น”
“…”
“ได้ครับ ไปพามาสิครับ แต่อย่าทำดีกับเธอต่อหน้าผมมากไปนะครับ เพราะผมอาจจะสับสนตอนรดน้ำ แล้วอาจจะเทน้ำอุ่นใส่ก็ได้”
“…พอแล้วครับ แค่…”
“ล้อเล่นน่ะครับ เป็นต้นไม้ของคุณอินซอบนี่ครับ ผมก็จะต้องดูแลให้ความสำคัญอยู่แล้ว”
อีอูยอนพูดแบบนั้นก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของอินซอบ อีอูยอนประกบปากต่ออีกสองสามครั้งก่อนจะผละออกไป
“ไม่ได้ครับ ถ้าทำต่อไป ผมได้โดดการอัดรายการจริงๆ แน่ เดี๋ยวผมมานะครับ ส่วนคุณก็ไปพาเคทมาแล้วกลับมาที่นี่”
“เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบไม่อยากจะแสดงท่าทีออกมาว่าความจริงแล้วเขาก็เสียดายเหมือนกันในตอนที่ริมฝีปากของอีอูยอนถอยห่างออกไป เขาจึงพยายามตอบอย่างหนักแน่น
“บอกลาหน่อยครับ”
อีอูยอนจับมืออินซอบไว้และพูด
“…ชอบนะครับ คุณอูยอน”
นี่เป็นคำพูดที่อีอูยอนได้รับจากอินซอบเหมือนเป็นการให้สัญญาเสมอก่อนจะแยกกัน อีอูยอนร้อง ‘อืม’ พลางทำสีหน้าไม่ดีอยู่แวบหนึ่ง
“ยังไม่มั่นใจเลยครับ”
“ยังไงคุณก็ไม่มั่นใจอยู่ตลอดอยู่แล้วนี่ครับ”
“จะต้องมั่นใจในสักวันแน่ครับ แต่เป็นอย่างอื่นนะครับที่ตั้งขึ้นมาอย่างมั่นใจ”
“…”
“รีบออกไปกันเถอะครับ ก่อนที่อากาศจะร้อนกว่านี้”
อีอูยอนพูดแบบนั้นพลางปิดประตูรถ
“ไปเลยครับ ถ้ามองต่อผมจะไม่อยากปล่อยให้ไปนะ ไปแล้วกลับมาทันทีนะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากที่มองภาพอีอูยอนโบกมือให้และหายลับไป อินซอบก็ขึ้นมาบนที่นั่งฝั่งคนขับรถ หลังจากเข้าไปทำธุระที่บริษัทแล้ว เขาตรวจสอบเวลาที่อีอูยอนจะเลิกงาน และขับรถไปที่ที่เขาเคยอยู่ พอได้มาที่ละแวกที่เคยอยู่อาศัย เขาก็รู้สึกแปลกๆ เขาไม่สามารถขับรถขึ้นไปถึงด้านบนได้ เนื่องจากเป็นทางลาดชัน เขาจึงจอดรถไว้ตรงที่ดินเปล่าแถวๆ นั้น ก่อนหน้านี้เขามักจะหลีกเลี่ยงที่ดินเปล่าที่เงียบและไม่มีคน และมักจะจอดรถไว้ที่บริษัทเสมอ แต่เขาคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะตอนนี้คือตอนกลางวัน
อินซอบเดินขึ้นทางลาดไป เขาขึ้นมาถึงดาดฟ้าของบ้านที่เคยอยู่ เขาคิดว่าถ้าห้องบนดาดฟ้ามีเจ้าของใหม่แล้ว อีกฝ่ายจะตกใจเขาหรือเปล่า เขาจึงจงใจกระแอมและเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายที่เขาไม่ได้ยินเสียงที่บอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ที่ห้องบนดาดฟ้าเลย
“อยู่นั่นไง!”
อินซอบเจอกระถางต้นไม้วางอยู่ตรงซอกของดาดฟ้า และวิ่งไปหาอย่างตื่นเต้น แม้ใบจะเสียหายเล็กน้อย เพราะโดนลมฝนโดยตรง แต่เคทก็ยังเขียวชอุ่มอยู่
“ฉันจะเอาเธอไปดูแลให้ดีเลย”
อินซอบกอดกระถางต้นไม้เอาไว้พลางตบเบาๆ ก่อนจะเดินลงบันไดไป อินซอบมองพวกดอกไม้ที่บานอยู่ตามทางที่เขาเดินไปยังที่ที่จอดรถไว้ และคิดว่า ‘ฤดูใบไม้ผลิจริงๆ แล้วสินะ’ เพราะใช้ชีวิตไปๆ มาๆ อยู่แต่กับบ้าน ลานจอดรถ สถานีโทรทัศน์ ลานจอดรถ บ้าน และบริษัทอยู่เสมอ เขาจึงไม่มีเวลาที่จะสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล
วันนี้อีอูยอนก็ไม่มีตารางงานอื่นหลังจากงานนี้แล้ว เราลองชวนเขาไปเดินดูดอกไม้ดีไหม เขาเลิกงานไว จะเหนื่อยหรือเปล่านะ…เราควรจะเตรียมข้าวกล่องและขับรถไปไหม ถ้าชวนไปแล้วเขาไม่ไปล่ะ แล้วข้าวกล่องจะเตรียมเป็นอะไรดี
เขาเดินช้าลงขณะที่คิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย ตอนที่มาถึงที่ที่จอดรถไว้ อินซอบก็ร้อง ‘โอ๊ะ’ และอ้าปากค้าง
อีกแล้ว จดหมายสีขาวถูกวางไว้ที่หน้ากระจกของรถตู้อีกแล้ว
“เฮ้อ…”
ขนาดนี้ก็เหมือนจะแรงไปหน่อย เนื่องจากสตอล์กเกอร์ที่ปรากฎตัวขึ้นมาคราวนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักจะเอาจดหมายมาเสียบไว้หน้ากระจกรถตลอด อินซอบจึงเสนออีอูยอนอย่างจริงจังว่าให้ลองบอกกรรมการผู้จัดการคิมหรือหัวหน้าทีมชา แต่อีอูยอนกลับบอกว่าในวงการนี้เรื่องแค่นี้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่และไม่สนใจ
แต่ทำไมถึงตามไปทุกที่ที่ไปแบบนี้ทุกรอบเลยล่ะ
อินซอบถอนหายใจก่อนจะหยิบจดหมายจากกระจกรถมาเก็บใส่กระเป๋า ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงประตูรถถูกปิดจากทางด้านหลัง ผู้หญิงที่ลงมาจากรถทำหน้าตาน่ากลัวและจ้องมองอินซอบเขม็ง อินซอบจำผู้หญิงคนนั้นได้จึงตกใจ เธอคือจินซูมีที่จะสาดกาแฟใส่อีอูยอน แต่เขากลับได้รับศีลจุ่มจากกาแฟแทน
“คุณเอาจดหมายไปทุกวันเลยนะคะ”
“ครับ?”
“คุณเอาไปทุกครั้งที่ฉันจับตามองเลยค่ะ พี่อูยอนไม่เคยเอาไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“เรื่องนั้น…”
คำพูดที่อีอูยอนพูดตอนเห็นจดหมายมีแค่ ทิ้งไป เผาซะ และฉีกทิ้งเท่านั้น อินซอบต้องเก็บจดหมายเอาไว้ เพราะเขาไม่สามารถทิ้งจดหมายจากแฟนคลับต่อหน้าคนอื่นๆ ได้อย่างไม่รอบคอบ
“ขโมยจดหมายของฉันไปกลางทางเสมอเลยเหรอคะ”
“เปล่านะครับ คุณอีอูยอนเขาเอากลับไปอ่านที่บ้านครับ”
อินซอบโกหกไปก่อน
“แล้วทำไมถึงไม่มีจดหมายตอบกลับเลยล่ะ”
“เพราะยุ่ง…”
“อย่ามาโกหก! คราวที่แล้วก็ไปดูหนังรอบดึกที่โรงหนังนี่! ที่บอกว่ายุ่งน่ะเป็นเรื่องโกหก! นายขโมยไปทั้งหมดเลยต่างหาก!”
แล้วอินซอบก็ได้รู้ความจริงว่าคนร้ายที่เจาะยางรถยนต์ในวันนั้นก็คือจินซูมี เขารู้สึกว่าสภาพในตอนนี้ของเธอไม่ปกติ เขาถึงชะงักถอยหลังไป
“เปล่านะครับ ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่นอนครับ”
“ฉันเห็นข่าวที่พี่อูยอนบอกว่าได้รับโปสการ์ดจากรักแรกตลอด”
“…”
ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าในวงเหล้าวันนั้นจะกระจายออกไป และถูกรายงานข่าวไปแล้ว
“เขาต้องพูดแบบนั้นเพราะได้อ่านจดหมายของฉันแน่ๆ…เพราะแบบนั้นฉันก็คือรักแรกของเขา ทำไมถึงไม่เคยส่งจดหมายตอบกลับมาหาฉันเลยล่ะ ไม่น่าเชื่อ!”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ดูเหมือนคุณจะเข้าใจผิดนะครับ…”
ในบรรดาแฟนคลับที่บ้าคลั่งก็มีคนที่เพ้อฝันมากเกินไปจนเชื่อว่านั่นเป็นความจริง และสติไม่ค่อยปกติอยู่บ้างเหมือนกัน อินซอบรู้ความจริงว่าในกรณีแบบนี้ถ้าห้ามอย่างถึงที่สุด ก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า ้เขาถึงพยายามโน้มน้าวเธออย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“วันนี้กลับบ้านไปก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวผม…”
“ไม่ได้อะไรกันล่ะ! เข้าใจผิดอะไรกัน! นายทำแบบนี้ เพราะขโมยจดหมายของพี่อูยอนไปกลางทางหมดเลยไม่ใช่หรือไง! คิดว่าฉันเห็นนายเอาจดหมายใส่กระเป๋า แค่ครั้งสองครั้งเหรอ!”
ความวิกลจริตที่รุนแรงสั่นไหวอยู่ในดวงตาของหญิงสาว ดูจากการที่กลอกตาไปข้างๆ อย่างรวดเร็วแล้ว นี่ไม่ใช่สภาพที่จะสามารถพูดคุยกันเข้าใจได้เลย
อินซอบคิดว่ารีบหนีไปจากตรงนี้น่าจะดีกว่าพูดคุยกับคู่สนทนาต่อไป เขาจึงเปิดประตูรถ เขาดันเคทเข้าไปวางไว้ตรงที่นั่งข้างคนขับรถ และในวินาทีที่เขาเหยียบตรงที่พักเท้าของรถเพื่อที่จะขึ้นไป อินซอบก็รู้สึกว่ามีของเย็นๆ เสียบเข้ามาดัง ฉึก ตรงบริเวณเอว
“…?”
ในตอนที่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์และหันหลังกลับไป โลหะแหลมคมก็แทงเอวเขาดัง ฉึก อีกครั้ง
“…ทำ…”
“ฉันกับพี่เขารักกันนะ แล้วนายเป็นใครถึงมาขวาง”
“…”
ชเวอินซอบใช้มือคลำหลังเพื่อตรวจสอบ เลือดสีแดงเปื้อนมือของเขา
“ตายซะเถอะ!”
หญิงสาวยกมีดขึ้นอีกครั้ง อินซอบแย่งมีดสุดชีวิต พอเขาแย่งมีดมาได้ จินซูมีก็คลุ้มคลั่งและพุ่งเข้าใส่เขา นี่ไม่ใช่สภาพที่เป็นปกติเลย อินซอบดันเธอออกไปอย่างยากลำบากก่อนจะก้าวขึ้นรถ ในระหว่างที่เขาปิดประตูรถ เธอก็ยื่นมือมา และคว้าเสื้อของอินซอบไว้ เขาไม่รู้เลยว่าจะปิดประตูและออกรถไปได้อย่างไร อินซอบทิ้งผู้หญิงที่กรีดร้องว่าจะฆ่าเขาให้ตายไว้ข้างหลัง และเหยียบคันเร่ง
เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ลุกลามตรงบริเวณหลัง เหงื่อของเขาไหล และมือกับเท้าก็สั่น เพราะเจ็บมาก
“โรงพยาบาล…”
อินซอบคิดว่าจะต้องหาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ และใช้นิ้วเปื้อนเลือดกดเครื่องนำทาง พอเขาขยับตัว เลือดก็ไหลทะลักออกมา ทำให้เบาะเปียก เขารู้สึกว่าความรู้สึกตรงช่วงขาค่อยๆ หายไป
อินซอบจับพวงมาลัยไว้ เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่า เราอาจจะตายแบบนี้ก็ได้สินะ ตอนที่ใช้ยาสลบบนเตียงผ่าตัด แม้จะได้ยินว่าเขาฟื้นและผ่านช่วงวิกฤตที่อันตรายมาได้ แต่เขาก็แค่รู้สึกว่ามันเลือนรางเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น
“แฮ่กๆ…”
ตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาอาจจะตายได้จริงๆ
การมองเห็นของเขาเลือนราง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา อินซอบหาโทรศัพท์มือถือและต่อสายหาอีอูยอน แน่นอนว่าอีกฝ่ายปิดเครื่อง เพราะอยู่ในระหว่างอัดรายการ เขาเกิดอาการพะอืดพะอม
อินซอบจับพวงมาลัยไว้ เขาตัวสั่นงกๆ จะต้องไปโรงพยาบาล โรงพยาบาล…แต่ถ้าตาย…ก็จะไม่ได้เจออีอูยอนอีก…ถ้าคนคนนั้นคิดว่าเราหนีไปอีกจะทำยังไงล่ะ…ถึงจะไม่ชอบเรื่องนั้น แต่เขายังไม่ไว้ใจเราเลย….
อินซอบหักพวงมาลัย ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องไปโรงพยาบาลหลังจากที่เห็นหน้าอีอูยอน สถานที่อัดรายกายก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และโรงพยาบาลก็ตั้งอยู่ข้างๆ พอดี…เราก็แวะเข้าไปแป๊บหนึ่ง ยังไงก็เป็นทางที่จะต้องไปอยู่แล้ว…อินซอบมองดูเวลา เนื่องจากอีอูยอนน่าจะรอตนอยู่ที่ลานจอดรถ เขาค่อยไปโรงพยาบาลหลังจากที่บอกอีกฝ่ายแล้วก็ได้ ถ้าไปโรงพยาบาล…
“…ก็ไม่รู้ว่าจะตายหรือเปล่า…”
อินซอบตกใจกับคำพูดที่พึมพำออกมาอย่างกะทันหันพลางส่ายหัว ต้องรอด นี่เป็นหัวใจที่เจนนี่ทิ้งไว้ให้นะ เรารักษามันอย่างยากลำบาก และมีชีวิตอยู่มาได้ จะมาตายแบบนี้ไม่ได้ ถ้าตายไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ความไว้วางใจจากอีอูยอน เขาจะคิดว่าเราทิ้งไปอีกแน่ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้น…เราไม่อยากให้อีอูยอนอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชไปชั่วชีวิต
เรา เราอยากจะเจอคนคนนั้น…
อยากเจอ
“อึก…”
อินซอบกระชับฝ่ามือที่กำพวงมาลัยไว้ก่อนจะเหยียบคันเร่ง
***